
"...หากสื่อสามารถนำ “การเมือง” จนประสบความสำเร็จ ดังที่ผู้เขียนตั้งข้อสมมติแล้ว นักการเมืองและพรรคการเมืองยุคต่อไปคงหันไปซื้อหุ้น “สื่อ” เลียนแบบกันเป็นแถว ๆ น่าแปลกที่กล่าวกันว่ามี “จีนเทา” หรือ “นักการเมืองเทา” คิดยึดประเทศด้วยการซื้อเสียงขนานใหญ่ ทว่าทำไมพวกนั้นจึงไม่รู้จักซื้อหุ้น “สื่อ” ให้ครบวงจร..."
1. คนกรุงเทพฯ มีแบบแผนการเลือก ส.ส. เฉพาะตัว

ข้อสังเกตมี 2 ประการ คือ
ประการแรก ช่วง พ.ศ. 2535 ถึง พ.ศ. 2568 ระยะเวลา 37 ปี ปรากฏว่า คนกรุงเทพฯ เลือกพรรคเสียงข้างมากแตกต่างกัน ได้แก่
พ.ศ. 2529 และ 2531 เลือกประชากรไทยด้วยเสียงข้างมาก พอ พ.ศ. 2535 และ 2538 เลือกพลังธรรมด้วยเสียงข้างมาก ครั้นถึง พ.ศ. 2539 เลือกประชาธิปัตย์ด้วยเสียงข้างมาก
ต่อมา พ.ศ. 2544 และ 2548 เลือกไทยรักไทยด้วยเสียงข้างมาก ภายหลัง พ.ศ. 2550 และ 2554 หันมาเลือกประชาธิปัตย์ด้วยเสียงข้างมาก
จากนั้นพอเลือกตั้ง พ.ศ. 2562 ก็หันไปเลือกพลังประชารัฐด้วยเสียงข้างมาก สุดท้ายที่เพิ่งผ่านไป พ.ศ. 2566 เลือกก้าวไกลด้วยเสียงข้างมาก
การเลือกพรรคเสียงข้างมากหลาย ๆ แบบเช่นนี้ ทำให้น่าคิดว่า “แบบแผน” (pattern) การลงคะแนนของคนกรุงเทพฯ น่าจะเป็นแบบใด
ประการที่สอง เท่าที่สังเกตช่วงระยะเวลา 37 ปีที่ผ่านมา คนกรุงเทพฯ จะไม่ค่อยชอบเลือก “พรรครัฐบาล” หรือ “พรรคที่จะได้เป็นรัฐบาล”
ยกเว้นเพียงกรณีการเลือก “พรรคไทยรักไทย” สองครั้งเมื่อ พ.ศ. 2544 และ 2548 กับกรณีการเลือก “พรรคพลังประชารัฐ” พ.ศ. 2562 ที่คนกรุงเทพฯ ใช้เสียงข้างมากเลือกพรรคที่เป็นรัฐบาล ส่วนนอกนั้นเลือก “ฝ่ายค้าน” ตลอด จึงน่าสงสัยว่า ทำไมคนกรุงเทพฯ ไม่เลือกพรรคใหญ่ไปเป็นรัฐบาล ทั้งที่พรรครัฐบาลย่อมกำหนดนโยบายสาธารณะตอบสนองต่อคนกรุงเทพฯ ได้ดีกว่าฝ่ายค้าน
2. ทฤษฎีการเลือกตั้งกับพฤติกรรมการเลือก ส.ส.ของคนกรุงเทพฯ
หากนำทฤษฎีการเลือกตั้งมาอธิบายพฤติกรรมการเลือก ส.ส. ของคนกรุงเทพฯ จะพบว่าแบบแผนการเลือก ส.ส.เสียงข้างมากของคนกรุงเทพฯ มีลักษณะเป็นวงจร (cycle) กับเป็นการเลือกเชิงกลยุทธ์ (strategic voting) แต่มีข้อยกเว้นเรื่องกลยุทธ์การครอบงำการเลือกตั้ง ดังนี้
2.1 การเกิด Condorcet's paradox
คอนดอร์เซ็ท (Condorcet) เป็นเจ้าของทฤษฎี “Condorcet Jury Theoram” ซึ่งเป็นทฤษฎีที่อธิบายการใช้ “เสียงข้างมาก” ตัดสินความยุติธรรมของคณะลูกขุนในสหรัฐอเมริกา
เขาอธิบายว่า เสียงข้างมากจะมีความยุติธรรม ก็ต่อเมื่ออยู่ภายใต้เงื่อนไขอย่างน้อย 2 ข้อ คือ
ข้อแรก เสียงข้างมากนั้น ต้องเป็นการออกเสียงอย่างเป็นอิสระ ไม่ใช่การ “ฮั้ว” กัน
ข้อสอง คุณภาพของการออกเสียงของแต่ละคน ต้องมีค่าความเป็นไปได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของการออกเสียงโดยรวมของคนทั้งหมด (P>0.5)
เช่น สมมติคะแนนเต็มของคุณภาพการตัดสินของลูกขุนแต่ละคนเท่ากับหนึ่ง ค่าเฉลี่ยของคะแนนคุณภาพของลูกขุนแต่ละคนต้องสูงกว่าค่ากลาง คือมากกว่า 0.5 ขึ้นไป
เมื่อลูกขุนแต่ละคนมีคุณภาพ การนำเสียงข้างมากมาตัดสิน ค่าของคุณภาพของเสียงข้างมาก ย่อมเข้าใกล้ค่าสูงสุด คือ 1.0 หลักการนี้เองที่อธิบายว่า “ทำไมเสียงข้างมาก จึงดีกว่าการตัดสินด้วยคน ๆ เดียว”
อย่างไรก็ตาม เสียงข้างมากยังมีปัญหาอยู่ในตัวเองด้วย เพราะ “การตัดสินใจของมนุษย์” มักเป็นวงจร (cycle) หมายถึงไม่สามารถแบ่งสเกลการตัดสินใจทางเลือกออกเป็นลำดับได้ เช่น คนกรุงเทพฯ ที่เป็นเสียงข้างมาก อาจชอบพรรค ก. มากกว่า พรรค ข. และชอบพรรค ข. มากกว่า พรรค ค. แต่กลับชอบพรรค ค. มากกว่า พรรค ก. จึงไม่สามารถจัดลำดับความชอบได้
การเลือก ส.ส.เสียงข้างมาก ของคนกรุงเทพฯ ช่วง 37 ปีที่ผ่านมา มีลักษณะการตัดสินใจเป็นวงจร จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คะแนนเสียงส่วนใหญ่ของคนกรุงเทพฯ ตกอยู่กับพรรคต่าง ๆ แตกต่างกันหมุนวนกันไป
ดังนั้น อุดมการณ์ทางการเมืองทางซ้าย กลางหรือทางขวา จึงอาจไม่น่าจะใช่ “เกณฑ์” การตัดสินในการเลือกพรรคเสียงข้างมากของคนกรุงเทพฯ หรืออาจมีผลน้อยมาก
การตัดสินใจเป็นวงจรเช่นนี้ เรียกว่า “การเกิด Condorcet ‘s Paradox” หมายถึงการขัดแย้งกันเองของการเลือก ส.ส. ของเสียงข้างมาก ซึ่งมีความไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความชอบทางการเมือง (political preference) โดยรวม ที่มีลักษณะพลวัตและเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละระยะ
2.2 การเกิด Spoiler Effect
จากข้อมูลในตารางที่ 1 ปรากฏว่า คนกรุงเทพฯ ไม่ค่อยเลือก “พรรคที่จะเป็นรัฐบาล” ซึ่งดูเหมือนขัดกับหลักการลงคะแนนเสียงของนักวิชาการอย่างเช่น แอนโทนี ดาวน์ส (Anthony Downs) และ ดูเวอร์เย่ (Duverger)
ดาวนส์เป็นเจ้าของทฤษฎี “เศรษฐศาสตร์ประชาธิปไตย” (An Economic Theory of Democracy) เขานำเอาหลักการเป็นมนุษย์ที่มีเหตุผล (rational man) ของเศรษฐศาสตร์มาอธิบายพฤติกรรมการเลือกตั้งว่า คนเราจะเลือกพรรคที่มีนโยบายอยู่กลาง ๆ ซึ่งสามารถตอบสนองคนได้ทุกกลุ่ม พรรคที่สามารถสร้างความชอบทางการเมืองให้อยู่ตรงกลาง ๆ ได้ นั่นแหละที่คนจะลงคะแนนให้ได้เสียงข้างมาก (Median Voters)
ในการเลือกตั้งส่วนใหญ่ พรรคสายกลางหรือพรรคที่ตอบสนองคนได้ทุกกลุ่ม (Catch All Party) จึงมักได้เสียงข้างมาก
ส่วนดูเวอร์เย่ มองที่ระบบการเลือกตั้ง ว่า ระบบเลือกตั้งเสียงข้างมากรอบเดียว (Plurality Rule Methods หรือ Majority Rule) จะทำให้เกิดพรรคการเมืองสองพรรคใหญ่ เพราะว่าผู้เลือกตั้ง คิดว่าคะแนนเสียงของเขาเป็นตัวชี้ขาด (pivotal vote) ผลการแพ้ชนะในการเลือกตั้ง หรือการจัดตั้งรัฐบาล
ดังนั้น เขาจึงเลือกพรรคที่คิดว่าจะชนะหรือได้เป็นรัฐบาล หากเขาเลือกคนแพ้หรือเลือกไปเป็นฝ่ายค้าน ก็ย่อมเป็นการลงคะแนนที่ไม่ค่อยมีค่า ความคิดอย่างนี้เองที่บีบบังคับให้คนต้องเลือกพรรคใหญ่ ๆ จนกระทั่งในที่สุด พรรคการเมืองพัฒนาไปเป็นระบบสองพรรค
หากยึดตามดาว์นส์กับดูเวอร์เย่ คนก็จะเลือกแต่ “ผู้สมัคร ส.ส.ที่จะชนะหรือพรรคที่จะชนะ” ซึ่งความจริงก็พิสูจน์แล้วว่ามักเป็นไปตามนั้น
อย่างไรก็ตาม ยังมีคนเลือกผู้สมัคร ส.ส. ที่ไม่ชนะหรือพรรคไม่ได้เป็นรัฐบาลอยู่ด้วย ปัญหา คือ แล้วคนพวกหลังเขาเลือกไปทำไม
คำอธิบายการเลือกคนหรือพรรคที่ไม่ชนะนี้ เรียกว่า “Spoiler Effect” เช่น งานของลูนีย์และเวอร์เนอร์ (Looney & Werner, 2020) ชื่อ “A Defense of Spoiler Voting” ในวารสาร Public Affairs Quartery ซึ่งเป็นงานที่อธิบาย “Spoiler Effect” ที่เกิดในระบบเสียงข้างมากรอบเดียว
ลูนีย์และเวอร์เนอร์อธิบายทำนองว่าเป็นเพราะผู้ลงคะแนนไม่พอใจพรรคที่จะเป็นรัฐบาล จึงลงคะแนนให้พรรคเล็ก เป้าประสงค์ก็เพื่อลงโทษพรรคใหญ่ที่ไม่รักษาผลประโยชน์ของตน การลงคะแนนให้พรรคเล็กจึงเป็นการลงคะแนนเชิงกลยุทธ์ (strategic vote) เพื่อให้ตอบสนองต่อนโยบายที่ตัวเองชอบ
หลักสำคัญมาจากเรื่อง “พันธะทางปทัสถานที่แสดงออก” (manifest normative mandate) หมายความว่า ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองไปหาเสียงหรือสัญญาว่าจะทำอะไร แล้วไม่ได้ทำหรือทำไม่ได้ และสิ่งนั้นเป็นปทัสถานสำคัญ จึงเท่ากับว่าผู้สมัครหรือพรรคการเมืองละเมิดปทัสถาน (violate norms) ที่สัญญาไว้ เขาจึงลงคะแนนให้พรรคเสียงข้างน้อย เพื่อให้พรรคใหญ่แพ้หรือถึงไม่แพ้ก็ได้คะแนนน้อยลง หรืออย่างน้อยก็ทำให้พรรคใหญ่เสียชื่อเสียงในระยะยาว
การเอาชนะพรรคใหญ่ในสนามเลือกตั้งในกรุงเทพฯ จึงต้องทำแคมเปญว่า “พรรคใหญ่ละเมิดปทัสถานอะไรบ้าง” เพื่อให้คนกรุงเทพฯ ลงโทษ รวมทั้งเขาอาจลงคะแนนเพื่อแสดงออกว่าเขาไม่ชอบรัฐบาลและพรรคที่จะเป็นรัฐบาล และตั้งใจให้พรรคที่ตนเลือกไปทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน
2.3 กรณีข้อยกเว้นที่อธิบายได้ด้วยกลยุทธ์การครอบงำการเลือกตั้ง
ปกติคนกรุงเทพฯ จะเลือกพรรคฝ่ายค้าน แต่มีข้อยกเว้นกรณีที่คนกรุงเทพฯ เลือกพรรครัฐบาลในช่วง พ.ศ. 2544 และ 2548 กับ พ.ศ. 2562 เป็นกรณีที่ต้องแยกอธิบายด้วยกลยุทธ์การครอบงำการเลือกตั้งตามทฤษฎี “Heresthetics” ของวิลเลียม เอช ไรเกอร์ (William H. Riker) ซึ่งแบ่งกลยุทธ์ออกเป็นกลยุทธ์ภายในกับกลยุทธ์ภายนอก
กลยุทธ์ภายใน หมายถึงการใช้ความเหนือกว่าทางด้านข้อมูล (information superiority) วาทศิลป์ (rhetoric) และการครอบงำความคิด (manipulation) โดยเฉพาะการมีความรู้เกี่ยวกับคู่แข่งขันและการมีแคมเปญตอบโต้อย่างทันท่วงที
ส่วนกลยุทธ์ภายนอก หมายถึงการใช้อำนาจหน้าที่ (authority) และเครือข่ายทางสังคม (social networks)
ยุคทักษิณ พ.ศ. 2544 และ 2548 เป็นยุคที่ใช้ทั้งกลยุทธ์ภายในและภายนอกอย่างได้ผล โดยเฉพาะการตลาดการเมือง เครือข่ายทางสังคมและกลไกรัฐผสมกัน ส่วนยุคพลเอกประยุทธ์ พ.ศ. 2562 เป็นยุคที่ใช้กลยุทธ์ภายนอก คือ อำนาจหน้าที่ของกลไกรัฐ อย่างได้ผลเช่นเดียวกัน
ส่วนรัฐบาลชุดปัจจุบัน หากมีการเลือกตั้งครั้งหน้า ก็คงเน้นหนักไปที่กลยุทธ์ภายนอก คือ อำนาจหน้าที่ของกลไกรัฐ และเครือข่ายทางสังคม มากกว่ากลยุทธ์ภายใน แต่จะได้ผลเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับคู่แข่งและการเลือก ส.ส. เสียงข้างมากในกรุงเทพฯ
สมมติว่าในการเลือกตั้งครั้งที่จะมาถึงนี้ พรรคประชาชนได้ ส.ส. เสียงข้างมากในกรุงเทพฯ และได้เป็นรัฐบาลด้วย ก็จะเป็นการเปิดศักราชของการเปลี่ยนแปลง “แบบแผน” การเลือกตั้งของคนกรุงเทพฯ เพราะเท่ากับคนกรุงเทพฯ ไม่ได้เลือก ส.ส. เชิงกลยุทธ์อีกต่อไป แต่เป็นการเลือกรัฐบาลเสียงข้างมากเลยทีเดียว
ความสำเร็จดังกล่าว น่าจะเป็นผลโดยตรงจากการที่ “สื่อเข้ามาเล่นการเมือง” หรือที่เรียกว่า “Mediatization of Politics” ซึ่งเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์การหาเสียงของการเมืองไทยเช่นกัน
การใช้สื่อเล่นการเมืองในประเทศไทยมีจุดเริ่มต้นจริง ๆ จากกรณี “The Voice TV” ของทักษิณและพานทองแท้ ต่อมาจึงแตกลูกแตกหลานออกไป จนมีผลอย่างมากต่อการเมืองไทยในปัจจุบัน
หากสื่อสามารถนำ “การเมือง” จนประสบความสำเร็จ ดังที่ผู้เขียนตั้งข้อสมมติแล้ว นักการเมืองและพรรคการเมืองยุคต่อไปคงหันไปซื้อหุ้น “สื่อ” เลียนแบบกันเป็นแถว ๆ
น่าแปลกที่กล่าวกันว่ามี “จีนเทา” หรือ “นักการเมืองเทา” คิดยึดประเทศด้วยการซื้อเสียงขนานใหญ่ ทว่าทำไมพวกนั้นจึงไม่รู้จักซื้อหุ้น “สื่อ” ให้ครบวงจร..
บทความโดย :
ทนายบ้าน ๆ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา