
"...สรุปว่า “The Catch-All Party” เป็นพรรคที่ลดอุดมการณ์ลง เน้นการสร้างความเข้มแข็งให้แก่กลุ่มผู้นำมากกว่าสมาชิก มุ่งดึงดูดคะแนนเสียงจากคนทุกกลุ่ม จึงอาจเรียกชื่อในภาษาไทยว่า “พรรคการเมืองที่มุ่งตอบสนองต่อคนทุกกลุ่ม” เนื่องจากปรากฏการณ์ในเยอรมันช่วงทศวรรษ 1950 นั้น พรรคที่ยึดอุดมการณ์จะมีฐานความสนับสนุนแคบลงและได้รับเลือกตั้งน้อยลงเรื่อย ๆ..."
1. The Catch-All Party
ตำราพรรคการเมืองไทย มักเขียนว่า “The Catch-All Party” เป็นรูปแบบใหม่ของพรรคการเมืองของโลกในปัจจุบัน แต่ความจริง พรรครูปแบบนี้ได้เสื่อมความนิยมลงแล้ว
“The Catch-All Party” เป็นรูปแบบพรรคการเมืองที่คิดขึ้นโดยอ็อตโต เคริดช์ไฮเมอร์ (Otto Kirchheimer) เมื่อ ค.ศ. 1954 จากข้อสังเกตของเขาต่อพรรคการเมืองเยอรมัน เขาอธิบายว่าพรรครูปแบบนี้มีลักษณะสำคัญ 4 ประการ คือ
(1) เป็นพรรคการเมืองที่ลดอุดมการณ์เดิมลงเป็นอย่างมาก เพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้เลือกตั้งให้กว้างขึ้น
(2) เน้นการสร้างความเข้มแข็งให้แก่กลุ่มผู้นำระดับสูง และให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพมากกว่าอุดมการณ์
(3) ลดบทบาทความสำคัญของสมาชิกพรรคการเมือง เห็นได้จากการเมืองสมัยใหม่ที่สมาชิกพรรคมีส่วนร่วมกับพรรคน้อยมาก
(4) เน้นการดึงดูดคนจากกลุ่มผลประโยชน์หลายกลุ่มเพื่อความสนับสนุนทางการเงินและการเลือกตั้ง
สรุปว่า “The Catch-All Party” เป็นพรรคที่ลดอุดมการณ์ลง เน้นการสร้างความเข้มแข็งให้แก่กลุ่มผู้นำมากกว่าสมาชิก มุ่งดึงดูดคะแนนเสียงจากคนทุกกลุ่ม จึงอาจเรียกชื่อในภาษาไทยว่า “พรรคการเมืองที่มุ่งตอบสนองต่อคนทุกกลุ่ม” เนื่องจากปรากฏการณ์ในเยอรมันช่วงทศวรรษ 1950 นั้น พรรคที่ยึดอุดมการณ์จะมีฐานความสนับสนุนแคบลงและได้รับเลือกตั้งน้อยลงเรื่อย ๆ
2. ความเสื่อมของ The Catch-All Party
ปัจจุบัน พรรคและการเมืองที่มุ่งตอบสนองต่อคนทุกกลุ่ม หรือ “the Catch-All Party” หรือ “the Catch-All Politics” เสื่อมลงอย่างมาก
สาเหตุมาจากโลกาภิวัตน์ (Globalization) ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบต่อนโยบายทางการเมือง โลกเกิดทุนเคลื่อนย้ายและพึ่งการค้าระหว่างประเทศ เหตุการณ์ทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศจึงเป็นตัวจำกัดขอบเขตของนโยบายพรรคการเมือง และเป็นแรงผลักดันสำคัญให้พรรคการเมืองต้องปรับตัว
หลายประเทศเกิดการขาดดุลการชำระเงินที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เกิดการแข่งขันทางการค้าอย่างรุนแรงและมีผลกระทบต่อการจ้างงานในประเทศ อุตสาหกรรมหลายแห่งต้องปรับตัวด้านคุณภาพ ธนาคารระหว่างประเทศมีนโยบายการเงินที่เข้มงวด ข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ เช่น ตลาดร่วมยุโรป มีผลให้การว่างงานสูงขึ้นและอัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง รวมไปถึงความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดลง
โลกาภิวัตน์บังคับให้พรรคการเมืองรับเอาอุดมการณ์ตลาดเสรีมาใช้ ซึ่งกลายเป็นข้อจำกัดของพรรคการเมืองที่จะไปสัญญากับผู้เลือกตั้งว่า “การเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคตนจะทำอะไรบ้าง” เช่น การเพิ่มสิทธิสวัสดิการแก่แรงงาน หรือสวัสดิการรักษาพยาบาลฟรีแก่พลเมือง หรือการนำเงินงบประมาณของประเทศไปแจกประชาชน เพราะการกระทำดังกล่าวขัดต่ออุดมการณ์ตลาดเสรีและขัดต่อฐานะการเงินและการคลังของประเทศ ซึ่งต่อมาจะกลายเป็น “สัญญาลม ๆ แล้ง ๆ ในที่สุด”
พรรคการเมืองที่ดีต้องไม่ “โกหก” ประชาชน พรรคสังคมประชาธิปไตยดั้งเดิมในโลกจึงปรับตัวตามโลกาภิวัตน์ เพื่อหาทางรักษาอำนาจเอาไว้ โดยลดความคาดหวังของผู้เลือกตั้งลง
นอกจากนี้ยังมีนโยบายที่ถูกกำหนดตายตัวมาจากต่างประเทศ เช่น “ธนาคารกลางของประเทศต้องเป็นอิสระ” (central bank independence) พรรคการเมืองจึงไม่อาจแทรกแซงธนาคารกลางและแทรกแซงนโยบายการเงิน หรือสามารถกำหนดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามใจชอบ
2.1 กรณีของอังกฤษ
ทศวรรษ 1970 อังกฤษลดการเมืองที่มุ่งตอบสนองคนทุกกลุ่ม เพราะปัญหาการเงิน เริ่มจากพรรคแรงงานภายใต้การนำของนีล คินน็อค (Neil Kinnock) ลดการให้คำมั่นสัญญาแก่ผู้เลือกตั้งและหันมาใช้นโยบายรวมศูนย์มากขึ้น
ต่อมา โทนี แบลร์ (Tony Blair) ใช้นโยบายแรงงานใหม่ (New Labor) หันมาสนับสนุนธุรกิจและวางตัวห่างออกจากสหภาพแรงงาน ภายหลังเขาได้แถลงการณ์ร่วมกับเกอร์ฮาร์ด ชโรเดอร์ (Gerhard Schroder) นายกรัฐมนตรีเยอรมัน เพื่อลดการแข่งขันกันทางนโยบาย แสดงให้เห็นว่าทั้งสองคนได้มุ่งสู่นโยบายเสรีนิยมใหม่เหมือนกัน
2.2 กรณีของสวีเดน
พรรคการเมืองในสวีเดนเป็นพรรคแนวสังคมนิยมประชาธิปไตย ตอนแรกในทศวรรษ 1980 มุ่งนโยบายทางเลือกที่สาม (third way) ใช้นโยบายเพิ่มสวัสดิการสังคม ซึ่งทำได้ในช่วงระยะที่เศรษฐกิจดี
แต่ต่อมา เริ่มหันมาหานโยบายโปรตลาดเสรี (pro-market ideas) เพราะนโยบายสวัสดิการสังคมมีผลกระทบต่อ “ต้นทุน” ธุรกิจ ช่วงปลายทศวรรษ 1980 สวีเดนจึงเริ่มปฏิรูปภาษีและลดกฎระเบียบทางการเงิน แต่กลับเกิดวิกฤติฟองสบู่จากกิจการอสังหาริมทรัพย์และอัตราการว่างงานสูง
ตอนเลือกตั้ง ค.ศ. 1998 พรรคการเมืองพรรคใหญ่สองพรรค คือ พรรคสังคมประชาธิปไตย (Social Democratic Party) กับพรรคดิโมแครตสวีเดน (Sweden Democrats) หันมาใช้นโยบายเสรีนิยมใหม่ (neoliberal Politics) เหมือนกัน คือ เน้นการควบคุมเงินเฟ้อมากกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจ
การเลือกตั้ง ค.ศ. 1998 พรรคสังคมประชาธิปไตยได้คะแนนน้อยลงจาก 45.4% เหลือ 36.5% แสดงให้เห็นว่าคนสวีเดนต้องการให้รื้อฟื้นรัฐสวัสดิการ แต่พรรคสังคมประชาธิปไตยยังได้เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย (a minority government) โดยมีพรรคฝ่ายซ้ายสนับสนุน
3. รูปแบบพรรคการเมืองแบบใหม่ที่เข้ามาแทน the Cath-All Party
พรรคการเมืองในโลกส่วนใหญ่ จึงมีแนวโน้มที่จะเกิดรูปแบบพรรคการเมืองแบบใหม่ ได้แก่ พรรคการเมืองที่ตกลงว่าจะไม่แข่งขันกันหรือการแข่งขันกันน้อยลง ซึ่งเรียกว่า “Cartelization of Political Parties”
การตกลงว่าจะไม่แข่งขันกัน/แข่งขันกันน้อยลงนี้ ไม่ถึงกับต้องลงนามเป็นสัญญาเป็นทางการ อาจเป็นความตกลงร่วมกัน เช่น จับมือกัน หรือพูดคุยกัน
ส่วนการแข่งขันกันในการเลือกตั้ง ก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่แข่งขันกันเลย 100% อาจเป็นการต่อยกันจริงบนเวที แต่พอลงมาจากเวทีก็ต้องหาทางจับมือกัน โดยเฉพาะระบบหลายพรรค เป็นเรื่องยากมากที่พรรคการเมืองใดจะได้เสียงข้างมากและเป็นรัฐบาลพรรคเดียว
แม้ว่า คำว่า “Cartel Party” จะนำมาจากธุรกิจ หมายถึง “การรวมกิจการเพื่อผูกขาดการค้า” แต่ เมื่อเอามาใช้ในทางการเมือง ไม่ถึงกับหมายถึงการผูกขาดการเมืองทีเดียว
หากแต่หมายถึงการร่วมมือกันเพื่อการอยู่รอดทางการเมืองและความมั่นคงของพรรคการเมืองร่วมกัน
พรรคที่มีข้อตกลงกันเช่นนี้จึงมักมีคนกลาง หรือหน่วยงานที่ไม่ใช่การเมืองเข้ามาเป็นคนกลางด้วย สำหรับประเทศไทย ก็อย่างเช่น คุณทักษิณ หรือคุณธนาธร หรือคุณเนวิน หรือระบบราชการ เช่น กองทัพ
คงไม่มี “รัฐใด” ในโลก ที่ยอมให้พรรคการเมืองใด ได้เสียงข้างมาก เพื่อมายกเลิกสถาบันและเปลี่ยนระบบราชการตามอำเภอใจ
สำหรับต่างประเทศ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิด “Cartel Party” มาจากการให้เงินอุดหนุนของรัฐ อันเป็นผลให้พรรคการเมืองลดการพึ่งพิงเงินทุนจากเอกชน พรรคการเมืองจึงมีความแตกต่างกันน้อยลง
ส่วนประเทศไทย ย่อมสังเกตได้จาก “การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล” ในเร็ววนี้ คงไม่เกิดขึ้นได้ง่าย หรือถึงเกิดขึ้นได้ ก็เป็นเพียงพิธีกรรมที่มีผลแต่เพียงเบาบาง
เช่น พรรคเพื่อไทยคงไม่เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลจนแตกหัก โดยไม่เว้นไมตรีให้พรรคภูมิใจไทย เพราะต้องคิดถึงการเป็นรัฐบาลร่วมกันในวันข้างหน้า
พรรคการเมืองในโลกนิยมแบ่งกันออกเป็น 3 แถว แถวหนึ่ง คือ ผู้มีอำนาจต่อรองตัวจริง แถวสอง คือ ผู้บริหารพรรค ส่วนแถวสาม คือ ผู้ปฏิบัติงาน/นักรบของพรรค
“ความจริงทางการเมือง” จึงมักไม่ได้มาจาก “ผู้ปฏิบัติงาน/นักรบของพรรค” แต่มาจาก “ผู้มีอำนาจต่อรองตัวจริง”
ทำนองเดียวกันกับพรรคกล้าธรรม พรรคพลังประชารัฐ หรือพรรคประชาธิปัตย์ ฯลฯ ที่คิดถึงการรอมชอมกันทางการเมือง
ส่วนพรรคประชาชนก็มี MOA มีตัวค้ำยัน และพรรคได้สร้างความหวังไว้ให้กับผู้เลือกตั้งของตนแล้วว่า “จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” หากรัฐบาลล้ม MOA ก็ล้ม และการแก้รัฐธรรมนูญก็ล้มเป็นลูกโซ่ และย่อมทำลาย “ความหวัง” ของผู้เลือกตั้ง
นอกจากนั้น ตามทฤษฎีรัฐบาลเสียงข้างน้อย (Minority Government Theory) พรรครัฐบาลเสียงข้างน้อยย่อมถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ได้ ไม่มีรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่ไหนในโลกถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ เนื่องจากการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยต้องตกลงกันก่อนว่าจะไม่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ส่วนตามกฎหมายรัฐธรรมนูญไทย เมื่ออภิปรายจนคุณอนุทินพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็ยังยุบสภาไม่ได้อยู่ดี ต้องคืนอำนาจให้รัฐสภาเพื่อหาคนใหม่มาเป็นนายกรัฐมนตรี อันมีตัวอย่างมาแล้วจากกรณีของคุณภูมิธรรม รักษาการนายกรัฐมนตรี
เมื่อคืนอำนาจให้สภาผู้แทนราษฎรเลือกนายกรัฐมนตรีก็เสียเวลา สู้รอ “คุณอนุทิน” ยุบสภาตาม MOA ไม่ได้อยู่ดี
ส่วนที่ “เต้นแร้งตากา” อยู่นั้น ย่อมเห็นชัดว่า “กระทำพอเป็นพิธี”
บทความโดย :
ทนายบ้าน ๆ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา