
"...ชัยชนะของนาย มัมดานี อาจมองได้ว่าเป็นชัยชนะของคนตัวเล็กในสังคมที่มีต่อผู้ที่กุมอำนาจมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แต่คนส่วนใหญ่(แม้แต่ในพรรค) ยังไม่เชื่อว่าแนวทางการเมืองของนาย มัมบานี จะสามารถใช้เป็นแบบอย่างสำหรับการเลือกตั้งที่อื่นๆ เนื่องจากนิวยอร์กมีเอกลักษณ์พิเศษของการเมืองที่มีพลวัตรสูงและปรับตัวอย่างรวดเร็วเสมอ..."
เมื่อวันที่ 4 ต.ค.2568 ได้มีการจัดการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองใหญ่ๆ ในสหรัฐพร้อมกัน 19 แห่ง โดยความสนใจส่วนใหญ่มุ่งไปที่การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก ซึ่งมีนาย โซห์รัน มัมดานี เป็นตัวแทนพรรคเดโมเครตลงแข่งขันและชนะการเลือกตั้งได้เป็นนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กที่อายุน้อยที่สุด (34 ปี) เป็นมุสลิมและผู้มีเชื้อสายเอเชียใต้คนแรก
ตำแหน่งนายกเทศมนตรีอาจจะดูไม่ใช่ตำแหน่งใหญ่โตมาก แต่นครนิวยอร์กเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ประชากรเกือบ 10 ล้านคน เป็นศูนย์กลางการค้าและการเงินของโลก อีกทั้งเป็นเมืองที่มีการผสมผสานของประชากรเชื้อชาติต่างๆ มากที่สุดเมืองหนึ่งของสหรัฐฯ และมีชุมชนชาวยิวที่ใหญ่ที่สุดนอกประเทศอิสราเอล (กว่า 2 ล้านคน หรือ 25% ของคนเชื้อชาติยิวในสหรัฐฯ) งบประมาณประจำปีของเมืองมากกว่า 100 พันล้านสหรัฐฯ หรือใกล้เคียงกับงบประมาณไทยทั้งประเทศ
ประวัติส่วนตัว
นาย มัมดานี อายุ 34 ปี เป็นคนอเมริกันเชื้อสายอินเดีย ถือสัญชาติอเมริกันและยูกันดา เนื่องจากบิดา-มารดาเคยทำงานในแอฟริกาหลายปี เขาเกิดที่ยูกันดาและตอนเด็กได้ย้ายไปอยู่แอฟริกาใต้จนอายุ 7 ปี จึงย้ายตามบิดา-มารดามาอยู่สหรัฐฯ และได้รับสัญชาติสหรัฐฯ เมื่อปี ค.ศ.2018 ตอนอายุ 17 ปี
การที่บิดาเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียง สอนการเมืองการปกครองแอฟริกาที่มหาวิทยาลัยชั้นนำในแอฟริกาและสหรัฐฯ เขาจึงสนใจทางการเมืองตั้งเด็กและเลือกเรียนทางด้านแอฟริกันศึกษาตอนเรียนปริญญาตรี ซึ่งระหว่างเป็นนักศึกษาเขาได้มีบทบาทสำคัญในกิจกรรมเรียกร้องสิทธิและความชอบธรรมของปาเลสไตน์ ยังผลให้เรื่องนี้เป็นแนวความคิดทางการเมืองที่ชัดเจนของเขามาจนปัจจุบัน
การเป็นตัวแทนพรรคเดโมเครต
นาย มัมดานี เป็นสมาชิกสภาของรัฐนิวยอร์กมาตั้งแต่ปี 2020 (คล้ายตำแหน่งสก.ของกรุงเทพฯ)และชนะการเลือกตั้งได้เป็นตัวแทนพรรคฯ เมื่อเดือนมิ.ย. 2568 เหนือนาย แอนดรู โควโม อดีตผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ซึ่งต้องลาออกจากตำแหน่งเพราะข้อกล่าวหาเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศผู้ร่วมงาน ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์เหนือการคาดหมายและเป็นก้าวกระโดดทางการเมืองครั้งสำคัญสำหรับนาย มัมดานี
ในตอนแรกที่ลงสมัครคนแทบไม่มีใครรู้จักเขาเลย แต่ด้วยแนวนโยบายที่พร้อมสู้กับผู้อยู่ในอำนาจมานานและการใช้โซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะ TikTok อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการเข้าถึงประชาชนชั้นกลางและชั้นล่างโดยการส่งอาสาสมัครไปเคาะประตูบ้าน ทำให้เขากลายเป็นขวัญใจคนรุ่นใหม่ในเวลารวดเร็วและสามารถเอาชนะนาย โควโม ด้วยคะแนนเสียงกว่า 12% ทำให้นาย โควโม ต้องไปสมัครแข่งในนามผู้สมัครอิสระ
นโยบายหลักในการเลือกตั้ง
นาย มัมดานี ประกาศชัดเจนว่าเขาเป็นพวกสังคมนิยม แต่เป็นสังคมนิยมประชาธิปไตย (Democratic Socialist) และหาเสียงด้วยนโยบายรัฐสวัสดิการสุดขั้ว อาทิ การให้บริการรถเมล์ฟรี การให้บริการศูนย์รับเลี้ยงเด็กอ่อน การจัดตั้งร้านค้าราคาประหยัด และการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 30 เหรียญฯ ต่อชั่วโมง โดยจะนำงบประมาณมาจากการเพิ่มภาษีผู้มีรายได้เกิน 1 ล้านเหรียญ/ปี
ทั้งหมดนี้ เพื่อเพิ่มรายได้-ลดรายจ่ายประชาชน ภายใต้คำขวัญ “Affordability” หรือ “ราคาที่จ่ายไหว” ที่ใช้เป็นแนวทางหลักของการหาเสียง
ฐานสนับสนุนสำคัญอยู่ที่ผู้ลงคะแนนที่อายุไม่เกิน 35 ปี ที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้
อย่างไรก็ตาม การประกาศนโยบายซ้ายสุดโต่งทำให้คนในพรรคเดโมเครตจำนวนไม่น้อยไม่กล้าออกตัวสนับสนุน แม้แต่ผู้บริหารพรรคเองก็ไม่ได้ออกมาสนับสนุนจนใกล้เวลาเลือกตั้งมากแล้ว เพราะส่วนใหญ่มีความกังวลว่านโยบายซ้ายจัดจะไม่ช่วยให้พรรคได้รับการเลือกตั้งสส.ในปีหน้า (mid-term election)
การประกาศแนวความคิดสนับสนุนปาเลสไตน์และกล่าวหาว่ารัฐบาลอิสราเอลดำเนินนโยบาย “ฆ่าล้างเผ่าพันธ์” โดยพร้อมจะจับตัวนาย เนทันยาฮู ส่งตัวให้ศาลอาญาระหว่างประเทศทันทีหากมีการเดินทางมานิวยอร์ก ทำให้คะแนนเสียงสนับสนุนจากชุมชนชาวยิวได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น
แต่สุดท้ายต้องมีการประดิษฐ์ถ้อยคำให้คนเชื้อสายยิวมีความรู้สึกว่าคนจะเป็นนายกเทศมนตรีไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนโยบายอิสราเอล ควรดูนโยบายปากท้องเป็นหลัก
สิ่งท้าทายในอนาคต
ชัยชนะของนาย มัมดานี อาจมองได้ว่าเป็นชัยชนะของคนตัวเล็กในสังคมที่มีต่อผู้ที่กุมอำนาจมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แต่คนส่วนใหญ่(แม้แต่ในพรรค) ยังไม่เชื่อว่าแนวทางการเมืองของนาย มัมบานี จะสามารถใช้เป็นแบบอย่างสำหรับการเลือกตั้งที่อื่นๆ เนื่องจากนิวยอร์กมีเอกลักษณ์พิเศษของการเมืองที่มีพลวัตรสูงและปรับตัวอย่างรวดเร็วเสมอ
ในช่วงท้ายๆของการหาเสียงประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศสนับสนุนนาย โควโม แม้ว่าไม่ใช่ผู้สมัครของพรรคริพับริกัน(สมัครอิสระ)และเป็นคนเคยแข่งขันเป็นผู้แทนพรรคเดโมเครตมาก่อน แต่ก็ถือว่าเป็นตัวแทนของกลุ่มผู้กุมอำนาจเก่าที่ยึดนโยบายสายกลางและได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มทุนใหญ่ของนิวยอร์ก ซึ่งล้วนเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดของประธานาธิบดีทรัมป์
พร้อมทั้งการประกาศว่า หากนาย มัมดานี ซึ่งนาย ทรัมป์ เรียกอย่างเต็มปากเต็มคำว่า “คอมมิวนิสต์” ชนะการเลือกตั้ง เขาจะพิจารณาตัดเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางที่ให้กับนิวยอร์ก ดังนั้น จึงต้องติดตามดูว่านาย ทรัมป์ จะดำเนินการอย่างไรต่อไป นอกจากนี้ ยังมีประเด็นการส่งกำลังทหารไปดูแลความสงบเรียบร้อยที่นครนิวยอร์กโดยไม่รอคำขอหรือการเห็นพ้องของรัฐบาลท้องถิ่น เหมือนที่ส่งไปที่กรุงดี.ซี ลอสแองเจลลิส ชิคาโก ฯลฯ ก็จะเป็นปัญหารอการปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ
ภายในพรรคเดโมเครตเองนาง แคธี โฮชู ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กก็เคยประกาศไม่เห็นด้วยกับนโยบายเพิ่มภาษีเงินได้คนรวยของนาย มัมดานี ดังนั้น การลดความเข้มข้นของนโยบายเพื่อสร้างความยอมรับภายในพรรคก็จะเป็นเรื่องท้าทายความสามารถของนักการเมืองหนุ่มเชื้อสายอินเดีย-อเมริกันคนนี้
บทความโดย :
เจษฎา กตเวทิน
ภาพประกอบ : CNN

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา