
"...มิติสำคัญที่สุดของ MOU 2543 ก็คือ ในเมื่อผู้ไปลงนาม (รมช.ตท.) ไม่มีอำนาจ ผู้อนุมัติ (นรม.) ก็ไม่มีอำนาจ ในขณะที่ผู้มีอำนาจ (ครม.) ก็ไม่ได้ให้ความเห็นชอบและอนุมัติ แต่ในที่สุดก็ได้มีการลงนามและใช้บังคับมา 25 ปีแล้ว โดยไม่มีผู้ทักท้วงประเด็นนี้โดยตรง และได้มีการนำไปขึ้นทะเบียนเป็นสนธิสัญญากับสหประชาชาติแล้วในอีก 11 ปีต่อมา ทำให้ประเทศไทยต้องอยู่ในบังคับของกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยการทำสนธิสัญญา การที่ในวันนี้จะไปอ้างเหตุว่าขัดกับกฎหมายภายในประเทศ ก็ใช่ว่าจะมีผลได้ง่าย เพราะต้องไปพิจารณากฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับการนี้เป็นหลัก..."
ณ วันนี้จะไม่ขอพูดถึงเนื้อหาของ MOU 2543 แต่จะขอพูดถึงประเด็นใหม่ที่ยังไม่มีการหยิบยกขึ้นมาพูดกันเลย คือกระบวนการในการจัดทำ ยาวสักนิด แต่ค่อย ๆ ติดตามมาเถอะครับ - น่าสนใจแน่
แม้ MOU 2543 จะมีชื่อขึ้นต้นว่า “บันทึกความเข้าใจ…” แต่ก็มีลักษณะเป็น ”สนธิสัญญา“ จากคำยืนยันต่างกรรมต่างวาระของกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งฝ่ายประจำและฝ่ายการเมือง รวมทั้งรัฐบาลไทยได้นำไปขึ้นทะเบียนเป็นสนธิสัญญากับองค์การสหประขาขาติแล้วเมื่อปี 2554
กระบวนการทำสนธิสัญญาจะต้องชอบด้วยทั้งกฎหมายระหว่างประเทศและรัฐธรรมนูญไทย
กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ อรรถาธิบายไว้ชัดเจนในเอกสารเผยแพร่ความรู้แก่สาธารณะเรื่อง “หลักเกณฑ์และกระบวนการทำสนธิสัญญา” นำขึ้นเว็บไซด์ของกระทรวงครั้งแรกเมื่อปี 2565
“แม้ว่ารัฐธรรมนูญไทยจะบัญญัติว่า ‘พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการทำหนังสือสัญญาสันติภาพ สัญญาสงบศึก และสัญญาอื่น กับนานาประเทศหรือกับองค์การระหว่างประเทศ‘ ก็ตาม แต่ภายใต้รัฐธรรมนูญไทย พระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราชอำนาจทำหนังสือสัญญาผ่านทางคณะรัฐมนตรี ดังนั้น การทำหนังสือสัญญาของประเทศไทยจึงจะต้องได้รับความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหากไม่ได้รับความเห็นชอบจากบุคคลในตำเเหน่งดังกล่าวจึงไม่มีอำนาจหรือความสามารถที่จะทำสนธิสัญญาได้เองภายใต้รัฐธรรมนูญไทย”
(หมวด 2 กระบวนการทำสนธิสัญญา 2.1 ผู้มีอำนาจทำสนธิสัญญา / หนังสือสัญญาตามรัฐธรรมนูญไทย)
Keyword ที่เป็นประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ ขอเน้นย้ำ 2 ประโยค
“การทำหนังสือสัญญาของประเทศไทยจึงจะต้องได้รับความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี”
“นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหากไม่ได้รับความเห็นชอบจากบุคคลในตำเเหน่งดังกล่าวจึงไม่มีอำนาจหรือความสามารถที่จะทำสนธิสัญญาได้เองภายใต้รัฐธรรมนูญไทย”
และในตอนท้ายเอกสารนี้ยังสำทับไว้อึกว่า…
“อนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันตาม ก. ข. หรือ ค. ก็ตาม ผู้ที่จะกระทำการดังกล่าวจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน…”
จะเห็นได้ว่าแม้แต่นายกรัฐมนตรีก็ไม่มีอำนาจกระทำการ เมื่อไม่มีอำนาจกระทำการก็ย่อมไม่มีอำนาจอนุมัติหรือเห็นชอบให้ผู้ใดไปกระทำการ จะต้องได้รับความเห็นชอบหรืออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีก่อนเท่านั้น
ย้ำว่าต้อง “ก่อน” นะครับ ทำไปแล้วมา “อนุมัติ” ภายหลัง - ไม่ได้ !
แม้เอกสารชิ้นนี้จะเพิ่งเผยแพร่ในช่วงการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ 2560 ขณะที่การทำ MOU 2543 เกิดขึ้นในช่วงการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ 2540 แต่บทบัญญัติหลักที่รองรับหลักการทำสนธิสัญญาไม่แตกต่างกัน เพราะถือเป็นหลักทั่วไปของรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในระบบรัฐสภา
(ลิงก์บทความอยู่ในคอมเมนท์แรกใต้โพสต์นี้)
บทบัญญัติรัฐธรรมนูญไทย หากพิจารณารัฐรรมนูญ 2540 ซึ่งบังคับใช้ในช่วงทำ MOU 2543 จะอยู่ในมาตรา 224 วรรคแรก ประกอบมาตรา 3
คำถามก็คือคณะรัฐมนตรี ณ วันที่ 13 มิถุนายน 2543 ได้มีมติเห็นชอบให้ทำ MOU 2543 กับกัมพูชาหรือไม่ ?
คำตอบคือ - ไม่ !
เพราะแม้จะได้มีการเสนอคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 13 มิถุนายน 2543 ก่อนการลงนาม 1 วัน แต่เป็นการเสนอเพื่อรับทราบ ไม่ได้เสนอเพื่อขอขอความเห็นชอบแต่ประการใด !!
ระหว่าง “รับทราบ” กับ “เห็นชอบ“ ใครที่อยู่หรือเคยอยู่ในระบบราชการไม่ว่าประจำหรือการเมืองจะรู้ว่าต่างกัน
“รับทราบ” = ผู้เสนอมีอำนาจกระทำการได้เองตามกฎหมาย ซึ่งอาจเป็นอำนาจของตัวเอง หรือได้รับมอบอำนาจมา และผู้มีอำนาจเหนืออาจสั่งแก้ไขได้ถ้ากฎหมายให้อำนาจไว้ ผู้มีอำนาจมาแจ้งให้ทราบ หรือภาษาชาวบ้านว่ามาบอกให้รู้ เมื่อผู้รับแจ้งรับทราบก็ไม่ได้หมายความว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่สามารถทักท้วงได้ ซึ่งก็สุดแท้แต่ผู้มีอำนาจกระทำการอยู่จะนำไปพิจารณาอย่างไร
“เห็นชอบ” = ผู้เสนอไม่มีอำนาจกระทำการได้ด้วยตัวเอง อำนาจอยู่ที่ผู้รับการเสนอ ผู้เสนอจะไปกระทำการได้ก็ต่อเมื่อผู้รับการเสนอพิจารณาแล้วเห็นชอบหรืออนุมัติ คืออนุญาตให้ผู้เสนอไปกระทำการได้
จะไปเปลี่ยนหลักการจากเสนอเพื่อเห็นชอบไปเป็นแจ้งเพื่อทราบหาได้ไม่
เพราะแตกต่างกันสิ้นเชิงในสาระสำคัญ
นักกฎหมายระดับกูรูผู้เป็นกัลยาณมิตรของผมท่านหนึ่งอรรถาธิบายเชิงเปรียบเทียบด้วยภาษาชาวบ้านให้เข้าใจง่ายขึ้นไปอีกประมาณว่า ”ทราบ“ เหมือนกับว่า พาแขกเข้าบ้านมาแล้ว จึงค่อยมาบอกเราว่าแขกมารอที่ห้องรับแขกแล้ว เราก็ทราบ คือรู้ว่ามีคนมาขอพบ ส่วนเราจะไปพบแขกหรือไม่ก็แล้วแต่เรา หรือจะให้ไปไล่กลับก็ได้ ส่วน “เห็นชอบ” คือเรายังไม่เปิดประตูบ้านให้เข้ามา ยังไงเราก็ไม่ต้องแอบหรือให้คนไปไล่เลย
หากพิจารณาทางด้านตัวบทกฎหมายโดยตรง การเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยการพิจารณากลั่นกรองและตัดสินใจจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อรายงานข้อมูล ข้อเท็จจริง หรือผลการดำเนินงาน ให้คณะรัฐมนตรีรับทราบเท่านั้น โดยไม่มีเจตนาให้เกิดการตัดสินใจเชิงอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบเพิ่มเติมจากเดิม เช่น เป็นกรณีที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติมอบหมายเป็นการทั่วไปแล้ว และเรื่องนั้นต้องเป็นภารกิจปกติ หรือมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนแล้ว หรือเป็นกรณีการเสนอเรื่องตามกำหนดระยะเวลาเป็นประจำที่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ หรือเป็นกรณีการแจ้งมติจากการมีมติของคณะรัฐมนตรีนอกเหนือจากการประชุมตามปกติ
(ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2531 ข้อ 10 และข้อ 27, พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ข้อ 7 ข้อ 8 วรรคสอง และข้อ 11)
MOU 2543 จึงสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะขัดรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา 224 วรรคแรก ประกอบมาตรา 3 อันเป็นบทบัญญัติทั่วไปของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

นอกจากนั้นยังสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะขัดกฎหมายลำดับรองอีก 2 ฉบับ คือ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการเสนอเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2531 และมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 21 กรกฎาคม 2535
ทีนี้จะขออนุญาตพาไปดูหลักฐานเอกสารที่ว่าคณะรัฐมนตรีในปี 2543 ไม่เคยมีมติเห็นชอบให้ทำ MOU 2543 มีเพียงมติทราบเท่านั้น
มีทั้งหมด 6 ขั้นตอน
- กระทรวงการต่างประเทศ
- สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
- นายกรัฐมนตรี
- มติคณะรัฐมนตรี
- สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
- ลงนามใน MOU 2543
ขั้นตอนที่ 1 - กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการต่างประเทศทำหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ กต 0603/1574 ลงวันที่ 9 มิถุนายน 2543 เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ครั้งที่ 2 (วันที่ 5-7 มิถุนายน 2543) กราบเรียนนายกรัฐมนตรี เนื้อหาสำคัญอยู่ที่ตอนท้ายของหน้า 4
“จึงกราบเรียนมาเพื่อกรุณาทราบ และพิจารณา
”1. อนุมัติให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (ฝ่ายไทย) ลงนามบันทึกความเข้าใจดังกล่าวที่กรุงพนมเปญในระหว่างการเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 14-16 มิถุนายน ศกนี้ โดยกระทรวงการต่างประเทศกำลังดำเนินการจัดทำบันทึกความเข้าใจฯฉบับภาษาไทย เพื่อประโยชน์ในการนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบในโอกาสต่อไป“
เน้นนะครับ - ขออนุมัตินายกรัฐมนตรี ไม่ใช่ขออนุมัติคณะรัฐมนตรี !
หนังสือราชการฉบับนี้แจ้งว่าได้มีการ “ลงนามย่อ” (หรือ ad referendum) กันใน MOU 2543 ไปแล้ว
นี่เป็นต้นเรื่องจากเจ้าของเรื่อง เป็นกระดุมเม็ดแรกของทุกกระบวนการ
น่าตกใจที่เจ้าของเรื่องผู้อรรถาธิบายให้ความรู้กับประชาชนทั้งประเทศเกี่ยวกับกระบวนการทำสนธิสัญญาเมื่อปี 2565 ว่าเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญไทย กลับได้กระทำการแตกต่างออกไปเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2543
และก็น่าตกใจเช่นกันที่เจ้าของเรื่องผู้เป็นหลักในการประชุม JBC ครั้งที่ 2 ไม่ได้ปฏิบัติตามข้อตกลงในการประชุม (ตามบันทึกการประชุมภาษาอังกฤษแนบท้ายหนังสือฉบับนี้) ที่กำหนดให้นำร่าง MOU 2543 เข้าไปขอความเห็นชอบจากรัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศก่อน
ขั้นตอนที่ 2 - สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.)
สลน. โดยรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ทำบันทึกข้อความ ด่วนที่สุด กราบเรียนนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2543 อันเป็นวันราชการถัดมา (วันที่ 10-11 มิถุนายน 2543 เป็นวันเสาร์-อาทิตย์หยุดราชการ) เสนอให้นายกรัฐมนตรีอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอมา และนำเรื่องเสนอเข้าคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ดังความตามภาษาราชการปรากฎอยู่ใน 2 ย่อหน้าสุดท้ายของหน้า 3 เอกสารสำคัญฉบับนี้ว่า…
“5. ข้อเสนอ สลน. เห็นควรอนุมัติข้อเสนอของ กต. และนำเรื่องเสนอเข้า ครม. เพื่อทราบ ต่อไป
”จึงกราบเรียนมาเพื่อกรุณาพิจารณา ข้อ 5“

ขั้นตอนที่ 3 - นายกรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรีเกษียรหนังสือท้ายหนังสือบันทึกข้อความ ด่วนที่สุด ของสลน. ฉบับที่กล่าวไว้ในขั้นตอนที่ 2 เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2543 นั้นเองว่า
“อนุมัติ”
หมายความว่าอนุมัติตามที่ สลน. เสนอมา คือ อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอมาตามหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ กต 0603/1574 ลงวันที่ 9 มิถุนายน 2543 ที่กล่าวไว้ในขั้นตอนที่ 1
ขั้นตอนที่ 4 - มติคณะรัฐมนตรี
สลน. โดยรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ทำหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ 0119/15500 ลงวันที่ 13 มิถุนายน 2543 เรียน เลขาธิการนายกรัฐมนตรี แจ้งบัญชาของนายกรัฐมนตรีตามเกษียรหนังสือท้ายบันทึกข้อความในขั้นตอนที่ 3 และขอให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ ดังคำในภาษาราขการ 2 ย่อหน้าสุดท้ายว่า…
“สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้นำกราบเรียนนายกรัฐมนตรีแล้ว มีบัญชาอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และให้นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีทราบ
”จึงเรียนมาเพื่อโปรดดำเนินการต่อไป“
หลังจากได้รับหนังสือจาก สลน. สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทันทีในวันเดียวกันนั้นเองคือวันที่ 13 มิถุนายน 2543 ซึ่งเป็นวันประชุมคณะรัฐมนตรีประจำสัปดาห์ มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 13 มิถุนายน 2543 ซึ่งยังค้นได้ทางเพจ “ค้นหามติคณะรัฐมนตรี” ของ สลค. บันทึกไว้ว่า…
“ผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ครั้งที่ 2
“คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ครั้งที่ 2 และบัญชาของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการอนุมัติให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศในฐานะประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (ฝ่ายไทย) ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ในระหว่างการเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 14-16 มิถุนายน 2543…..“
เอกสารประกอบจากที่ระบุในหนังสือเสนอเรื่อง ที่ นร 0119/5500 มีเพียงสำเนาหนังสือจาก กต. และจาก สลน. ที่กล่าวถึงในขั้นตอนที่ 1 และ 2 เท่านั้น ไม่แนใจว่ามีเอกสารประกอบอื่น ๆ หรือไม่เพียงใด
แต่ก็นั่นแหละ ในเมื่อ สลน. เสนอ สลค. วันที่ 13 มิถุนายน 2543 ให้เสนอเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี และ สลค. บรรจุในวาระเพื่อทราบทันทีในวันเดียวกันนั้น จะมีรัฐมนตรีกี่คนได้อ่าน ได้ทำความเข้าใจ หรือได้อภิปรายสอบถามแสดงความคิดเห็น

ขั้นตอนที่ 5 - สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.)
เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบบัญชาของนายกรัฐมนตรีในวันที่ 13 มิถุนายน 2543 แล้ว ในวันเดียวกันนั้นเอง สลค. โดยรองเลขาธิการคณะรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือ 3 ฉบับ คือ ด่วนที่สุด ที่ นร 0205/7261 ด่วนที่สุด ที่ นร 0205/7262 และ ด่วนที่สุด ที่ นร 0205/7263 ถึงเลขาธิการนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ตามลำดับ ให้ทราบมติคณะรัฐมนตรีวันนั้น โดยในหนังสือลำดับแรกถึงเลขาธิการนายกรัฐมนตรีมีความในย่อหน้ารองสุดท้ายว่า…
“สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบแล้ว เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2543”
สรุปว่าในวันประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 13 มิถุนายน 2543 วันเดียว มีหนังสือราชการออกหลายรายการทั้งของ สลน., มติ ครม. และ สลค. เพื่อให้ทันการณ์วันลงนามในวันรุ่งขึ้น !
ขั้นตอนที่ 6 - ลงนามใน MOU 2543
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ฝ่ายไทย ได้ลงนามใน MOU 2543 เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 คือวันรุ่งขึ้นหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี


สรุปทั้ง 6 ขั้นตอนใช้เวลา 6 วันปฏิทิน หรือ 4 วันทำการ
หรือถ้าจะนับตั้งแต่ย้อนไปตั้งแต่วันที่ 5-7 มิถุนายน 2543 วันประชุม JBC ไทย-กัมพูชาครั้งที่ 2 ที่ทั้ง 2 ประเทศตกลงทำ MOU 2543 กัน และประเทศไทยยอมรับว่าผูกพันทางกฎหมายกับแผนที่ 1:200,000 ก็จะใช้เวลาเพียง 10 วันปฏิทิน หรือ 8 วันทำการ
ในขั้นตอนที่ 1-4 ไม่ปรากฎว่าในหนังสือด่วนที่สุดทั้งหลาย หน่วยงานที่เสนอไม่ว่า กต., สลน. และ สลค. ได้นำเสนอข้อกฎหมายรวมทั้งบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการทำสนธิสัญญาเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเลย แม้จะเป็นเพียงการพิจารณาเพื่อทราบเท่านั้นก็เถอะ หัวเรื่องที่ปรากฎอยู่ในมติคณะรัฐมนตรีก็ดูเหมือนไม่มีอะไรมาก “ผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ครั้งที่ 2“ แทนที่จะสื่อให้เห็นถึงการทำสนธิสัญญา หรือการทำหนังสือสัญญาตามรัฐธรรมนูญ ถ้าผมไม่มีหนังสือสำคัญใน 2 ขั้นตอนแรกอยู่ก่อน คงจะค้นหามติคณะรัฐมนตรีได้ยากพิลึก
สารัตถะในทุกขั้นตอนล้วนมีต้นกำเนิดมาจากข้อเสนอของต้นเรื่องคือกระทรวงการต่างประเทศทั้งสิ้น
ภาพประกอบเอกสาร 5 แผ่นที่นำมาลงพร้อมข้อเขียนนี้ 2 แผ่นแรกคือมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 13 มิถุนายน 2543 พร้อมหนังสือแจ้งกลับไปยังกระทรวงการต่างประเทศ และแจ้งไปยังสำนักงบประมาณ (กล่าวไว้ในขั้นตอนที่ 4 และ 5) อีก 3 แผ่นต่อมาคือบันทึกข้อความด่วนที่สุดของ สลน. ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2543 ภาคประชาชนนำเสนอต่อสาธารณะมาตั้งแต่ช่วงปี 2551 - 2554 คุ้นหน้าคุ้นตากันดีแล้วในหมู่ผู้สนใจ จุดเน้นสำคัญตลอดมาอยู่ที่หน้า 1 ข้อ 2.1 เรื่องการยอมรับว่าแผนที่ 1:200,000 ผูกพันประเทศไทยตามกฎหมายระหว่างประเทศ จึงขอนำเสนออีกครั้ง แต่ขอทำไฮไลท์เพิ่มเติมในหน้า 3 ข้อ 5 (กล่าวไว้ในขั้นตอนที่ 2 และ 3) ที่ยังไม่เคยมีการตั้งข้อสังเกตมาก่อนว่าอาจไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
ทั้งหมดที่ผมไล่เรียงมายาวและซ้ำความกันไปมา ก็เพื่อทบทวนให้เห็นว่ามติคณะรัฐมนตรีวันที่ 13 มิถุนายน 2543 คือรับทราบ ไม่ใช่เห็นชอบหรืออนุมัติ
คณะรัฐมนตรีรับทราบอะไรเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2543 ?
รับทราบใน 2 เรื่อง
1. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ครั้งที่ 2 (วันที่ 5-7 มิถุนายน 2543) ที่กรุงพนมเปญ
2. รับทราบบัญชาของนายกรัฐมนตรีวันที่ 12 มิถุนายน 2543 ที่อนุมัติให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศในฐานะประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ฝ่ายไทย ไปลงนาม MOU 2543 วันที่ 14 มิถุนายน 2543 ที่กรุงพนมเปญ
ข้อ 1 ไม่เป็นปัญหา
ข้อ 2 มีปัญหาแน่ในหลายมิติ !
มิติสำคัญที่สุดของ MOU 2543 ก็คือ ในเมื่อผู้ไปลงนาม (รมช.ตท.) ไม่มีอำนาจ ผู้อนุมัติ (นรม.) ก็ไม่มีอำนาจ ในขณะที่ผู้มีอำนาจ (ครม.) ก็ไม่ได้ให้ความเห็นชอบและอนุมัติ แต่ในที่สุดก็ได้มีการลงนามและใช้บังคับมา 25 ปีแล้ว โดยไม่มีผู้ทักท้วงประเด็นนี้โดยตรง และได้มีการนำไปขึ้นทะเบียนเป็นสนธิสัญญากับสหประชาชาติแล้วในอีก 11 ปีต่อมา ทำให้ประเทศไทยต้องอยู่ในบังคับของกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยการทำสนธิสัญญา การที่ในวันนี้จะไปอ้างเหตุว่าขัดกับกฎหมายภายในประเทศ ก็ใช่ว่าจะมีผลได้ง่าย เพราะต้องไปพิจารณากฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับการนี้เป็นหลัก
หรือว่าประเทศไทยจะต้องตกอยู่ภายใต้บังคับของสนธิสัญญาที่มีกระบวนการจัดทำสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งต่อการขัดรัฐธรรมนูญบทสำคัญตลอดไป ?
หรือการที่ไม่มีผู้ใดทักท้วง ไม่มีองค์กรใดชี้ขาด มาตลอด 25 ปี สามารถลบล้างผลแห่งความไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแต่ต้นได้ ??
หรือพูดในอีกด้านหนึ่ง หาก MOU 2543 ประสบความสำเร็จและมีประโยชน์ในการแก้ปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชา สมควรรักษาไว้ นั่นหมายความว่าเราจะต้องหลับตาทำเป็นมองไม่เห็นลักษณะสุ่มเสี่ยงต่อการขัดรัฐธรรมนูญในบทสำคัญตลอดไป ทำนองว่าเมื่อปลายทางบรรลุเป้าหมายที่ประสงค์แล้ว ก็ไม่ต้องสนใจต้นทาง หรือว่าถ้าปลายทางมันถูกแล้วก็จะเป็นผลให้ต้นทางถูกไปด้วยโดยอัตโนมัติ จะให้การบริหารราชการแผ่นดินอยู่ภายใต้หลักปฎิบัตินี้ต่อไปกระนั้นหรือ ???
บทความโดย :
คำนูณ สิทธิสมาน
ตุลาคม 2568

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา