
"...ด้วยความเก่งกาจนี้เอง ทำให้บรรดาผู้มีชื่อเสียงต่างแย่งกันว่าจ้างเขาให้เป็นทนายในคดีสำคัญ ๆ งานจึงหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุดหย่อน คดีที่เขารับผิดชอบเป็นคดีใหญ่และซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ แมนเทิลเชื่อมั่นว่าความสำเร็จในชีวิตเกิดจาก “ความมุ่งมั่นและความทุ่มเท” เขาทำงานวันละ 18 ชั่วโมง โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อไล่ล่าความสำเร็จที่ตนเชื่อว่าโชคชะตากำหนดไว้แล้ว เขามักกล่าวอ้างคำพูดของวินสตัน เชอร์ชิลล์ (Winston Churchill) ที่ว่า “ภารกิจที่เราต้องทำ ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรง เราสามารถอดทนต่อความยากลำบากและความเจ็บปวดได้ ตราบใดที่เรายังมีศรัทธา และมุ่งมั่นอย่างไม่สั่นคลอน ชัยชนะก็ไม่อาจปฏิเสธเราได้” และนำประโยคนั้นวางไว้บนโต๊ะไม้โอ๊คในห้องทำงาน เพื่อเตือนใจตนเองอยู่เสมอ..."
จูเลียน แมนเทิล (Julian Mantle) เติบโตในครอบครัวที่เปี่ยมด้วยเกียรติและความสำเร็จ ปู่ของเขาเป็นสมาชิกวุฒิสภา ส่วนพ่อเป็นผู้พิพากษา ด้วยพื้นฐานเช่นนี้ ทุกคนจึงคาดหวังว่าเขาจะเดินตามรอยครอบครัวได้อย่างภาคภูมิ
แมนเทิลสอบเข้าเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้สำเร็จ และก้าวขึ้นสู่การเป็นทนายความชื่อดังตั้งแต่อายุเพียงสามสิบต้น ๆ เขามีชื่อเสียงจากการว่าความอย่างดุเดือด เฉียบคม และสามารถพลิกคดีที่ดูเหมือนจะแพ้ให้กลายเป็นชนะได้อย่างเหลือเชื่อ หนึ่งในคดีที่สร้างชื่อให้เขาคือ ผู้บริหารบริษัทใหญ่ถูกกล่าวหาในคดีฆาตกรรมภรรยาอย่างโหดเหี้ยม แต่ด้วยการนำเสนอหลักฐานและการซักค้านพยานอย่างชาญฉลาด เขากลับทำให้คณะลูกขุนลงมติให้จำเลยพ้นผิดได้ในที่สุด1/
ด้วยความเก่งกาจนี้เอง ทำให้บรรดาผู้มีชื่อเสียงต่างแย่งกันว่าจ้างเขาให้เป็นทนายในคดีสำคัญ ๆ งานจึงหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุดหย่อน คดีที่เขารับผิดชอบเป็นคดีใหญ่และซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ แมนเทิลเชื่อมั่นว่าความสำเร็จในชีวิตเกิดจาก “ความมุ่งมั่นและความทุ่มเท” เขาทำงานวันละ 18 ชั่วโมง โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อไล่ล่าความสำเร็จที่ตนเชื่อว่าโชคชะตากำหนดไว้แล้ว เขามักกล่าวอ้างคำพูดของวินสตัน เชอร์ชิลล์ (Winston Churchill) ที่ว่า “ภารกิจที่เราต้องทำ ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรง เราสามารถอดทนต่อความยากลำบากและความเจ็บปวดได้ ตราบใดที่เรายังมีศรัทธา และมุ่งมั่นอย่างไม่สั่นคลอน ชัยชนะก็ไม่อาจปฏิเสธเราได้” และนำประโยคนั้นวางไว้บนโต๊ะไม้โอ๊คในห้องทำงาน เพื่อเตือนใจตนเองอยู่เสมอ
ในที่สุด แมนเทิลก็ได้ทุกสิ่งที่มนุษย์ใฝ่ฝัน ชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง รายได้ระดับเจ็ดหลัก คฤหาสน์หรูในย่านคนดัง เครื่องบินเจ็ตส่วนตัว บ้านพักตากอากาศ และรถเฟอร์รารี่สีแดงที่เขาภูมิใจที่สุด แต่ความสำเร็จนั้น ต้องแลกมาด้วยราคาที่แพงมหาศาล เขาไม่มีเวลาให้ครอบครัว จนชีวิตคู่ต้องจบลงด้วยการหย่าร้าง ไม่เคยได้กลับไปเยี่ยมพ่อ จนกระทั่งพ่อจากไปโดยที่เขาไม่ได้ร่ำลา สุขภาพร่างกายทรุดโทรมลงทุกวัน ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยราวกับคนวัยเจ็ดสิบ ทั้งที่อายุเพียงห้าสิบต้น ๆ เขากินอาหารหรู สูบซิการ์คิวบา ดื่มคอนญักอย่างไม่ยั้งมือ จนกลายเป็นคนอ้วนและสุขภาพย่ำแย่
จากทนายผู้เฉียบแหลม กลับกลายเป็นชายที่พูดจาตะกุกตะกักในห้องพิจารณาคดี ถ้อยคำวกวนไร้พลัง จนผู้คนเริ่มพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไฟในตัวแมนเทิลได้มอดลงแล้ว” และแล้ว วันหนึ่งในห้องพิจารณาคดีหมายเลข 7 ห้องเดียวกับที่เขาเคยสร้างตำนานการชนะคดีสำคัญมากมาย แมนเทิลล้มลงกลางห้องต่อหน้าผู้คน ศาลเงียบกริบด้วยความตกตะลึง โชคดีที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาช่วยปั๊มหัวใจจนเขาฟื้นขึ้นมาได้ แต่แพทย์แจ้งข่าวร้ายว่า เขาจะไม่สามารถกลับไปว่าความได้อีกต่อไป
เขาจึงตัดสินใจยกสำนักงานทนายความให้หุ้นส่วน ขายทรัพย์สินทุกอย่าง รวมถึงเฟอร์รารี่คันโปรด แล้วออกเดินทางสู่ประเทศอินเดีย เพื่อค้นหาความหมายที่แท้จริงของชีวิต หลังจากนั้น ไม่มีใครได้ข่าวของเขาอีกเลย
จนกระทั่งสามปีต่อมา ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาที่สำนักงานเก่าของแมนเทิล ตอนแรกไม่มีใครจำเขาได้ จนเลขานุการหน้าห้องอุทานขึ้นว่า “คุณแมนเทิล! นี่คุณจริง ๆ หรือคะ?” ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาดูแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าสดใสไร้ริ้วรอย ดวงตาเปล่งประกาย มีชีวิตชีวา และแววตาเต็มไปด้วยพลังอย่างน่าทึ่ง ทุกคนต่างโผเข้ากอดเขาด้วยความยินดี ก่อนจะล้อมวงเพื่อฟังเรื่องราวตลอดสามปีที่หายไป
แมนเทิลเล่าว่า หลังจากขายทรัพย์สินทุกอย่าง เขาออกเดินทางไปอินเดียเพื่อค้นหาตัวตนได้ยินเรื่องราวของพระสงฆ์ชาวอินเดียผู้มีอายุยืนยาวเกินร้อยปี จึงอยากเรียนรู้วิถีชีวิตของพวกท่านจนได้พบกับ “กฤษนัน” อดีตทนายความที่ผันตัวมาเป็นผู้ดูแลวัดในหมู่บ้าน ผู้ซึ่งค้นพบจุดหมายที่แท้จริงของชีวิต
กฤษนันแนะนำให้แมนเทิลเดินทางต่อไปยัง “ศิวานา” บนเทือกเขาหิมาลัย เพื่อพบกับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งยินดีแบ่งปันภูมิปัญญาแห่งชีวิตให้เขา แต่มีเงื่อนไขเดียว เมื่อเรียนรู้แล้วต้องกลับไปบ้านเกิด เพื่อถ่ายทอดสิ่งนั้นแก่ผู้อื่น
แมนเทิลเล่าว่า นักปราชญ์เริ่มสอนด้วยการเล่านิทานเรื่องหนึ่งว่า “จงลองจินตนาการว่า เรานั่งอยู่กลางสวนที่งดงามและเงียบสงบ ใจกลางสวนมีประภาคารสีแดงสดตั้งตระหง่านอยู่ ประตูประภาคารค่อย ๆ เปิดออก และมีนักซูโม่ร่างยักษ์เดินออกมา เขาสูงใหญ่ แข็งแกร่ง แต่ใส่เพียงสายเคเบิลสีชมพูเส้นเล็ก ๆ ที่พันรอบเอวและเป้า เขาเดินสำรวจรอบ ๆ สวน ก่อนจะสะดุดเข้ากับนาฬิกาทองคำที่ตกอยู่บนพื้นเขาหยิบขึ้นมาสวม และจู่ ๆ ก็ล้มลงหมดสติ แต่แล้วเขาก็ฟื้นขึ้นมาอีกครั้งเพราะได้กลิ่นหอมของกุหลาบสีเหลือง กลิ่นนั้นทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวา เขาหันไปเห็นเส้นทางที่ปูด้วยเพชรระยิบระยับ จึงตัดสินใจเดินไปตามทางนั้น และพบกับความสุขนิรันดร์” 2/
นิทานเรื่องนี้อาจดูแปลกแต่ “สัญลักษณ์ทั้งเจ็ด” ภายในเรื่อง ล้วนแทนคุณธรรมเจ็ดประการที่จะนำพามนุษย์ไปสู่ชีวิตที่สมบูรณ์ ซึ่งแมนเทิลจะมาขยายความให้ฟังใน Weekly Mail สัปดาห์หน้า
รณดล นุ่มนนท์
20 ตุลาคม 2568
แหล่งที่มา :
1/ Robert S. Sharma, ผู้แปล แพรพลอย มหาวรรณ, พระ เฟอร์รารี่ และความหมายของชีวิต (The Monk Who Sold His Ferrari), จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์วีเลิร์น หน้า 14-73
2/ NewVeerachai, สรุปหนังสือ The Monk Who Sold His Ferrari | ค้นพบแผนที่ชีวิตสู่ความสุขที่แท้จริง ที่เงินซื้อไม่ได้,

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา