
"...ผู้ร้องได้ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้เลิกการกระทำที่เป็นการปฏิบัติตาม MOA และเลิกการกระทำที่ฝ่าฝืนคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องที่มาของผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดมาตรการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัย ให้ชะลอการนำเอารูปแบบการสรรหาผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ที่อยู่ในร่างที่เสนอโดย สส.ของพรรคประชาชน เอาไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว..."
หลังจากรัฐสภาผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระที่ 1 รับหลักการร่างที่เสนอโดยพรรคประชาชน (ปชน.) และพรรคภูมิใจไทย โดยร่างของพรรคเพื่อไทยตกไปเนื่องจากเสียงของ สว.ไม่ถึงตามเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญกำหนด และรัฐสภาได้โหวตให้ร่างของพรรคประชาชน เป็นร่างหลักเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญในขณะนี้ โดยโฆษกคณะกรรมาธิการได้แจ้งกับสื่อมวลชนว่า สูตรการสรรหาสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) หรือคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ (กมธ.) น่าจะเป็นการผสมผสานกันระหว่างสูตรของพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทย
โดยสูตรของพรรคประชาชน ให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรงเป็นจำนวน 70 คน หรือ 2 เท่าของจำนวนที่กำหนดไว้ จากนั้นจึงส่งรายชื่อ 70 คนนี้ ให้รัฐสภาคัดเลือกเหลือครึ่งหนึ่งเป็นจำนวนตามที่กำหนดคือ 35 คน โดย 35 คนนี้เท่านั้นที่ทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยมีสภาที่ปรึกษาที่เลือกโดยตรงจากประชาชนอีก 100 คน ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ซึ่งสูตรของพรรคประชาชนมีหลักการสำคัญคือ ให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญมีความยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด
ส่วนสูตรของพรรคภูมิใจไทย ให้ประชาชนที่สนใจเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญยื่นใบสมัครที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จากนั้นส่งรายชื่อและประวัติให้รัฐสภาคัดเลือกเหลือจังหวัดละ 1 คน รวมเป็น 77 คน เรียกว่า สสร.จังหวัด และอีกส่วนหนึ่งรัฐสภาเลือกผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ อีก 22 คน เรียกว่า สสร.ผู้ทรงคุณวุฒิ รวมเป็น สสร.ทั้งหมด 99 คน โดยให้มี กมธ.ผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ 45 คน ซึ่ง 2 ใน 3 ต้องมาจาก สสร.99 คน โดยสูตรของพรรคภูมิใจไทยมีหลักการสำคัญคือ ให้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญมีความยึดโยงกับประชาชนเท่าที่ไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ได้วินิจฉัยไว้เมื่อวันที่ 10 ก.ย.2568 ว่ารัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง
การผสมผสาน 2 สูตรนี้เข้าด้วยกันอย่างไร คณะกรรมาธิการวิสามัญยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน
เรื่องที่เป็นความเสี่ยงในขณะนี้คือ จะรู้ได้อย่างไรว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีดุลพินิจหรือมีความเห็นเช่นไรเกี่ยวกับรูปแบบการสรรหาผู้ร่างรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนซึ่งเป็นร่างหลัก ถ้าหากไม่ส่งคำร้องสอบถามไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้วินิจฉัย แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องก็คงไม่มีใครกล้าที่จะดำเนินการให้มีการยื่นคำร้องอีกแล้วในช่วงเวลานี้ เพราะกลัวจะมีของแถมกลับมา และจะทำให้กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องล่าช้าออกไปอีกเป็นเวลานาน ซึ่งแน่นอนว่าคำถามที่ 2 ในการออกเสียงประชามติที่กำหนดไทม์ไลน์ไว้ว่าจะมีขึ้นในวันเดียวกับการเลือกตั้ง สส.ครั้งหน้าในช่วงปลายเดือน มี.ค.2569 ก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ทัน ครั้นจะยกเลิกสูตรของพรรคประชาชนไปทั้งหมด แล้วใช้สูตรของพรรคภูมิใจไทยไปเลยโดยไม่ต้องผสมผสานกัน พรรคประชาชนก็คงจะไม่ยอมเพราะพรรคประชาชนย่อมเห็นว่า ผู้ร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกโดยตรงของประชาชน จะทำให้บุคคลในเครือข่ายของพรรคตนหรือผู้ที่มีอุดมการณ์เดียวกันได้รับเลือกเข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้พรรคประชาชนสามารถผลักดันให้มีการร่างรัฐธรรมนูญไปในแนวทางที่ต้องการได้ง่ายกว่า แต่ขณะที่การผสมผสาน 2 สูตรเข้าด้วยกัน โดยยังคงมีผู้ร่างรัฐธรรมนูญส่วนหนึ่งมาจากการเลือกของประชาชนโดยตรง ย่อมมีความเสี่ยงสูงหากกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญได้ดำเนินการไปแล้วไม่ว่าจะอยู่ในขั้นตอนใด อาจมีผู้ยื่นเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญไม่ว่าด้วยช่องทางใด หากศาลรัฐธรรมนูญรับไว้พิจารณาและวินิจฉัยว่าผู้ร่างรัฐธรรมนูญไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ การดำเนินการที่ผ่านมาทั้งหมดย่อมเป็นโมฆะหรือเป็นอันใช้ไม่ได้ ทำให้ต้องสิ้นเปลืองเวลาและงบประมาณเป็นจำนวนสูง โดยเฉพาะงบประมาณในการจัดให้มีการออกเสียงประชามติแต่ละครั้ง ซึ่งย่อมจะต้องมีผู้รับผิดชอบ
แต่น่าจะยังพอมีทางออกอยู่บ้าง เนื่องจากในขณะนี้ได้ยินข่าวมาว่า ได้มีการยื่นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสูตรการสรรหาผู้ร่างรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนไปถึงศาลรัฐธรรมนูญแล้ว โดยอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะรับคำร้องไว้พิจารณาหรือไม่ โดยเป็นเรื่องที่อยู่ในคำร้องเดียวกันกับที่มีผู้ยื่นคำร้องให้เลิกการกระทำที่เป็นการปฏิบัติตาม MOA ที่พรรคประชาชนริเริ่มขึ้น ซึ่งผู้ร้องเห็นว่า MOA ขัดต่อหลักการพื้นฐานและหลักการสำคัญตามรัฐธรรมนูญหลายประการ ตั้งแต่การคิดค้นหรือริเริ่มวิธีการให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาล ด้วยการจัดทำ MOA ที่มีเงื่อนไขที่เป็นการแบ่งปันอธิปไตยที่เป็นอำนาจบริหารมาให้ฝ่ายค้าน ทำให้เกิดการใช้อำนาจแฝงใน 2 เรื่องสำคัญ การกำหนดเนื้อหาใน MOA ที่มีลักษณะอาจเป็นการควบคุมครอบงำพรรคการเมืองอื่น รวมทั้งอาจเป็นเรียกหรือยอมจะรับเอาประโยชน์อื่นใดคืออำนาจแฝง 2 เรื่องสำคัญ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการทำให้คู่แลกเปลี่ยนตาม MOA ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีการประกาศว่าหากมีการบิดพลิ้ว พร้อมใช้เสียง สส.ที่มีอยู่ล้มรัฐบาลได้ทันที ซึ่งทำให้คู่แลกเปลี่ยนตาม MOA ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อที่ประชุมรัฐสภาว่า ในวันที่ 31 ม.ค.2569 จะยุบสภาแน่นอน นอกจากนี้ผู้ร้องยังเห็นว่าการกำหนดเวลายุบสภาไว้ล่วงหน้า 4 เดือน อาจเป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจในการยุบสภา และข้อตกลงใน MOA ยังเกี่ยวข้องกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาหมวด 1 และหมวด 2 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งอาจจะกระทบถึงพระราชอำนาจอีกเช่นกัน
โดย MOA ได้กำหนดให้คู่แลกเปลี่ยนและ ครม.ดำเนินการให้มีกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดย สสร.ที่มาจากการเลือกตั้ง จึงทำให้เรื่อง MOA เชื่อมโยงไปถึงสูตรการสรรหาผู้ร่างรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชนที่เป็นผู้ริเริ่มให้มี MOA ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญในขณะนี้
ผู้ที่ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ได้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 จากการที่เห็นว่าการริเริ่มให้มี MOA และบังคับใช้ MOA ของพรรคการเมืองที่มีหัวหน้าพรรคเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เป็นการกระทำที่ทำให้พรรคการเมืองฝ่ายค้านได้อำนาจปกครองประเทศมาส่วนหนึ่งที่เป็นอำนาจแฝงโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญหลายประการ ในระดับที่วิญญูชนพึงคาดหมายได้ว่า ผู้กระทำมีความมุ่งหมายให้เกิดผลเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยได้ยกตัวอย่างตัวแทนของวิญญูชนที่พึงคาดหมายได้เช่นนี้ เป็นตัวแทนของวิญญูชนที่อยู่ในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ ประกอบกับความเห็นของนักวิชาการทางด้านกฎหมายมหาชน นักวิเคราะห์การเมือง รวมทั้งสื่อมวลชนอีกจำนวนหนึ่ง ที่ถือเป็นตัวแทนของวิญญูชนที่มีความรู้ความเข้าใจการปกครองระบอบประชาธิปไตยในอีกระดับหนึ่ง เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญเห็นถึงความเป็นวิญญูชนที่มาจากหลากหลายระดับ ซึ่งเห็นว่าผู้กระทำน่าจะมีความมุ่งหมายให้เกิดผลเป็นการล้มล้างการปกครอง
โดยคำร้องเฉพาะในส่วนที่เชื่อมโยงไปถึงสูตรการสรรหาผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ระบุว่า ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 18/2568 เมื่อวันที่ 10 ก.ย.2568 ว่ารัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง พรรคการเมืองหนึ่งอาจได้จงใจกระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญ โดยไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว โดยได้กำหนดรูปแบบการได้มาของผู้ร่างรัฐธรรมนูญด้วยการเริ่มต้นจากประชาชนเลือกกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง จำนวน 70 คน และนำเอารายชื่อบุคคล 70 คน ที่ประชาชนเลือกมาโดยตรงนั้น เสนอต่อรัฐสภาให้คัดเลือกเหลือ 35 คน เพื่อเป็นคณะกรรมาธิการที่ทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญ โดยมีสภาที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ที่มาจากการเลือกโดยตรงของประชาชนอีก 100 คน วิญญูชนพึงเห็นได้ว่าการเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 35 คน เป็นการเลือกของประชาชนโดยตรง โดยประชาชนจะเลือกให้เกินกว่าจำนวนที่ต้องการไป 2 เท่า คือ 70 คน จากนั้นจึงนำเสนอต่อรัฐสภาให้คัดเลือกจาก 70 คนนี้ ให้คงเหลือ 35 คน เป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งบุคคล 35 คน ที่ได้รับเลือกเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ก็คือผู้ที่ประชาชนเลือกมาโดยตรง มิอาจถือได้ว่ารัฐสภาเป็นผู้เลือก เนื่องจากรัฐสภาจะต้องเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญจากบุคคล 70 คนนี้เท่านั้น ไม่อาจเลือกบุคคลอื่นนอกจากบุคคล 70 คนได้ และไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการเลือกของประชาชนโดยทางอ้อม เพราะผู้ร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 35 คน ล้วนเป็นผู้ที่ประชาชนเลือกมาโดยตรงทั้งสิ้น อีกทั้งสูตรนี้มีเพียงบุคคล 35 คนนี้เท่านั้นที่ทำหน้าที่โดยตรงในการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นไปตามความต้องการของพรรคการเมืองที่กำหนดรูปแบบนี้ขึ้นมาตามที่ปรากฏอยู่ใน MOA
คำร้องระบุอีกว่า การเสนอรูปแบบการเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญเช่นนี้ เกิดขึ้นภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเรื่องนี้แล้ว เป็นการบ่งบอกถึงความพยายามที่จะกระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ เนื่องจากเมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยตามหน้าที่และอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญตามที่บัญญัติไว้แล้ว จึงถือเป็นเด็ดขาดและมีผลผูกพันรัฐสภา การนำเสนอรูปแบบการเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของพรรคการเมืองนี้ บุคคลโดยทั่ว ๆ ไป ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะหรือมีระดับการศึกษาเช่นใด ย่อมเห็นได้ว่าเป็นรูปแบบที่ให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง ซึ่งเป็นข้อห้ามที่ปรากฏอยู่ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จึงเป็นการต่อต้านอำนาจตุลาการและขัดต่อรัฐธรรมนูญ โดยเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญในเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะนำไปสู่กระบวนการบัญญัติกฎหมายสูงสุดของประเทศ ซึ่งอาจกระทบต่อเนื้อหาในหมวด 1 และหมวด 2 ที่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน อันมีเนื้อหาส่วนหนึ่งเกี่ยวกับพระราชอำนาจ เมื่อประกอบกับการขัดต่อหลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญจากการที่ได้ริเริ่มให้มีและบังคับใช้ MOA แล้ว จึงเห็นได้ถึงความมุ่งหมายที่เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของพรรคการเมืองผู้ถูกร้อง
ผู้ร้องได้ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้เลิกการกระทำที่เป็นการปฏิบัติตาม MOA และเลิกการกระทำที่ฝ่าฝืนคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องที่มาของผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดมาตรการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัย ให้ชะลอการนำเอารูปแบบการสรรหาผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ที่อยู่ในร่างที่เสนอโดย สส.ของพรรคประชาชน เอาไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว
จึงต้องติดตามดูว่า จะสามารถหยุดยั้งความเสี่ยงที่จะทำให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่อาจเป็นโมฆะได้หรือไม่ เพื่อไม่ให้งบประมาณของแผ่นดินต้องถูกใช้ไปโดยสูญเปล่า

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา