
"...เป็นที่เชื่อกันว่ารัฐบาลจีนซึ่งปัจจุบันก็ประสบปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศจากการตกต่ำของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หนี้สินเอกชน และการว่างงานของคนรุ่นใหม่คงจะต้องพยายามควบคุมสถานะการณ์ไม่ให้ขยายตัวรุนแรงเป็นการประท้วงสินค้าและบริษัทญี่ปุ่นทั่วประเทศจนควบคุมไม่ได้เหมือนที่เคยเกิดเมื่อปี 2012 ที่ต้องใช้เวลากว่า 2 ปีจึงจะเริ่มกลับมาสู่สภาพปรกติ ขณะนี้ยังไม่มีตัวชี้วัดอะไรแสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายจะได้ประโยชน์หากสถานะการณ์รุนแรงไปกว่านี้ แต่ด้วยกระแสชาตินิยมที่ถูกปลุกขึ้นมาภายในของทั้ง 2 ประเทศปัญหาคงจะต้องยืดเยื้อไปอีกระยะหนึ่ง..."
ตามที่เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดข้อบาดหมางระหว่างจีนและญี่ปุ่นตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย. 2568 จนถึงปัจจุบันสถานะการณ์ยังไม่มีแนวโน้มจะได้รับการแก้ไขโดยเร็ววันนี้ เนื่องจากทั้งสองประเทศเป็นประเทศสำคัญและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับไทย ดังนั้น เราจึงควรดูถึงต้นเหตุของปัญหา มาตรการต่างๆที่ออกมา รวมถึงแนวโน้มในอนาคต
ต้นเหตุปัญหา
เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2568 นาง Sanae Takaichi นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นตอบกระทู้ในสภาถึงสถานะการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นจากการโจมตีด้วยกำลังทหารจีนต่อไต้หวัน ซึ่งนาง Takaichi ได้ตอบว่าหากมีสถานะการณ์ใช้กำลังดังกล่าวก็จะถือว่าเป็นสิ่งที่กระทบต่อความอยู่รอดของญี่ปุ่น (survival threatening situation) ซึ่งตามกฎหมายความมั่นคง ค.ศ. 2015 กำหนดให้ญี่ปุ่นสามารถใช้กำลังป้องกันตัวเองร่วมกับพันมิตร(สหรัฐฯ)ได้ (collective self-defense)
มาตรการตอบโต้
คำพูดดังกล่าวก่อให้เกิดปฏิกริยาอย่างรุนแรงจากจีน โดยกงสุลใหญ่จีนประจำนครโอซากา ซึ่งเป็นหนึ่งในนักการทูตกลุ่ม “นักรบหมาป่า”(wolf warrior) ซึ่งดำเนินงานการทูตแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ลงข้อความใน X ระบุว่า ผู้ที่เข้ามายุ่งไม่เข้าเรื่อง(นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น)สมควรต้องถูกตัดศรีษะ ซึ่งถือเป็นข้อความที่ไม่เหมาะสมและผิดธรรมเนียมปฏิบัติสำหรับนักการทูตอย่างยิ่ง และทางการจีนต้องสั่งลบข้อความนี้ออกไปในวันถัดมา หลังจากนั้นจึงมีการประท้วงทางการผ่านเอกอัครราชทูตของทั้งสองฝ่าย โดยฝ่ายจีนขอให้นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นถอนคำพูดดังกล่าว ส่วนญี่ปุ่นก็ประท้วงความไม่เหมาะสมอย่างยิ่งของคำพูดของกงสุลใหญ่จีน
หลังจากนั้นฝ่ายญี่ปุ่นก็ส่งคณะผู้แทนระดับอธิบดีเดินทางไปปักกิ่งเพื่อปรับความเข้าใจแต่ก็กลายเป็นการกล่าวหากันไปมาเสียมากกว่า เพราะต่างฝ่ายต่างอ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งกระทำรุนแรงเกินไป
แม้ว่าจะไม่มีการถอนคำพูดจากนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น แต่ก็มีความพยายามอธิบายต่อสาธารณะว่าเป็นการตอบคำถามแบบเหตุการณ์สมมุติ(hypothetical) และไม่มีอะไรขัดแย้งกับท่าทีที่ญี่ปุ่นยึดถือมาตลอดว่าปัญหาช่องแคบไต้หวันสมควรได้รับการแก้ไขโดยสันติวิธีเท่านั้น โดยในอนาคตจะหลีกเลี่ยงการตอบคำถามที่เจาะจงกรณีแบบนี้
สำหรับจีนเรื่องไต้หวันเป็นเรื่องอธิปไตยของประเทศที่ผู้อื่นไม่มีสิทธิก้าวก่ายเด็ดขาด ดังนั้น หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้นจีนจึงเริ่มทะยอยออกมาตรการตอบโต้ด้วยการส่งเรือป้องกันชายฝั่งเข้าไปบริเวณน่านน้ำต่อเนื่องของหมู่เกาะเซ็นกากุ (Senkaku) ซึ่งเป็นหมู่เกาะที่ญี่ปุ่นครอบครองแต่จีนก็อ้างสิททธิการเป็นเจ้าของ (จีนเรียกหมู่เกาะเตียวหยู) รวมถึงมาตรการพื้นฐานที่ใช้เพื่อแสดงความไม่พอใจ อาทิ การระงับการเดินทางเยือนทางการ การออกคำแนะนำให้ประชาชนงดการเดินทาง รวมไปถึงการระงับการนำเข้าอาหารทะเลและการเลื่อนการเปิดตัวออกฉายภาพยนตร์ญี่ปุ่น
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
ทั้งหมดนี้ การระงับการเดินทางของประชาชนดูจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นมากที่สุด เนื่องจากนักท่องเที่ยวจากจีนเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้มีจำนวนกว่า 7 ล้านคน คิดเป็น 23% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด สร้างรายประมาณ 14 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนมาตรการด้านการค้าก็ยังจำกัดอยู่แค่อาหารทะเล ซึ่งที่ผ่านมาถูกห้ามเข้ามาหลายปีแล้วด้วยเหตุผลความปลอดภัยจากการปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกูชิมะและเพิ่งจะเริ่มผ่อนปรนให้นำเข้าได้ไม่นานมานี้ ส่วนการระงับการส่งออกสินแร่หายาก (rare-earth)หรือการประท้วงไม่ซื้อสินค้าญี่ปุ่นตามที่เคยเกิดขึ้นในปีค.ศ. 2010 และค.ศ. 2012 ยังไม่ปรากฏแนวโน้มในขณะนี้
บทวิเคราะห์เกี่ยวกับอนาคต
เป็นที่เชื่อกันว่ารัฐบาลจีนซึ่งปัจจุบันก็ประสบปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศจากการตกต่ำของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หนี้สินเอกชน และการว่างงานของคนรุ่นใหม่คงจะต้องพยายามควบคุมสถานะการณ์ไม่ให้ขยายตัวรุนแรงเป็นการประท้วงสินค้าและบริษัทญี่ปุ่นทั่วประเทศจนควบคุมไม่ได้เหมือนที่เคยเกิดเมื่อปี 2012 ที่ต้องใช้เวลากว่า 2 ปีจึงจะเริ่มกลับมาสู่สภาพปรกติ
ขณะนี้ยังไม่มีตัวชี้วัดอะไรแสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายจะได้ประโยชน์หากสถานะการณ์รุนแรงไปกว่านี้ แต่ด้วยกระแสชาตินิยมที่ถูกปลุกขึ้นมาภายในของทั้ง 2 ประเทศปัญหาคงจะต้องยืดเยื้อไปอีกระยะหนึ่ง
หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของจีน ที่ส่งผลให้ยืดเวลาการคุกรุ่นของสถานะการณ์ออกไป คือจีนต้องการให้เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนให้เห็นถึงผลจากการเข้ามาก้าวก่ายเรื่องที่ประเด็นต้องห้ามของจีนให้แก่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงในการดำเนินนโยบายชาตินิยม/อนุรักษ์นิยมสุดโต่งและยังมีประสบการณ์ด้านการต่างประเทศน้อย รวมถึงเป็นความพยายามในการป้องปรามผลระยะยาวที่จะตามมาจากการที่ญี่ปุ่นจะเพิ่มงบประมาณกลาโหมเป็น 5% ของมวลรวมประชาชาติ (จากเพดาน 2% ในปัจจุบัน) ตามแรงกดดันของสหรัฐฯ ซึ่งจีนมองว่าจะกระทบโดยตรงต่อดุลยภาพทางการทหารในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ทั้งนี้ จีนค่อนข้างกังวลด้วยว่า การประกาศความพร้อมจะส่งกำลังทหารช่วยไต้หวันร่วมกับสหรัฐฯ แบบโจ่งแจ้งเป็นครั้งแรกนี้อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการกลับมาของลัทธิทหารนิยม (militarism)ของญี่ปุ่น ซึ่งจีนเคยมีประสบการณ์ที่เลวร้ายมาก่อน
สำหรับไทยนั้น จีนและญี่ปุ่นต่างก็เป็นมิตรประเทศที่ใกล้ชิดกับเรามาช้านาน ดังนั้น การเห็นมิตรประเทศกลับไปมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้เร็วเท่าไหร่ก็จะเป็นประโยชน์แก่เรามากเท่านั้น เพราะสันติภาพในเอเชียตะวันออกถือเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับสมการความมั่นคงของไทยมาโดยตลอด อย่างไรก็ดี การยกเลิกและเปลี่ยนแผนการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนไม่ต่ำกว่า 2-3 ล้านคนในช่วงสิ้นปีซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คึกคักสูงสุดของการท่องเที่ยวน่าจะส่งผลดีต่อการเพิ่มจำนวนมาไทยไม่น้อย ดังนั้น การจัดเตรีมความพร้อมของไทย โดยเฉพาะการส่งเสริมเรื่องมาตรการความปลอดภัยที่เป็นข้อกังวลหลักของคนจีนจะช่วยเรื่องนี้ได้มาก
บทความโดย :
เจษฎา กตเวทิน
22 พ.ย. 2568

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา