
ผมจะเข้าไปดูเขาก็ลบออกไปแล้ว แต่มีคนมาบอกแล้วก็เห็นในข่าว ส่วนจะดำเนินคดี ผมก็ฟ้องทอม ไรต์ ก่อนคนแรก แล้วใครก็ตามที่เอาข่าวบิดเบือนของทอม ไรต์ มาเผยแพร่ อันนั้นคือกลุ่มที่สอง ส่วนของธนาคาร BIC ผมคงไม่ฟ้อง เขาเอารูปผมไปลง แต่ผมก็ยังไม่เห็นจริงๆ เห็นแต่ที่เขาแคปหน้าจอมา พอจะเข้าไปดูจริงๆมันก็ไม่มีแล้ว
หมายเหตุสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) :เมื่อวันที่ 22 ต.ค. นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง ระหว่างการแถลงข่าว ในหัวข้อการแถลงชี้แจงข้อเท็จจริงจากข่าวบิดเบือนข้อเท็จจริงใส่ร้ายป้ายสี นายวรภัค ธันยาวงษ์ ว่าพัวพันกับแก๊งหลอกลวงต้มตุ๋น ฟอกเงินและธุรกิจผิดกฎหมาย ประเทศกัมพูชา

โดยการแถลงข่าวนั้นแบ่งออกเป็นสองส่วนได้แก่ 1.การแถลงข่าวตามเอกสารข่าวแจก และ 2.การแถลงข่าวถามตอบของผู้สื่อข่าว โดยสำนักข่าวอิศราได้เลือกเอารายละเอียดการชี้แจงข้อเท็จจริงที่ถูกกล่าวหามานำเสนอ มีรายละเอียดดังนี้
@ช่วงแถลงข่าวตามเอกสารข่าวแจก
ด้วยมีข่าวบิดเบือนใส่ร้ายป้ายสีกระผม นายวรภัค ธันยาวงษ์ ว่าพัวพันกับแก๊งหลอกลวงต้มตุ๋นฟอกเงิน และธุรกิจผิดกฎหมายกัมพูชา
กระผมขอเรียนการชี้แจง ดังนี้
1. ประวัติและภูมิหลังการทํางาน
กระผม นายวรภัค ธันยาวงษ์ มีประสบการณ์ในแวดวงการเงินและธนาคารมากกว่า 30 ปี
เป็นหนึ่งในคนไทยที่ได้รับโอกาสและความไว้วางใจให้ดํารงตําแหน่งระดับสูงในสถาบันการเงินชั้นนํา ทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ Bank of America (ประเทศไทย) อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ J.P. Morgan Chase (ประเทศไทย) อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) (จนถึงปี 2559) ต่อมาภายหลังจากเกษียณจากงานประจําตอนอายุ 52 ปี กระผมได้อุทิศตนทํางานด้านองค์ ความรู้ เขียนบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเงินการธนาคาร มาอย่างต่อเนื่องหลายปี และได้รับเชิญเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทที่ปรึกษาระดับโลก
ในปี พ.ศ. 2567 กระผมได้รับเกียรติแต่งตั้งเป็นประธานคณะที่ปรึกษาของท่านรองนายกฯรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายพิชัย ชุณหวชิร) และต่อมาในปี พ.ศ. 2568 กระผมได้รับเกียรติ ให้เข้ารับตําแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลปัจจุบัน เพื่อทํางานรับใช้ประเทศชาติ โดยที่กระผมไม่เคยมีความทะเยอทะยานทางการเมืองแต่อย่างใด มีเพียงความมุ่งมั่นในการใช้ความรู้ความสามารถ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติโดยรวมเป็นสําคัญเท่าที่จะทําได้
2. ข้อเท็จจริงกรณีการพาดพิงผมกับ “Cambodian scammers” การฟอกเงินและธุรกิจ ผิดกฎหมาย
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้มีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเผยแพร่ ข่าวใส่ร้ายป้ายสี บิดเบือนข้อเท็จจริง ที่พยายาม เชื่อมโยงชื่อของกระผมกับเครือข่ายที่ถูกระบุว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการ Cambodian scammers
ในการนี้ กระผมขอชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้
2.1) ข้อกล่าวหาเรื่องความเกี่ยวข้องกับขบวนการ หลอกลวงต้มตุ๋นหรือที่เรียกว่า scammers ในประเทศกัมพูชานั้น กระผมไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับกระบวนการหลอกลวงต้มตุ๋นหรือธุรกิจผิดกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะในประเทศกัมพูชาหรือประเทศอื่นใดทั้งสิ้น สําหรับกรณีที่มีความพยายามเชื่อมโยง BIC Group และ BIC Bank Cambodia ให้เกี่ยวข้องกับกระบวนการหลอกลวงต้มตุ๋น ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรนั้น กระผมไม่อาจทราบได้ และ คงต้องให้กระบวนการยุติธรรมเข้ามาตรวจสอบหาข้อเท็จจริง ทั้งนี้ กระผมไม่สนับสนุนธุรกรรมผิดกฎหมาย และจะไม่ปกป้องผู้ที่ทําผิดกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
โดยส่วนตัวที่เคยพบกับผู้บริหารของ BIC Bank ที่เป็นประธานกรรมการของธนาคารนี้ชื่อ Mr. Leak Yim (นายยิม เลียก) แต่กระผมไม่เคย เป็นกรรมการ กรรมการบริหาร หรือที่ปรึกษาใด ๆ ของ BIC Bank Cambodia และไม่เคยรับเงินหรือผลตอบแทนใด ๆ ซึ่งการที่มีการนํารูปของกระผมและชื่อไปลงเป็นที่ปรึกษาของกลุ่มธนาคารนั้น กระผมไม่เคยรับทราบมาก่อน
ส่วน Mr. Benjamin Mauerberger (นายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์) นั้น กระผมได้รู้จักกับ Mr. Benjamin เนื่องจากลูกของกระผม เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันในประเทศไทย แต่กระผมก็ไม่เคยทราบลึก ๆ ว่า Mr. Benjamin ประกอบธุรกิจอะไรอย่างไร หรือมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจอย่างไรกับ Mr. Leak Yim เพราะกระผมกับ Mr. Benjamin เป็นผู้ปกครองนักเรียนวัย เดียวกัน ชั้นเดียวกัน โรงเรียนเดียวกันเท่านั้น
2.2) ข้อกล่าวหาเรื่องการเป็นตัวแทน (Nominee) เชื่อมโยงกับบริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส (Finansia Syrus: FSS) wnu Pilgrim Finansa ในปี พ.ศ. 2564 กระผมได้เข้าซื้อหุ้น 29% ของ บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) ซึ่งเป็นธุรกรรมที่ถูกต้องตามกฎหมายและกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์และคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และ ตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทุกประการ ซึ่งเป็นการซื้อกิจการในลักษณะที่เรียกว่า management buy out อีกนัย หนึ่งก็คือผู้บริหารที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการบริหารกิจการของบริษัทนั้น ๆ (คือกระผมและคุณช่วงชัย-นายช่วงชัย นะวงศ์ - บริษัท ฟินันเซีย เอกซ์ จำกัด (มหาชน))
เห็นโอกาสในการซื้อหุ้นราคาเหมาะสมเพื่อมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้บริษัทเติบโตและมีกําไรสูงขึ้นเพื่อราคาหุ้นที่ดีขึ้น ในอนาคตและมีผู้สนับสนุนทางการเงิน อาทิ ธนาคารหรือกองทุนที่มองเห็นว่าหุ้นที่ซื้อมาราคาไม่แพงและ มีโอกาสเติบโตได้ในอนาคตคุ้มกับความเสี่ยงในการสนับสนุนทางการเงิน ซึ่งธุรกรรมการกู้เงินมาซื้อหุ้นที่อยู่ใน ตลาดหลักทรัพย์นี้เป็นเรื่องปกติถ้าธนาคารหรือผู้เข้าใจมูลค่าหุ้นที่นํามาเป็นหลักประกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หุ้น 29% ที่กระผมและคุณช่วงชัยซื้อมา ถือว่าเป็น controlling stake ของบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ที่มีส่วนแบ่ง ทางการตลาด (Market share) ขณะนั้นเป็นอันดับสองของประเทศไทย รวมทั้ง บริษัทหลักทรัพย์ฟินันซ่าที่เป็นวานิชธนกิจ อันดับต้นต้นของประเทศไทยมาอย่างยาวนานกระผมและคุณช่วงชัย (CEO) ซื้อหุ้นผ่านบริษัท Pilgrim Finansa (ถือหุ้นร่วมกันในสัดส่วน 60 : 40) และทํา Mandatory Tender Offer ตามกฎหมาย
ในการซื้อหุ้นในครั้งนั้น กระผมได้รับวงเงินสนับสนุน สองส่วน คือส่วนที่ซื้อหุ้นและส่วนที่ ต้องเตรียมทําคําเสนอซื้อหุ้น (tender Offer) ซึ่งส่วนแรกเป็นเงินกู้จากกองทุนในสิงคโปร์ชื่อ Capital Asia Investment (CAI เป็นบริษัทจัดการกองทุน ภายใต้การกํากับดูแลของ MAS ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาล Singapore) และส่วนที่สอง จาก BIC Bank Lao (ซึ่งเป็นธนาคารที่ถือหุ้น 70% โดยกลุ่มธุรกิจชาวลาว ชื่อ “Asia Investment and Financial Services Sole Co., Ltd.” และอีก 30% โดยบริษัทการไฟฟ้าลาว) เพื่อเตรียมการ เสนอซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายอื่น ทั้งนี้ วงเงินจาก BIC Laos เป็น standby facility เพื่อทํา tender แต่เนื่องจาก ไม่มีผู้มาขายใน tender จึงไม่มีการใช้วงเงินนี้
BIC Bank Lao และ BIC Bank Cambodia มีความเกี่ยวพันมาอย่างไรจากในอดีต ถึงใช้ชื่อคล้ายกันนั้นกระผมไม่ทราบ กระผมทราบแต่เพียงว่าในปัจจุบันนั้น ความเป็นเจ้าของและการบริหาร จัดการนั้นแยกกันเด็ดขาด BIC Bank Lao ดําเนินกิจการมานานแล้วเป็นธุรกิจธนาคารที่ค่อนข้างอยู่ตัวแล้ว
ผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจชาวลาวและบริษัทการไฟฟ้าลาว และเท่าที่หาข้อมูลได้ BIC Bank Cambodia ที่อยู่ในประเทศกัมพูชานั้น ถือหุ้นใหญ่โดย บริษัท Apsara Holdings 99% และ Mr. Yim Leak 1%
หลังจากกระผมและคุณช่วงชัยเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซียในปี พ.ศ. 2564 กระผมและคุณช่วงชัยได้ดําเนินการปรับโครงสร้างบริษัทโดยจ้าง McKinsey & Co. เป็นที่ปรึกษา เพื่อทํา Digital Transformation พัฒนาให้เป็นองค์กรดิจิตัลเพื่อให้บริการลูกค้าออนไลน์ แต่การปรับปรุงองค์กรไม่เร็วอย่างที่กระผมคาด จนเมื่อปลายปี พ.ศ. 2567 กระผมได้ตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดให้กับคุณช่วงชัย หุ้นส่วนเดิมของกระผม และลาออก จากตําแหน่งกรรมการทุกตําแหน่งในบริษัท หลังจากนั้นกระผมไม่เคยมีความเกี่ยวข้องใด ๆ ในการถือหุ้นหรือในการบริหารบริษัท Finansia อีก
ส่วนคุณช่วงชัยขายหุ้นให้ใครหรือมีการเพิ่มทุนอีกหรือไม่ผมเองก็ไม่ได้ติดตามข่าว
ซึ่งการที่บุคคลใดจะนําชื่อของผมในอดีตไปเชื่อมโยงกับบุคคลหรือเครือข่ายใดในภายหลัง ดังนั้น การคาดเดา กล่าวอ้างหรือกล่าวเท็จเรื่องในความคิดตัวเองว่ากระผมเป็น Nominee หรือเป็นฟันเฟืองสําคัญของกระบวนการ scammer ถือเป็นการใส่ร้ายป้ายสีและบิดเบือนข้อเท็จจริง
ทั้งนี้ ขบวนการใส่ร้ายป้ายสีกระผมล่าสุด ยังได้เหิมเกริม ใส่ร้ายด้วยข้อมูลเท็จ กับภรรยาของกระผม ว่าได้รับผลประโยชน์เป็นเงินคริปโตจํานวนหลายล้านเหรียญ ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด กระผมขอยืนยันว่าภรรยาของกระผมไม่เคยมีบัญชีคริปโตใดๆ ทั้งสิ้นทั้งในอดีตและปัจจุบัน และไม่เคย ได้รับผลประโยชน์ใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนี้เลย
3. จุดยืนส่วนตัวและทางการเมือง
กระผมปฏิเสธข้อกล่าวหา ใส่ร้าย ป้ายสี ทั้งหมดอย่างชัดเจนว่า ไม่เคย มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมี ผลประโยชน์ร่วมกับกลุ่มบุคคลหรือขบวนการที่เกี่ยวข้องกับ Cambodian scammers หรือกระบวนการต้มตุ๋น หลอกลวง ธุรกิจผิดกฎหมายใด ๆ ทั้งสิ้น
กระผม มีประวัติการทํางานและจรรยาบรรณที่ โปร่งใส ตรวจสอบได้ มาตลอด 30 ปีในแวดวง การเงินระดับสากล ทั้งในองค์กรต่างชาติและองค์กรของรัฐขนาดใหญ่ของไทย และปัจจุบันทํางานในตําแหน่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ข้าราชการกระทรวงการคลังที่มีโอกาสทํางานใกล้ชิด กับผมมากกว่าหนึ่งปีก่อนหน้านี้ รวมทั้งในปัจจุบัน จะสามารถยืนยันได้ว่าผมทํางานอย่างไร
4. การดําเนินการต่อ
4.1 กระผมขอสงวนสิทธิ์ในการดําเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่บิดเบือนและเผยแพร่ข้อมูลเท็จที่ทําให้ผมเสียชื่อเสียง ผมพร้อมให้ทุกหน่วยงานตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง ผมใช้เบอร์มือถือเบอร์เดียวมาตลอด และใช้บัตรเครดิตการ์ดใบเดียวมาตลอด
4.2 กระผมเชื่อมั่นในหลักนิติธรรมและจะยืนหยัดในความจริงเพื่อปกป้องชื่อเสียงส่วนบุคคลและ เกียรติของตําแหน่งทางการเมืองที่ได้รับมอบหมาย
5. คํายืนยัน
“กระผมไม่เคยและจะไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทุจริต ฉ้อโกง หรือเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติติใด ๆ ชีวิตการทํางานกว่า 30 ปีของผมอยู่บนหลักความสุจริต โปร่งใส และความรับผิดชอบต่อสังคม”
-การลาออกจากตำแหน่ง
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเนี่ยผมปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มุ่งมั่นขับเคลื่อนภารกิจด้านเศรษฐกิจ และการคลังของประเทศให้เดินหน้าอย่างเต็มกําลังภายใต้ข้อจํากัดของเวลา ที่รัฐบาลนี้มีอยู่ค่อนข้างน้อย และความคาดหวังของประชาชนที่มีอยู่สูงมาก ผมเจอนายกฯอนุทิน (อนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี)ทีไรก็จะบอกผมกับท่านเอกนิติ (เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง)ว่าต้องไปเจอชาวบ้านบ้าง ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่เราก็พยายามทุ่มเทเวลานะครับช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาไม่มีเวลามาจัดการเรื่องส่วนตัวนะครับ
อย่างไรก็ดี จากสถานการณ์ที่ผมถูกใส่ร้ายป้ายสีด้วยข้อมูลเท็จ ผมจําเป็นต้องใช้เวลาและพลัง เยอะในการดําเนินคดีทางกฎหมายกับผู้ไม่หวังดี ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภารกิจหลักของผมในการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงการคลัง ให้บรรลุผล ผมก็ไตร่ตรองอยู่นาน แล้วก็ตัดสินใจว่าผมจะลาออกจากตําแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อไม่ให้เรื่องส่วนบุคคลของผมกลายเป็นภาระหรือเงื่อนไขที่อาจกระทบต่อความคล่องตัวและประสิทธิภาพของรัฐบาล การตัดสินใจครั้งนี้มีเป้าหมายสําคัญ เพื่อยืนหยัด หลักความโปร่งใส และรักษาความเป็นอิสระของรัฐบาลในการบริหารประเทศ ให้ปราศจากข้อครหาและไม่เปิดช่องให้ฝ่ายใดนําเรื่องส่วนตัวของผมมาเป็นอุปสรรค ผมเชื่อมั่นว่าความโปร่งใสความเป็นมืออาชีพและความมุ่งมั่นของรัฐบาล จะช่วยให้สามารถขับเคลื่อนนโยบายสําคัญเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่องในเวลาที่จำกัด
ผมยังคงยืนยันในความบริสุทธิ์ของตนเองและจะดําเนินการ ทางกฎหมายกับผู้ที่บิดเบือนและเผยแพร่ข้อมูลเท็จ เพื่อปกป้องเกียรติชื่อเสียงและหลักความจริง โดยทําทั้งหมดนี้โดยไม่ให้เกิดความขัดแย้งกับภารกิจของรัฐบาล แล้วก็ท้ายสุดผมขอขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรีคณะรัฐมนตรี ข้าราชการและประชาชนทุกคนที่ให้ความไว้วางใจ และสนับสนุนการทํางานของผมตลอดมา ผมจะยังคงยืนหยัดในหลักนิติธรรมและทําหน้าที่ในฐานะพลเมือง ที่รักและปรารถนาดีต่อประเทศชาติอย่างเต็มกําลังต่อไป



เอกสารประกอบการแถลงข่าว
@ช่วงถามตอบ
-เรื่องรู้จักกับ 'เบนจามิน' จะชี้แจงอย่างไร
ผมไม่ต้องเตรียมการอะไรมากผมก็ชี้แจงเรื่องไปตามข้อเท็จจริงวันนี้ก็เรียกว่าชี้แจงแทบจะทุกประเด็นให้กับนักข่าว บางท่านก็บอกว่าอย่าไปพูดถึงคุณเบนจามิน แต่ผมว่าเฮ้ยผมก็รู้จัก ข้อเท็จจริงก็คือข้อเท็จจริงแต่ผมรู้จักในฐานะที่มีลูกของผมเรียนอยู่ในโรงเรียนเดียวกับลูกของเขา ชั้นเดียวกัน ห้องเดียวกัน มาเรียนโรงเรียนเดียวกันจนเข้ามหาวิทยาลัย ณ เวลานี้
-กรณี 'ยิม เลียก'
ต้องบอกว่ายิม เลียกเขาอยู่เมืองไทยมานาน แต่งงานกับคนไทย เราไม่มีปัญหาเรื่องไทยเขมรเนี่ย เขาก็คงอยู่เมืองไทย ตามปกติ เจอในหลายที่ แต่ผมจำไม่ได้ว่าใครพาเขามาหาผม แต่เขารู้จักคนไทยเยอะ นักธุรกิจไทย เขาก็รู้จัก แล้วเขามาขอคำปรึกษาในการบริหารธนาคาร เพราะว่าเท่าที่ผมสัมผัสเขาซึ่งไม่ได้สนิทสนมอะไรมากที่สําคัญเค้าก็อยากรู้ว่า การดำเนินกิจการธนาคาร เป็นอย่างไร ก็ควรจะโฟกัสลูกค้ารายใหญ่ลูกค้าsmeหรือลูกค้ารายอย่อยอย่างไร ก็เคยไปรับตำแหน่งด้วยวาจา ไม่เคยไปรับค่าตอบแทนใดๆ
ตอนที่มีคนมาแจ้งว่า มีรูปขึ้นเป็นบอร์ดผู้บริหารธนาคาร BIC ตอนที่ผมเข้าไปดู มันก็ไม่อยู่แล้ว ก็คงมีคนไปแจ้งให้เอาออก แต่ก็ไม่รู้ว่าใครไปแจ้ง ผมไม่รู้ลึกๆว่าเขาทำธุรกิจอย่างอื่นอย่างไร แต่ทราบว่าพ่อเขาเป็นรองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ตัวเขาเองก็พูดภาษาอังกฤษดีมาก เข้าใจว่าเรียนทั้งมัธยมและปริญญาตรีที่เมืองนอก ส่วนตอนมาคุยผมก็คุยเรื่องแบงก์เค้าถามเรื่องธนาคารเป็นหลัก
-เบื้องลึกเกี่ยวกับ 'เบนจามิน'
คือเบนจามิน เท่าที่ผมสัมผัส แกเป็นคนที่รักลูกมาก ดูแลลูกอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา แล้วก็ผมเข้าใจว่าเค้าเนี่ยประสบความสําเร็จจากธุรกิจเรียลอสังหาริมทรัพย์ เขารู้เรื่องอสังหาริมทรัพย์ในโลกนี้ดีมาก รู้ว่าที่ดูไบเป็นอย่างไร ที่ญี่ปุ่นเป็นอย่างไร รู้เรื่องอสังหาริมทรัพย์ที่มีความหรูหรา รู้เรื่องหุ้น เพราะเขาจะคุยเรื่องหุ้นต่างประเทศ เราก็คุยกันแค่นั้น แลกเปลี่ยนความเห็นกัน
-กรณีการขายหุ้นของฟินันเซียและการฟ้อง 'ทอม ไรต์'
การขายหุ้นนั้นเกิดขึ้นในปี 2564-2567 ข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)มีรายละเอียดหมด แต่ว่าวันไหน เดือนไหนผมไม่ได้ดูรายละเอียดลึกๆ แต่ต้องบอกเลยว่าสำหรับนายทอม ไรต์ นั้นถือว่าเป็นตัวเอ้เลยที่ผมจะฟ้อง พราะมาพาดพิงแล้วก็กุเรื่องหลายอย่าง ถ้าคนไม่เคยรู้จักผมเนี่ยก็อาจจะอาจจะหลงระเริงไปกับบทความ
แต่ผมอยากให้คนที่รู้จักผมเคยทํางานร่วมกัน ไปอ่านบทความนี้ก็จะมองเห็นภาพที่แตกต่างกัน อย่างที่มาพาดพิงหลังสุด ก็ไปหาว่าภรรยาผม ได้รับผลตอบแทนเป็นเงินคริปโตเข้าบัญชีคริปโต ซึ่งภรรยาผมเนี่ยไม่เคยมีแม้แต่บัญชีคริปโต ผมเข้าใจว่าการจะรับเงินคริปโต มันต้องมีบัญชีคริปโต เขาก็ไปบอกว่ารับเงินมาสามล้านเหรียญ ซึ่งภรรยาก็ยืนยัน ผมถามว่ามีมั้ยบอกไม่มี ไม่เคยได้รับผลผลประโยชน์ใดใดทั้งสิ้น
-ตกลงเกิดอะไรขึ้นในเดือน ม.ค.2568 เพราะมีข่าวจากนายทอม ไรต์ระบุว่ามีการเอกสารโอนหุ้นที่ลงนามแสดงให้เห็นว่า นางกนกพร ธันยาวงษ์ (ภรรยานายวรภัค) ได้ขายหน่วยลงทุนของตนในกองทุนสินเชื่อ—และสิทธิ์ในการอ้างสิทธิ์ในหุ้น Finansia—เป็นมูลค่า 2,936,462.64 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในรูปแบบคริปโตเคอร์เรนซี Tether (USDT)
ไม่มีอะไรเลยครับ ในเดือนนั้น

บทความล่าสุดของนายทอม ไรต์ มีการกล่าวถึงภรรยาของนายวรภัค และนายเมาเออร์เบอร์เกอร์
-กรณีที่ปรากฎเป็นข่าวเรื่องกองทุน CAI ว่าทำไมถึงมีชื่อภรรยาของนายวรภัคไปมีชื่อในกองทุนร่วมกันภรรยาของนายเมาเออร์เบอร์เกอร์ (แคทรียา บีเวอร์) แล้วก็มีการระบุว่ามีกรค้ำประกันหุ้น 24%
ไม่มีครับ ภรรยาผมไม่เคยไปถือหุ้นอะไรใน CAI ส่วนภรรยาของนายเบนจามิน จะถือหุ้นหรือเปล่าผมก็ไม่ทราบ ไม่มีการซื้อกองทุนร่วมกันเลย ขอให้เอาหลักฐานมายืนยันเลย เพราะภรรยาของผมไม่เคยมีบัญชีคริปโต ถ้ามีหลักฐาน ผมก็ขอท้าให้เปิดเผยมาเลย
แต่ผมยอมรับว่าภรรยาของผมรู้จักกับภรรยาของเบนจามิน เพราะลูกเรียนโรงเรียนเดียวกัน ก็น่าจะมีการเจอกันบ่อยกว่าผม
-กรณีที่ปรากฎว่ามีรูปภาพอยู่ในบอร์ดธนาคาร BIC แต่สังคมตั้งข้อสงสัยว่าทำไมนายวรภัคไม่มีการดำเนินการทางกฎหมาย ทั้งที่ตัวเองถูกแอบอ้าง
อย่างที่ผมเรียนพอผมจะเข้าไปดูเขาก็ลบออกไปแล้ว แต่มีคนมาบอกแล้วก็เห็นในข่าว ส่วนจะดำเนินคดี ผมก็ฟ้องทอม ไรต์ ก่อนคนแรก แล้วใครก็ตามที่เอาข่าวบิดเบือนของทอม ไรต์ มาเผยแพร่ อันนั้นคือกลุ่มที่สอง ส่วนของธนาคาร BIC ผมคงไม่ฟ้อง เขาเอารูปผมไปลง แต่ผมก็ยังไม่เห็นจริงๆ เห็นแต่ที่เขาแคปหน้าจอมา พอจะเข้าไปดูจริงๆมันก็ไม่มีแล้ว
ส่วนถ้าจะถามว่าหลังจากนี้ผมจะไปพูดคุยกับยิม เลียกหรือเบนจามินไหม ก็คงไมไ่ด้ไปพูดคุย เพราะเขาก็ไม่ได้อยู่เมืองไทยแล้ว อีกอย่างคุยไป เขาก็ทำอะไรให้ผมไม่ได้ อีกอย่างถ้าหากผมไปโทรหาเขาแล้ว เขามีข่าวเรื่องสแกมเมอร์ ผมก็โดนตรวจสอบอีก

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา