
"...งานวิจัยจากประเทศต่างๆ ยืนยันตรงกันว่า “ภาษียาสูบทำงานได้จริง” เมื่อราคาบุหรี่เพิ่มขึ้น การบริโภคลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและผู้มีรายได้น้อย ขณะเดียวกัน รัฐยังคงเก็บรายได้เพิ่มขึ้น โดยที่ ความยืดหยุ่นของราคาบุหรี่ค่อนข้างต่ำ (price inelastic) ปริมาณการสูบลดลงน้อยกว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้ภาษี อย่างไรก็ตาม หลักฐานจากฝรั่งเศส ชิลี อินเดีย และแอฟริกาใต้ แสดงชัดว่าการขึ้นภาษีช่วยให้สุขภาพประชาชนดีขึ้น ลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ และยังสร้างรายได้ที่สามารถนำกลับมาใช้เพื่อสาธารณสุขได้อีก..."
รัฐบาล ภายใต้การนำของ นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล มีนโยบาย Big Quick Win หลายด้าน ในกรอบ เศรษฐกิจ ความมั่นคง ภัยพิบัติ และ สังคมโดยเฉพาะยาเสพติด เป็นที่ทราบกันดีว่า สารเสพติด เช่น นิโคติน ในบุหรี่ เป็นประตูสู่การเสพยาเสพติด นำสู่ความสูญเสียทางเศรษฐกิจและสุขภาพมหาศาล การดำเนินการกับสินค้าก่อผลเสียสุขภาพ เป็นโอกาสที่ดีในการตัดสินใจเชิงนโยบายของรัฐบาล
บทความนี้ ถ่ายทอดโดย อ้างอิงมาจากการนำเสนอ โดย Jeffrey Drope, PhD (Economics for Health, 2025) หัวข้อ “The Economics of Tobacco Taxation: Considerations of Thailand’s Recent Policies” เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2025 ครอบคลุม เนื้อหา เศรษฐศาสตร์ของภาษียาสูบ ภาระทางเศรษฐกิจจากการสูบบุหรี่
ภาษียาสูบในฐานะเครื่องมือที่มีประสิทธิผลสูง
ภาษียาสูบกับความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ ผลต่อการจ้างงานและเศรษฐกิจโดยรวม การค้าบุหรี่เถื่อน บทเรียนสำหรับประเทศไทย และ ข้อเสนอเชิงนโยบาย ทั้งหมดนี้ เป็น หลักฐานเชิงประจักษ์จรืงในสากล หรือ Real World Evidence (RWE) ที่ สามารถใช้งานข้อมูลสู่การนำเสนอและการตัดสินใจเชิงนโยบายของรัฐบาล ที่มีเวลาจำกัด และ ต้องการ Big Quick Win ทั้งนี้ ภาษีบุหรี่อัตราเดียว อาจเป็นผลงาน Biggest Quick Win ที่สังคมชื่นชมและจดจำเป็นผลงานของรัฐบาลต่อไปในอนาคต
1. เศรษฐศาสตร์ของภาษียาสูบกับทิศทางนโยบายไทย
ศาสตราจารย์เจฟฟรีย์ ดรอป (Jeffrey Drope) จาก Economics for Health เสนอแนวคิดว่า การควบคุมยาสูบโดยใช้มาตรการทางเศรษฐศาสตร์ โดยเฉพาะการเก็บภาษี เป็นหนึ่งในนโยบายที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลว่ามีประสิทธิภาพสูงสุดในการลดการสูบบุหรี่ ช่วยชีวิตผู้คน และสร้างรายได้ให้รัฐ ในงานนำเสนอครั้งนี้
ศาสตราจารย์เจฟฟรีย์ ดรอป ได้อธิบายอย่างเป็นระบบถึงหลักฐานเชิงประจักษ์จากทั่วโลก รวมทั้งวิเคราะห์สถานการณ์ของประเทศไทยในบริบทเศรษฐกิจและนโยบายภาษียาสูบปัจจุบัน
2. ภาระทางเศรษฐกิจจากการสูบบุหรี่
การสูบบุหรี่ก่อให้เกิด “ต้นทุนทางเศรษฐกิจ” มหาศาลทั้งทางตรงและทางอ้อม
- ต้นทุนทางตรง (Direct costs) ได้แก่ ค่ารักษาพยาบาล ค่ายา ค่าเดินทาง และเวลาของสมาชิกครอบครัวที่ต้องดูแลผู้ป่วย
- ต้นทุนทางอ้อม (Indirect costs) คือการสูญเสียผลิตภาพจากการเจ็บป่วยเรื้อรังและการเสียชีวิตก่อนวัย
มูลค่ารวมของต้นทุนเหล่านี้ทั่วโลกสูงถึง ประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2% ของ GDP โลก ซึ่งสะท้อนว่าการสูบบุหรี่ไม่เพียงทำลายสุขภาพ แต่ยังบั่นทอนศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
3. ภาษียาสูบ: เครื่องมือที่มีประสิทธิผลสูง
งานวิจัยจากประเทศต่างๆ ยืนยันตรงกันว่า “ภาษียาสูบทำงานได้จริง” เมื่อราคาบุหรี่เพิ่มขึ้น การบริโภคลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและผู้มีรายได้น้อย ขณะเดียวกัน รัฐยังคงเก็บรายได้เพิ่มขึ้น โดยที่ ความยืดหยุ่นของราคาบุหรี่ค่อนข้างต่ำ (price inelastic) ปริมาณการสูบลดลงน้อยกว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้ภาษี
อย่างไรก็ตาม หลักฐานจากฝรั่งเศส ชิลี อินเดีย และแอฟริกาใต้ แสดงชัดว่าการขึ้นภาษีช่วยให้สุขภาพประชาชนดีขึ้น ลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ และยังสร้างรายได้ที่สามารถนำกลับมาใช้เพื่อสาธารณสุขได้อีก
4. ภาษียาสูบกับความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ
ข้อถกเถียงที่มักเกิดขึ้นคือ “ภาษียาสูบเป็นภาษีถอยหลังหรือไม่” (regressive tax) เนื่องจากผู้มีรายได้น้อยมักบริโภคบุหรี่มากกว่าสัดส่วนรายได้
แต่หลักฐานจากหลายประเทศ เช่น อินเดีย เวียดนาม เปรู และมอนเตเนโกร พบว่า
- กลุ่มรายได้น้อยตอบสนองต่อการขึ้นภาษีมากที่สุด โดยลดการสูบลงมากกว่ากลุ่มรายได้สูง
- ผลประโยชน์ด้านสุขภาพและรายได้จากการเลิกสูบบุหรี่จึงตกกับกลุ่มยากจนมากกว่า
เมื่อรวมผลของสุขภาพที่ดีขึ้น รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการไม่เสียเงินกับบุหรี่ และภาระค่าใช้จ่ายที่ลดลง ภาษียาสูบจึงถือเป็นนโยบาย ก้าวหน้า (progressive) สำคัญมากกว่าที่มักถูกเข้าใจ
5. ผลต่อการจ้างงานและเศรษฐกิจโดยรวม
อีกข้อโต้แย้งที่พบคือ ภาษียาสูบอาจทำให้แรงงานในอุตสาหกรรมยาสูบตกงาน อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ในหลายประเทศพบว่า แม้จะมีการสูญเสียงานบางส่วนในภาคการผลิตยาสูบ แต่เม็ดเงินที่ประชาชนไม่ใช้ไปกับบุหรี่จะถูกหมุนเวียนไปสู่สินค้าและบริการอื่น ซึ่งสร้างงานในภาคส่วนใหม่ ๆ ได้มากกว่า รวมถึงรายได้ภาษีที่รัฐได้รับเพิ่มก็ถูกนำไปลงทุนในภาครัฐและสาธารณูปโภค โดยสรุปคือ การขึ้นภาษียาสูบโดยทั่วไปส่งผลให้การจ้างงานสุทธิเพิ่มขึ้น
6. การค้าบุหรี่เถื่อน: ปัญหาที่จัดการได้
อุตสาหกรรมยาสูบมักอ้างว่าการขึ้นภาษีจะกระตุ้นการค้าบุหรี่เถื่อน แต่ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และสถาบันวิชาการอิสระกลับพบว่า
- สัดส่วนบุหรี่เถื่อน ไม่สัมพันธ์กับระดับราคา
- แต่สัมพันธ์กับ ระดับคอร์รัปชันและความเข้มแข็งของการบังคับใช้กฎหมาย
นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์เถื่อนส่วนใหญ่เริ่มต้นจากสินค้าถูกกฎหมายในประเทศที่มีภาษีต่ำก่อนลักลอบเข้ามา
ดังนั้น มาตรการจัดการเชิงระบบ เช่น การติดตามห่วงโซ่อุปทาน (track and trace) ตาม พิธีสารว่าด้วยการขจัดการค้าผลิตภัณฑ์ยาสูบผิดกฎหมาย (Protocol to Eliminate Illicit Trade in Tobacco Products) ถือเป็นแนวทางสำคัญในการควบคุมปัญหานี้อย่างยั่งยืน
7. บทเรียนสำหรับประเทศไทย
ใน “Cigarette Tax Scorecard” ฉบับล่าสุด (2024) ประเทศไทยได้คะแนนรวม 2.25 จาก 5
สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก (2.01) แต่ยังต่ำกว่าประเทศที่ทำได้ดีที่สุด (4.25)
โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ราคา: 2/5 (เฉลี่ย I$ 5.31 ต่ำกว่าเกณฑ์ทอง I$10)
- ความสามารถในการซื้อ: 2/5 (ลดลงเฉลี่ยเพียง 0.8% ต่อปี)
- สัดส่วนภาษีในราคาขายปลีก: 4/5 (ภาษีรวม 78.6% ถือว่าดีมาก)
- โครงสร้างภาษี: 1/5 (ยังคงมีระบบหลายชั้น ทำให้ราคาบุหรี่มีความแตกต่างสูง)
เพื่อยกระดับ ผลลัพธ์ของ Cigarette Tax Scorecard จึงต้องมุ่งเป้าการปรับโครงสร้างภาษีที่มีหลายชั้น และ อัตราภาษีที่เหมาะสม
8. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของ Drope สำหรับไทย
1. ปรับโครงสร้างภาษีให้เป็นแบบอัตราเดียว (uniform specific tax)
- ยกเลิกระบบหลายชั้น เพื่อป้องกันการเปลี่ยนไปซื้อของราคาถูก
- ปรับให้ทุกผลิตภัณฑ์ยาสูบถูกเก็บภาษีในอัตราเดียว
2. ปรับอัตราภาษีต่อเนื่องให้สูงกว่าการเติบโตของรายได้และเงินเฟ้อรวมกัน
- เพื่อให้ราคาบุหรี่แพงขึ้นจริง
- ลดความสามารถในการเข้าถึง โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน
- เพิ่มรายได้ภาครัฐอย่างยั่งยืน
9. บทสรุป
นโยบายภาษียาสูบที่ออกแบบดีไม่เพียงแต่ช่วยลดการสูบและปกป้องสุขภาพประชาชน แต่ยังสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจในหลายมิติ
ประเทศไทยมีความก้าวหน้าในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะในสัดส่วนภาษีต่อราคาขายปลีก แต่ยังต้องเร่งปรับโครงสร้างภาษีให้มีความเป็นเอกภาพ และผลักดันให้ราคาบุหรี่สูงพอจะเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคได้จริง ดังที่ Jeffrey Drope เน้นย้ำว่า
“Tobacco taxes work — they reduce consumption, raise revenues, and improve equity.”
การปรับระบบอัตราภาษียาสูบจึงไม่ใช่เพียงนโยบายด้านสุขภาพ แต่คือ การลงทุนเพื่ออนาคตของประเทศ
บทความโดย :
วิทยา กุลสมบูรณ์
ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสร้างเสริมสุขภาพ กรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส)
บทความนี้ เป็นบทความส่วนบุคคล ไม่ผูกพันธ์ กับ สสส.
25 ตุลาคม 2568

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา