
"...นอกจากนั้น ประเทศไทยเราต้องการ “ตำรวจ” ที่ออกมารับตรง ๆ ว่า “ตำรวจไทย” ยังมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอ ตำรวจไทยยังมีปัญหาการคอร์รัปชั่นกันจริง เช่น มีระบบการเก็บส่วยอยู่ทั่วไป และต้องปรับปรุงอะไรบ้าง เช่น ระบบการทำงานแบบ “พุ่งเป้า” และการประเมินผลผู้บังคับบัญชาและกลุ่มผู้บริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถ้าทำไม่ได้ตามเป้า ก็ควรต้องถูกให้ออกจากตำแหน่งไป เพื่อเปิดโอกาสให้ “คนอื่น” มาทำแทน..."
1. ความนำ
ขณะที่ “คุณโรม” “คุณไอซ์” “คุณโจ๊ก” และ “คุณอัจฉริยะ” เปิดโปงอาชญากรรมสแกมเมอร์ในประเทศไทย นั้น
ฝ่ายตำรวจ นำโดย “คุณวินัย” และ “คุณเอก” รวมไปถึง “คุณไตรรงค์” ออกมาตอบโต้ โดยเข้าใจว่าการเปิดโปงอาชญากรรม ทำให้องค์กรตำรวจเสียหาย โดยเฉพาะตัดพ้อ “คุณโจ๊ก” ทำนองว่า “ไม่น่าทำร้ายองค์กรตำรวจที่เคยอยู่ และคุณก็ทำผิดเหมือนกัน” หรือ “คุณจะกล่าวหาว่าตำรวจจำนวนมากกระทำผิดกับอาชญากรรมสแกมเมอร์ไม่ได้” หรือปฏิเสธว่า “ตำรวจไม่ได้เป็นองค์กรอาชญากรรม หรือไม่ได้มีส่วนร่วมกับองค์กรอาชญากรรม”
น่าเสียดายที่การเปิดโปงดังกล่าว เป็นการเปิดโปงครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศไทย ที่ถูกนั้นน่าจะก่อให้เกิด “การปฏิรูป” นโยบายระบบความยุติธรรมทางอาญา (Criminal Justice Policy Reform)
แต่ปัจจุบันยังไม่ก่อให้เกิดการปฏิรูปใด ๆ เช่น ไม่เกิดระบอบนโยบายความยุติธรรมทางอาญาใหม่ (a new criminal justice policy regime) เช่น การเปลี่ยนจากนโยบายการปราบปรามอาชญากรรมสแกมเมอร์ที่ “อ่อนแอ” มาเป็นแนวทางที่ “เข้มแข็ง น่าเชื่อถือ” โดยเฉพาะแสดงให้เห็นว่าตำรวจและกระทรวงดีอีปราบสแกมเมอร์อย่างขาวสะอาด กระทำการเชิงรุก มีการวิเคราะห์ข้อมูลข่าวกรองและสื่อสารกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง
สาเหตุเป็นเพราะระบบนโยบายความยุติธรรมทางอาญาของไทยยังเป็น “ระบบปิด” (Closed Model) ไม่รู้ร้อนรู้หนาวต่อกระแสสังคม จึงไม่คิดสนองตอบต่อภายนอก แม้เป็นสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อตำรวจและองค์กรอื่นในระบบยุติธรรมไทยอย่างรุนแรงก็ตาม
นอกจากนั้น อาจเป็นเพราะการถกเถียงกันต่อหน้าสาธารณะ ยังขาดการถกเถียงกันทางวิชาการ จึงไม่มีแรงเร่ง (stressors) ให้ประชาชนเห็นพิษภัยร้ายแรง และเข้ามาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหา จนความคิดต่อนโยบายเปลี่ยนแปลงไป (ideational turn) โดยเฉพาะฝ่าย “ตำรวจ” “กระทรวงดีอี” และหน่วยงานพิเศษ เช่น ปปง. ปปช. และดีเอสไอ ทั้งที่คนเหล่านี้ล้วนมีการศึกษาสูงและได้รับการอบรมมาอย่างดี
ผู้เขียนเห็นว่าจำเป็นต้องกลับมาสู่เวทีวิชาการ จึงเขียนบทความนี้ เพื่อต้องการชี้ให้เห็นว่าประเด็นที่ถกเถียงกันในเรื่อง “อาชญากรรมสแกมเมอร์” นั้น ที่จริงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความรู้ เรื่อง “องค์กรอาชญากรรม” (Organized Crime or Organizational Crime) ที่ใหญ่กว่า
2. องค์กรอาชญากรรมกลายพันธุ์
ประเทศไทยมักโฟกัสปัญหาอาชญากรรมสแกมเมอร์ที่ “จีนเทา” โดยเน้นการกระทำความผิดกฎหมายอาญาของคนจีนที่หนีออกจากประเทศ ภายหลังนโยบายการปราบปรามอาชญากรรมอย่างรุนแรงของจีนยุคสี จิ้น ผิง เช่น กลุ่ม 14K ซึ่งต่อมา ได้แตกลูกหลานเป็นอาชญากรอยู่ตามเขตชายแดนระหว่างไทยกับพม่า และไทยกับกัมพูชา
ความจริงองค์กรอาชญากรรมจีน (Chinese Organized Crime) ได้พัฒนาไปไกลกว่านั้นมาก
สมัยก่อน องค์กรอาชญากรรมจีนเป็นสมาคมอั้งยี่ (triad society) และก่ออาชญากรรมแคบ ๆ ตามเครือข่ายภายในประเทศ ต่อมาขยายออกตามชายแดน โดยเฉพาะแหล่งที่รัฐอ่อนแอและมีการคอร์รัปชันสูง เช่น กัมพูชา และพม่า หรืออาจรวมถึงไทย ภายหลังยังพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง โดยการก่ออาชญากรรมร่วมกับรัฐ เช่น กรณีความร่วมมือกับประเทศเกาหลีเหนือ
สมัยปัจจุบัน องค์กรอาชญากรรมปรับตัวจากการพนันและการฟอกเงิน ไปสู่การประกอบการธุรกิจที่ซับซ้อน เช่น เข้าสู่ตลาดโลก ใช้วิธีการจัดการสมัยใหม่และเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร
ลักษณะสำคัญขององค์กรอาชญากรรมปัจจุบัน ได้แก่ การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ มีการจัดลำดับสายการบังคับบัญชา มีความสัมพันธ์อันดีกับหน่วยงานของรัฐและมีการวางแผนกลยุทธ์ไม่ต่างจากธุรกิจเอกชน
โมเดลขององค์กรอาชญากรรมจึงมี 2 แบบ โมเดลดั้งเดิม ได้แก่ การเป็นองค์กรอาชญากรรมตามเขตชายแดน เช่น การค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติด การเปิดบ่อนการพนัน การพนันออนไลน์ และแหล่งสแกมเมอร์ และโมเดลใหม่ ได้แก่ การลงทุนทางธุรกิจที่มีอิทธิพลต่อการบริการ เช่น เป็นผู้ผลิตสิ่งสาธารณะหรือสินค้าสาธารณะในท้องถิ่น เช่น ไฟฟ้า ประปา การสร้างถนน สะพาน ฯลฯ
ประเด็นที่ซับซ้อนกว่านั้น ได้แก่ การที่องค์กรอาชญากรรมได้ขยายใหญ่ออกเป็นกิจการข้ามชาติและเป็นกิจการระดับโลก ความจริง มีมาตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1980 โดยมีกลุ่มมาเฟียอิตาลี ยากูซาและรัสเซียเป็นแม่แบบ
องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ จึงกลายเป็น “ธุรกิจสากล” ความเป็น “จีนเทา” หรือกลุ่ม “ชาติพันธุ์” (ethnic groups) จึงผสมกลมกลืนกับคนชาติอื่นและกลายพันธุ์ไปเรื่อย ๆ โดยร่วมมือกันกับคนระดับระหว่างประเทศมากขึ้น และมีความรู้ทางธุรกิจและมีสถานะสูงในสังคม เช่น กรณีร่วมมือกับนักการเมือง นายธนาคาร นักธุรกิจหรือนายตำรวจในประเทศไทย
ความที่เป็นองค์กรข้ามชาติ จึงทำให้ความสามารถในการปราบปราบของประเทศแต่ละประเทศมีประสิทธิภาพน้อยลง เพราะอำนาจอธิปไตยของประเทศ “ถูกจำกัด” ไว้เฉพาะเขตแดนของตัวเอง
อาชญากรรมบางอย่างที่กระทำข้ามเขตแดนจึงจับกุมได้ยากกว่าเดิมมาก ยกตัวอย่าง กรณีมาเฟียอิตาลี ค้ายาเสพติด ค้าอาวุธและฟอกเงิน
องค์กรอาชญากรรมนำเงินที่ได้จากการกระทำที่ผิดกฎหมายไปใช้ในการลงทุนในกิจการที่ถูกกฎหมาย ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ เช่น ข้อมูลจากการสืบราชการลับของสหรัฐอเมริกา พบว่า องค์กรอาชญากรรมทั่วโลกนำเงินเกือบแสนล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐไปลงทุนในตลาดเงิน
ยิ่งระบอบตลาดเสรีนิยมใหม่ที่ลดกฎระเบียบลง ยิ่งอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายทุน ส่งเสริมให้เกิดองค์กรอาชญากรรมนำเงินสกปรก ไปฟอกในกิจการทางเศรษฐกิจที่ถูกกฎหมาย
บางประเทศหรือหมู่เกาะบางแห่งเป็นสวรรค์ของการฟอกเงิน เพราะมีนโยบายผ่อนปรนการเก็บภาษี และมีบริษัทนายหน้าในประเทศนั้น ๆ ช่วยเหลือในการฟอกเงินจากเงินผิดกฎหมายกลายเป็นเงินที่ถูกกฎหมาย
ยิ่งเศรษฐกิจโลกรวมกันเท่าใด กิจกรรมผิดกฎหมายที่สำคัญ เช่น การค้ายา การขู่กรรโชกทรัพย์ การค้าอาวุธ การพนันออนไลน์ สแกมเมอร์และการค้ามนุษย์ ของกลุ่มมาเฟียยิ่งสะดวกต่อการนำเงินที่ผิดกฎหมายมาทำให้ถูกกฎหมาย
ปัจจุบัน นักวิชาการบางคนถึงกับประมาณว่า หากบรรดาองค์กรอาชญากรรมถอนการลงทุนทันที อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกได้
องค์กรอาชญากรรมในปัจจุบันมีความเป็นสากล ใช้เทคนิคการจัดการสมัยใหม่ ไม่ต่างจากบริษัทข้ามชาติอื่น ๆ และใช้เทคโนโลยีในการฟอกเงิน เช่น กรณีของระบบเงินดิจิทัล และใช้ระบบโอนเงิน SWIFT Network ซึ่งหมายถึงเครือข่าย SWIFT (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication) หรือ “ระบบการส่งข้อความระหว่างสถาบันการเงินทั่วโลกที่ปลอดภัย” เพื่อใช้ในการสื่อสารคำสั่งการทำธุรกรรมทางการเงิน โดยเฉพาะการโอนเงินระหว่างประเทศ
3. ความจริงในประเทศไทย
ประเทศไทยโชคดีมากที่หลุดพ้นจากนโยบายเอนเทอร์เทนเม้นต์ คอมเพล็กซ์ ช่วงปีที่ผ่านมา เพราะหากเปิดได้จริง ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติที่สลับซับซ้อนอย่างไม่สงสัย
ถึงอย่างไรก็ตาม ปัญหาสแกมเมอร์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในขณะนี้ ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหา “องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ”
“จีนเทา” ในปัจจุบัน กลายเป็น “จีนสากล” และ “กิจการธุรกิจระหว่างประเทศ” ไปนานร่วมยี่สิบปีแล้ว ความร่วมมือกับต่างประเทศขององค์กรอาชญากรรม ทำให้ยากที่จะแยก “อาชญากรรม” ออกจาก “ธุรกิจระหว่างประเทศ”
การเปิดโปงว่านักการเมืองคนไหนเกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์บ้าง ย่อมเป็นสิ่งที่ดี และมีประโยชน์ต่อนโยบายการปรามปรามอาชญากรรมสมัยใหม่
แต่ที่สำคัญกว่า การระบุตัวผู้กระทำความผิดและพยานหลักฐาน คือ การมี “นโยบายการแก้ปัญหาองค์กรอาชญากรรม กฎหมายและแผนงานที่ชัดเจน”
ประเทศไทยต้องเริ่มต้นจากการเปลี่ยนความคิดในการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ให้ตรงกันก่อน ว่า “ปัญหาองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติในปัจจุบัน” มีขนาดใหญ่เกินว่าที่ “ตำรวจ” จะรับมือได้เอง โดยไม่ร่วมมือกับองค์กรปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติระหว่างประเทศ
ประเทศไทยต้องการการศึกษาทบทวนปัญหาของตัวเอง เช่น พระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมกับองค์กรอาชญากรรมของไทย กฎหมายการยึดทรัพย์ของ ปปง. และวิธีการยึดทรัพย์ของไทยในปัจจุบันว่า กฎหมายเหล่านี้สอดคล้องกับหลักสากลหรือไม่
แน่นอนว่า ไทยต้องพบว่าตัวเองใช้กฎหมายปราบองค์กรอาชญากรรม “อ่อนแอ” กว่า “สากล” เช่น สหรัฐอเมริกาสามารถยึดทรัพย์ “เฉิน จื้อ” ได้ทันทีสี่แสนกว่าล้านบาท ทำนองเดียวกันกับอังกฤษ เกาหลีใต้และสิงคโปร์ ขณะที่ไทยยังต้องมาฟังก่อนว่าเข้ามูลฐานความผิดฟอกเงินหรือไม่ และเข้ากระบวนการสืบทรัพย์ก่อนว่า ทรัพย์ของ “เฉิน จื้อ” มีอยู่ในไทยหรือไม่ และต้องเสนอพยานหลักฐานต่อศาล ให้ศาลมีคำสั่งยึดทรัพย์ ซึ่งเป็นกระบวนการทางกฎหมายที่ยาวมาก
ไทยจำเป็นมากต้องหันมาเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย อันได้แก่ ออกกฎหมายที่เข้มงวดยิ่งขึ้น เช่น มีกฎหมายจัดการกับองค์กรอาชญากรรมโดยตรง มากกว่าการกำหนดเพียงอำนาจสอบสวนหรือไต่สวน เช่น กฎหมาย RICO ของสหรัฐอเมริกา ที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ยึดทรัพย์สินได้โดยตรง มีกฎหมายลงโทษแบบังคับที่ไม่สามารถขอลดโทษได้ เช่น กฎหมายการลงโทษประเภท “mandatory sentencing” ของสหรัฐอเมริกา มีกฎหมายห้ามกระทำผิดซ้ำเกินสามครั้ง เช่น กฎหมาย “three-strike laws” ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งหากมีผู้กระทำผิดครั้งที่สามจะถูกจำคุกขั้นต่ำ 25 ปีโดยไม่มีการลดโทษ มีกฎหมายพุ่งเป้าในการจัดการกับผู้กระทำความผิดยาเสพติด เช่น กฎหมาย “targeted-drug enforcement” ของสหรัฐอเมริกา
กฎหมายเหล่านี้ ทำให้ผู้กระทำความผิดเกรงกลัวและเคารพกฎหมาย คนไทยหลายคนอาจตกใจถ้าหากรู้ข้อมูลว่า ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาหันมาใช้กฎหมาย “ไม้แข็ง” มากกว่าการคำนึงถึงสิทธิของผู้ต้องหาหรือจำเลยมานานแล้ว เมื่อเร็ว ๆ นี้มีการสำรวจถามคนอเมริกันว่าเห็นด้วยกับโทษประหารชีวิตหรือไม่ ปรากฏว่าคนอเมริกันจำนวน 62% สนับสนุนให้มีโทษประหารชีวิต และหลายมลรัฐหันกลับมาใช้โทษประหารชีวิต
นอกจากนั้น ประเทศไทยเราต้องการ “ตำรวจ” ที่ออกมารับตรง ๆ ว่า “ตำรวจไทย” ยังมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอ ตำรวจไทยยังมีปัญหาการคอร์รัปชั่นกันจริง เช่น มีระบบการเก็บส่วยอยู่ทั่วไป และต้องปรับปรุงอะไรบ้าง เช่น ระบบการทำงานแบบ “พุ่งเป้า” และการประเมินผลผู้บังคับบัญชาและกลุ่มผู้บริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถ้าทำไม่ได้ตามเป้า ก็ควรต้องถูกให้ออกจากตำแหน่งไป เพื่อเปิดโอกาสให้ “คนอื่น” มาทำแทน
รวมทั้งที่สำคัญ คือ เราต้องการ “รัฐบาล” ที่ออกมารับตรง ๆ ว่า “ปัญหาองค์กรอาชญากรรม” เป็นปัญหาใหญ่ของโลก โดยมีงานการวิจัยสนับสนุนข้ออ้างของรัฐบาล
รัฐบาลต้องนำเสนอ “แผนปฏิบัติการ” โดยตั้งคณะทำงานขึ้น มีมือปราบทางกฎหมายที่สังคมนับถือ เช่น อาจารย์วิชา มหาคุณ หรืออาจารย์จรัล ภักดีธนากุล มาเป็นประธาน ออกคำสั่งบังคับให้ตำรวจ ปปง. ปปช. และ DSI ทำแผนปฏิบัติการระยะสั้นและระยาว และลงมือทำในทันที ถ้าทำไม่ได้ ก็เปลี่ยน “คนใหม่” มาทำแทน
โดยมี “คุณวิโรจน์” ซึ่งรู้เรื่องการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติอย่างดี เข้ามามีตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล และลงมือทำจริงเสียที เอาให้มันรู้เลยว่าที่ “คุณวิโรจน์” ที่วิจารณ์ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติอย่างน่าฟังนั้น ทำจริงจะเป็นอย่างไร
พร้อมกับแจ้งข้อมูลให้ประชาชนรับทราบเป็นระยะ ๆ ตามสิทธิที่ประชาชนควรรู้ (right to know) ว่ารัฐบาลกำลังทำอะไรอยู่ และจะสำเร็จเมื่อใด ไม่ใช่ฝ่ายรัฐบาลมุ่ง “จัดอีเว้นต์” โดยมีรัฐมนตรีนั่งรอรับใบสั่ง คิดอ่านทำอะไรด้วยตัวเองไม่เป็น ขณะที่ฝ่ายค้านก็มุ่ง “ถล่ม” เขาไปวัน ๆ
เพื่อให้ประชาชนเห็นตรงกันว่า ถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องใช้นโยบายความยุติธรรมทางอาญาประเภท “ไม้แข็ง” เพื่อปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติเสียที
บทความโดย :
ทนายบ้าน ๆ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา