
"...จากการศึกษาวิจัยในทางวิชาการ พบว่า ความเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองของคนหนุ่มสาวจะมีเสถียรภาพมากกว่าความคาดหวังต่อการตอบสนองจากรัฐบาล เนื่องจากเหตุผลสำคัญ คือ คนหนุ่มสาวเห็นว่ารัฐบาลมีความสามารถบริหารประเทศแตกต่างกัน ลักษณะของการมี Political Efficacy นี้เองที่ทำให้ “คนหนุ่มสาว” มีพลังทางการเมืองแตกต่างไปจากคนวัยอื่น โดย “คนหนุ่มสาว” จะเชื่อมั่นว่า “ตัวเอง” มีพลังทางการเมืองสูงกว่า “คนวัยอื่น” ดังนั้น การแสดงออกทางการเมืองของคนหนุ่มสาวจึงมีธรรมชาติเป็นเชิงรุกและเป็นนักสู้ (gladiators) มากกว่า “คนวัยอื่น”..."
1. ความนำ
ยังโหวตเตอร์ (Young Voters) เป็นความรู้พื้นฐานของการเลือกตั้ง คำนี้เริ่มนำมาใช้อย่างจริงจังในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ค.ศ. 2008 โดยทีมงานของโอบามา ทำให้โอบามาได้เปรียบในการเลือกตั้ง ชนิดที่คนอื่นไม่รู้ มีลักษณะคล้ายกับพรรคอนาคตใหม่ในประเทศไทย แต่ภายหลังเมื่อคนอื่นรู้ทัน การแข่งขันก็เกิดความเท่าเทียมกันมากขึ้น
ยังโหวตเตอร์ หมายถึง คนหนุ่มสาวที่มีสิทธิเลือกตั้งอายุ 18-24 ปี ซึ่งมีลักษณะเด่นที่สุดอยู่ตรง “Political Efficacy” คำนี้หมายถึงความเชื่อว่าตนเองสามารถเปลี่ยนระบบการเมืองได้ ภายหลังในทางวิชาการยังแยกออกเป็น internal กับ external คือ ความเชื่อที่อยู่ในใจของคนหนุ่มสาวว่าตัวเองสามารถเปลี่ยนระบบการเมือง กับความเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงของตนจะได้รับการสนองตอบจากรัฐบาล
พูดง่าย ๆ ว่าคนหนุ่มสาวมีความเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองสูง ขณะเดียวกันก็คาดหวังว่าจะได้รัฐบาลที่มีความสามารถตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าวได้
จากการศึกษาวิจัยในทางวิชาการ พบว่า ความเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองของคนหนุ่มสาวจะมีเสถียรภาพมากกว่าความคาดหวังต่อการตอบสนองจากรัฐบาล เนื่องจากเหตุผลสำคัญ คือ คนหนุ่มสาวเห็นว่ารัฐบาลมีความสามารถบริหารประเทศแตกต่างกัน
ลักษณะของการมี Political Efficacy นี้เองที่ทำให้ “คนหนุ่มสาว” มีพลังทางการเมืองแตกต่างไปจากคนวัยอื่น โดย “คนหนุ่มสาว” จะเชื่อมั่นว่า “ตัวเอง” มีพลังทางการเมืองสูงกว่า “คนวัยอื่น” ดังนั้น การแสดงออกทางการเมืองของคนหนุ่มสาวจึงมีธรรมชาติเป็นเชิงรุกและเป็นนักสู้ (gladiators) มากกว่า “คนวัยอื่น”
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับคนหนุ่มสาวด้วยกัน ยังแตกต่างไปตามลักษณะเฉพาะส่วนบุคคลและภูมิหลังด้วย เช่น อาชีพครอบครัว ภูมิหลังทางการศึกษาของครอบครัว และถิ่นที่อยู่อาศัย เช่น คนหนุ่มสาวในกรุงเทพฯ กับต่างจังหวัด
2. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับยังโหวตเตอร์
มีงานศึกษาวิจัยจำนวนมากเกี่ยวกับ “ยังโหวตเตอร์” ผู้อ่านสามารถศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมได้ โดยเฉพาะจากบทความในวารสาร “Party Politics” ซึ่งเป็นวารสารเกี่ยวกับพรรคการเมืองโดยเฉพาะของมหาวิทยาลัยซัสเซ็ก ประเทศอังกฤษ
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเห็นว่างานที่ให้ความรู้พื้นฐานชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจ ได้แก่ งานของเฮอร์นานเดซ (Harnandez, 2019) ชื่อ “The Technology Gap Across Generations: How Social Media Affects the Youth Vote”
งานของเฮอร์นานเดซชิ้นนี้กล่าวว่า โดยทั่วไปเราศึกษาการเลือกตั้ง เราจะแบ่งช่วงวัยคนที่มีสิทธิเลือกตั้งออกมาเปรียบเทียบกันเป็นช่วงวัยกว้าง ๆ สองช่วงวัย คือ คนช่วง Millennials กับช่วง Baby Boomers เหตุผลที่ไม่จำแนกมากกว่านั้น เพราะยากต่อการเปรียบเทียบ เนื่องจากคนสองช่วงวัยนี้มีคุณลักษณะแตกต่างกันที่เห็นได้ชัดกว่า
2.1 เสรีนิยม vs อนุรักษ์นิยม
สำหรับช่วง Millennials คือคนที่เกิด ค.ศ. 1981-1996 คนกลุ่มนี้จะมีคุณลักษณะเป็นเสรีนิยมมากขึ้น (increasingly liberal) สนใจศาสนาน้อยลง แต่มีจิตสำนึกทางสังคมสูงขึ้น และชอบรัฐบาลที่เป็นนักกิจกรรม (an activist government)
ส่วนช่วง Baby Boomers เป็นคนที่เกิด ค.ศ. 1946-1964 ช่วงกลางศตวรรษที่ 20 เป็นพ่อแม่ของพวก Millennials อีกทีหนึ่ง ปัจจุบันเข้าสู่ช่วงเกษียณและเข้าสู่ยุคผู้สูงอายุในสังคมสูงอายุ
ในสหรัฐอเมริกา การโหวตของคนหนุ่มสาวลดลงจาก 50.9% ในปี ค.ศ. 1964 เป็น 38% ในปี ค.ศ. 2012 แต่ถ้านับช่วงวัยขยายออกมาเป็น 18-29 ปี จะเพิ่มเป็น 45%
การเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 2008 คนหนุ่มสาว 66% เลือกโอบามา และต่อมา การเลือกประธานาธิบดี ค.ศ. 2018 ก็ยังเลือกทรัมป์เพียง 27%
ลักษณะทั่วไปของความคิดทางการเมือง คือ คนหนุ่มสาวมีลักษณะเป็นเสรีนิยมเพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้สูงอายุยังคงเป็นอนุรักษ์นิยม
2.2 อิทธิพลจากโซเชี่ยลมีเดียต่อคนหนุ่มสาว
โซเชี่ยลมีเดียเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการเลือกตั้งของคนหนุ่มสาว โดยที่ตัวโซเชี่ยลมีเดียเองก็เป็นไปตาม “Mediamorphosis Theory” คือ สื่อต่าง ๆ ไม่ได้ตายลงทันทีจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีการสื่อสาร แต่กลายพันธุ์และปรับตัวไปเรื่อย ๆ เช่น ไทยรัฐ เดลินิวส์ มติชนของไทย ขายหนังสือที่เป็นกระดาษได้น้อยลง กลายเป็นการผลิตสื่อออนไลน์ เช่น ทีวีออนไลน์ เคเบิลทีวีหรือมีรายงานถ่ายทอดสดทางยูทิวป์ เฟสบุ๊ค ฯลฯ
โซเชี่ยลมีเดียสมัยใหม่ถูกบังคับให้เล่นการเมืองด้วย ไม่เช่นนั้น สื่อจะอยู่ไม่รอด และไม่สามารถปรับตัวได้ ตรงกันข้าม การเล่นการเมืองจะทำให้สื่อสามารถสร้างอิทธิพลและสามารถขยายฐานผู้ชมผู้ฟังออกไปได้ การเล่นการเมืองของสื่อนี้ เรียกว่า “Mediatization”
ในสหรัฐอเมริกา เมื่อเทียบกันระหว่างผู้สูงอายุกับคนหนุ่มสาว ผู้สูงอายุรับสารจากโซเชี่ยลมีเดียเพิ่มจาก 5% ในปี ค.ศ. 2005 เป็น 69% ในปี ค.ศ. 2018 ขณะที่คนหนุ่มสาวรับสารจากโซเชี่ยลมีเดียในขณะสำรวจ 88% และอย่างน้อยจะเป็นแฟนประจำเพลทฟอร์มรายการหนึ่ง
ถ้าเทียบกับไทยปัจจุบัน คนหนุ่มสาวไทยอาจเป็นแฟนคุณสุทธิชัย คุณถึก คุณปลื้ม เอ็กซ์-อ๊อก จอมขวัญ หนุ่มเมืองจันท์หรืออาจารย์ปริญญา อาจารย์พิชาย อาจาย์ศิโรตม์ หรืออาจารย์โอฬาร หรือคุณสุรนันท์ อาจารย์ธนพร หรือเทพไท ไข่กระดก บรรดายอดกูรูการเมืองของเมืองไทย ที่รู้ “การเมือง” ทุกเรื่องอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
ขณะสำรวจนั้น คนหนุ่มสาวอเมริกันรับข่าวสารจากโซเชี่ยลมีเดียเป็นส่วนใหญ่ ตัวเลขโดยรวม คนอเมริกันรับข่าวสารจากโซเชี่ยลมีเดีย 67% มาตั้งแต่ ค.ศ. 2017 และน่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ที่น่าสนใจ คือ คนใช้โซเชี่ยลมีเดีย 66% มีส่วนร่วมกับการเมือง โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวชอบเขียนแสดงความคิดเห็นทางการเมือง และแชร์ต่อ ที่สำคัญ คือ ความคิดเห็นดังกล่าวมีผลต่อการเลือกตั้งด้วย โดยเพิ่มขึ้นจาก 9.3% เป็น 16.5% เมื่อเข้าสู่ช่วงวัย 20-30 ปี
สำหรับคนหนุ่มสาว โซเชี่ยลมีเดียจึงเป็นเครื่องมือคอมเม้นท์ และมีส่วนร่วมทางการเมืองที่สำคัญ
2.3 ผลต่อการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกา
การเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 2008 คนหนุ่มสาว 66% เลือกโอบามา ส่วนใหญ่เกิดจากการมีส่วนร่วมทางโซเชี่ยลมีเดีย แหล่งที่มาของข่าวสารทางการเมืองขณะนั้น 74% มาจากอินเตอร์เน็ตและเป็นตัวแปรที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนความสนับสนุนทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ
แต่ต่อมา ค.ศ. 2016 ทีมอื่นรู้ทันโอบามา การรณรงค์หาเสียงทางโซเชี่ยลมีเดีย จึงทำกันทั่วไป และผู้สมัครประธานาธิบดีต่างรู้จักใช้เพลทฟอร์มในทวิตเตอร์และอินสตาแกรมหาเสียง โดยที่ทรัมป์กลับมาเป็นผู้นำในการใช้ทวิตเตอร์และอินสตราแกรม
ต่อมา คลินตัน พลิกแพลงกว่าอีก ใช้วิธีการโพสต์วิดิโอหาเสียง โดยโพสต์วันละห้าวิดิโอ ส่วนทรัมป์ก็โพสต์เกือบทุกวัน
วิธีการของคลินตันเน้นการควบคุม “ตัวสาร” ที่จะส่ง แต่ทรัมป์แหวกแนวกว่า เน้นสไตล์การกระตุ้นเร้าใจที่สอดคล้องกับโหวตเตอร์
2.4 ข้อสรุปจากการใช้โซเชี่ยลมีเดียในสหรัฐอเมริกา
โซเชี่ยลมีเดียได้เปลี่ยนการสื่อสารทางการเมือง โดยเฉพาะการกระตุ้นให้คนหนุ่มสาวออกมาโหวต จุดสำคัญอยู่ที่การเน้นการเข้าถึงข้อมูลได้เร็ว (by providing quick access to information) และกระตุ้นให้เกิดการโต้ตอบกันกับผู้สมัคร (fostering interaction with candidates)
ข้อค้นพบที่สำคัญจากสหรัฐอเมริกา ได้แก่
(1) การใช้ข้อมูลที่เป็นภาพและวิดิโอ ดึงดูดความสนใจของยังโหวตเตอร์ เนื่องจากได้รับข้อมูลและความสนใจมากกว่าวิธีการอย่างอื่น
(2) โซเชี่ยลมีเดียเป็นสื่อที่มีความพิเศษต่างจากสื่อในอดีต ตรงที่ความสามารถตอบโต้กันได้และแชร์กันต่อได้
(3) การเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 2016 นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทุกคนหันมาใช้โซเชี่ยลมีเดียและวางยุทธศาสตร์แตกต่างกัน อันเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ความได้เปรียบของโอบามาที่มีมานั้นหายไป และกลายเป็นการแข่งขันการเลือกตั้งที่มีความเท่าเทียมกันมากขึ้น
ความสำเร็จของทรัมป์ใน ค.ศ. 2016 นอกจากจะใช้โซเชี่ยลมีเดียแปลก ๆ แล้ว ทรัมป์ยังใช้วิธีการเอาตัวเองเข้าไปตอบโต้กับผู้รับสารด้วย
ทรัมป์ คลินตันและแซนเดอส์ โพสต์โซเชี่ยลมีเดีย เหมือนกัน แต่ได้รับความนิยมแตกต่างกัน เพราะทรัมป์ใช้บุคลิกส่วนตัวเข้าช่วยสื่อสารมากกว่า โดยผ่านทางทวิตเตอร์ และการรีทวีตหรือตอบโต้กับผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ส่วนคลินตันและแซนเดอส์ เน้นเนื้อหาที่จะสื่อและการรีทวีต แต่ที่สู้ทรัมป์ไม่ได้ คือ ทรัมป์ใช้วิธีตอบโต้กับผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยตรง
3. สหรัฐอเมริกาเปลี่ยนไปอีกก้าวหนึ่ง
การเลือกตั้งในเขตเมือง เช่น กรุงเทพฯ ของพรรคการเมืองไทยยังมีความรู้เกี่ยวกับโหวตเตอร์และโซเชี่ยลมีเดียไม่เท่าเทียมกัน ขณะที่สหรัฐอเมริการู้จัก “ยังโหวตเตอร์” อย่างเท่าเทียมกันมาตั้งแต่ ค.ศ. 2016
เมื่อต่างฝ่ายต่างเข้าใจยังโหวตเตอร์เท่าเทียมกันและใช้โซเชี่ยลเท่าเทียมกัน การเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกาจึงมีปัญหาว่าจะอาศัยวิธีการเดียวกันหาเสียงกับยังโหวตเตอร์ต่อไปไม่ได้ เพราะจะไม่เกิดความแตกต่างกัน และเมื่อไม่มีความแตกต่างกัน ก็ไม่มีความเด่นที่จะให้ประชาชนเลือกได้
การเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ ค.ศ. 2016 เป็นต้น จึงใช้วิธีเจาะลึกลงไปเฉพาะกลุ่มอีก เช่น คลินตันและแซนเดอส์พยายามเจาะกลุ่มอเมริกันสเปน โดยการหาเสียงสองภาษา ส่วนทรัมป์ยังคงใช้ภาษาอังกฤษภาษาเดียว แต่การศึกษาวิจัยกลับพบว่า “การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย” ที่จะส่งสารสำคัญกว่าการใช้ภาษา เพราะกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มต้องการ “รับสาร” ที่แตกต่างกัน
การเลือกตั้งกลางเทอม ค.ศ. 2018 แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงการโหวตของยังโหวตเตอร์ คือ
(1) คนหนุ่มสาวเป็นกลุ่มที่มาใช้สิทธิน้อยที่สุดเพียง 13%
(2) แต่คนหนุ่มสาวส่วนใหญ่ 67% ยังสนับสนุนพรรคดิโมแครต แสดงให้เห็นแนวโน้มคนหนุ่มสาวว่ายังคงสนับสนุนพรรคดิโมแครตและเสรีนิยม
(3) อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่คนหนุ่มสาวกลายเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีสิทธิเลือกตั้งมากขึ้นเรื่อย ๆ พฤติกรรมการเลือกตั้งของคนหนุ่มสาวจึงกลายเป็นตัวกำหนดรูปร่างการเมืองของสหรัฐอเมริกา
โซเชี่ยลมีเดียมีผลอย่างมีนัยสำคัญต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองและการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง โดยเฉพาะผลต่อคนหนุ่มสาว การแสดงความคิดเห็นในโซเชี่ยลมีเดียมีสหสัมพันธ์ทางบวกต่อพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง นอกจากนั้นยังสร้างแรงกดดันต่อไปยังกลุ่มเพื่อนและครอบครัว ข้อมูลทางการเมืองที่ถูกแชร์ข้ามอายุของแต่ละรุ่น ยังขยายการมีส่วนร่วมทางการเมืองออกไป
การใช้โซเชี่ยลมีเดียในการรณรงค์หาเสียงจึงมีวิวัฒนาการต่อไปอีกอย่างไม่หยุดยั้ง ผู้สมัครต้องพลิกแพลงออกไปเรื่อย ๆ กระนั้น การรู้ทันกันเกี่ยวกับคุณลักษณะของคนหนุ่มสาว และบทบาทของโซเชี่ยลมีเดีย จะยิ่งก่อให้เกิดการแข่งขันกันที่เป็นธรรมยิ่งขึ้น
4. บทเรียนสำหรับประเทศไทย
เมื่อย้อนมามองประเทศไทย ปัจจุบัน การแข่งขันกันทางการเมืองบนโซเชี่ยลมีเดียและการหาทางเอาชนะใจคนหนุ่มสาวยังไม่เท่าเทียมกัน
พรรคอนาคตใหม่เป็นพรรคที่มีความรู้เรื่องโซเชี่ยลมีเดียและสามารถนำมาหาเสียงกับคนหนุ่มสาวในสนามกรุงเทพฯ อย่างได้ผลมาก่อน จนมีผลตามมาอีกในยุคพรรคก้าวไกลและพรรคประชาชน
แต่ยุคพรรคประชาชนในปัจจุบันเป็นยุคเกิดปฏิกิริยาโต้กลับทางการเมือง (Backlash Politics) เห็นได้ชัดจากกรณี “ทหารมีไว้ทำไม” อันเป็นปัญหายากลำบากในการหาเสียงกับกลุ่มผู้สูงอายุในกรุงเทพฯ
ตามทฤษฎีการโต้กลับทางการเมืองดังกล่าว ขึ้นอยู่กับการจับฉวยโอกาสทางการเมือง (political opportunity) และการระดมความสนับสนุนทางการเมือง (political mobilization) ของพรรคอื่นที่เป็นพรรคฝ่ายตรงกันข้ามกับพรรคประชาชน
การเลือกตั้งครั้งหน้าที่ใกล้จะถึง “พรรคประชาชน” ย่อมกลายเป็น “เป้า” ของการโจมตีทางการเมือง อันเป็นจุดที่แตกต่างไปจากการเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ. 2566 ที่ขณะนั้นพรรคประชาชนเป็น “ม้ามืด” ที่พรรคอื่นไม่ได้สนใจมาก กับทั้งมีกระแสการเมืองจากการต่อต้านกลุ่มอำนาจดั้งเดิมเป็นแรงส่งขนานใหญ่
ถึงแม้อยู่ในยุคปฏิกิริยาโต้กลับทางการเมือง แต่ก็ยังพอกล่าวได้ว่า ในแง่คนหนุ่มสาวและการหาเสียงทางโซเชี่ยลมีเดีย พรรคอื่น ๆ ก็ยังตามพรรคประชาชนไม่ทัน ตัวอย่างเช่น พรรคเพื่อไทยพยายามจัดตั้ง “กลุ่มอวตาร” ตอบโต้พรรคประชาชนทางโซเชี่ยลมีเดีย แต่กลุ่ม “เพื่อนอุ๊งอิ๊ง” ยังไม่เข้าใจทฤษฎีการเลือกตั้งและขาดความรู้เรื่องพรรคการเมือง คิดง่าย ๆ เพียงว่าแคมเปญ “เจนวาย” ก็ถือว่าเป็นพวกเดียวกันกับคนหนุ่มสาวได้แล้ว
อีกทั้งทางปฏิบัติ ยังเน้นการณรงค์หาเสียงเชิงลบ (Negative Campaigning) ในโซเชี่ยลมีเดีย จนกลายเป็นบทบาทของ “เอไอพรรค” ที่คนจับได้ว่ามุ่งด่าทอพรรคอื่นอย่างเดียว คนทั่วไปจึงมองว่าไม่สร้างสรรค์และไม่มีอะไรใหม่ ถึงแม้ว่าจะมี “นางแบก” ทำงานอย่างหนักเกินค่าตัวก็ตาม
ยิ่งพรรคเพื่อไทยมุ่งไปที่แคมเปญปัจจุบันว่าตัวเองตกเป็น “เหยื่อ” (Playing the victim) ยิ่งแสดงให้เห็นถึง “ความกะโหลกกะลา” ของทีมแคมเปญพรรคเพื่อไทย
การกำหนดแคมเปญ “เหยื่อของระบบ” ก็ต้องแปลว่าพรรคเพื่อไทย “เป็นฝ่ายถูกกระทำ” แต่เกือบสองปีที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยมุ่งเอาทักษิณพ้นผิดลอยนวล (impunity) ขณะที่พรรคเพื่อไทยโดยบทบาท “ทักษิณ” “น้าอ้วน” กับ “หมอมิ้งค์” กลับดู “เป็นฝ่ายกระทำ” คนอื่นมากกว่า โดยเฉพาะการใช้กลไกรัฐบีบบังคับพรรคอื่นอย่างเมามัน จนกระทั่ง “น้าอ้วน” และ “พี่ทวี” ถูกกล่าวหาว่า “ก้าวก่ายแทรกแซง” ข้าราชการจนเป็นปัญหาวัวพันหลักในปัจจุบัน
การพาเสื้อแดงไปกินข้าวหน้าเรือนจำ ก็ช่างไปละม้ายคล้ายกับแคมเปญของนักศึกษาที่ทำแคมเปญ “พาเพื่อนออกจากคุก” มาก่อน น่าจะลอกแบบมาจากนักศึกษา และยังเชื่อมั่นในแบรนด์ “ทักษิณ” อย่างไม่ลืมหูลืมตา
การหาเสียงบนโซเชี่ยลมีเดีย มีหลักใหญ่ที่สุดว่า “ใครใหม่” กว่ากัน และจะอาศัยการครองใจ “สื่อ” ให้บรรดา “สื่อ” ช่วยพูดโน้มน้าวคนฟังต่ออย่างไร อันวัดได้จากการแชร์ข้อความต่อ ๆ กันออกไป แต่ต้องไม่ใช่การกระทำของ “พวกอวตาร” ที่เป็นเอไอของพรรค มุ่งโจมตีและลอกแบบคนอื่น
ส่วนพรรคภูมิใจไทย พรรคกล้าธรรม และพรรคอื่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยังเน้นการรบในป่า เพียงแต่สถานการณ์บีบบังคับให้สนใจพื้นที่ในเมือง
ข้างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคไทยก้าวใหม่ ที่คิดจะเป็นผู้ท้าชิงกรุงเทพฯ ก็ยังไม่แน่ใจว่าเข้าใจคนหนุ่มสาวและการใช้โซเชี่ยลมีเดียหาเสียงดีขนาดไหน
โดยเฉพาะ “คุณเอ้” สร้าง “กลุ่มเพื่อนพี่เอ้” ในพรรคประชาธิปัตย์และรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมมานาน แต่ยังไม่ปรากฏเป็นข่าวสารแพร่หลาย ด้านหนึ่งอาจเป็นเพราะ “ทำต่อไม่ไหว” เพราะว่าการแคมเปญต้องได้รับความสนับสนุนอย่างจริงจังจากพรรค
การไปสร้าง “พรรคไทยก้าวใหม่” จึงเป็นทางเลือกใหม่ที่คุณเอ้ได้ตัดสินแล้ว ถึงกระนั้น ก็ต้องเอา “ความใหม่” มาขายสู้เขา แม้อีกระยะเวลาเลือกตั้งเหลือไม่ถึงสี่เดือน แต่ยังเริ่มต้นได้เสมอ การเมืองไม่มีเร็วไม่มีช้า กระแสมาเมื่อไหร่ก็สามารถพลิกได้ชั่วข้ามคืน
ดูตัวอย่างได้จาก กระแส “พรรคสังคมนิยมทุกชนิด คือคอมมิวนิสต์ทั้งสิ้น” ที่ต่อต้านพรรคพลังใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2518 หรือกระแส “จำลองพาคนไปตาย” ที่ต่อต้านพรรคพลังธรรม ยุคหลังพฤษภาทมิฬ แม้เป็นแคมเปญที่เป็นตัวอย่างที่โหดร้าย แต่ก็เป็นตัวอย่างว่า “กระแส” เปลี่ยนการเลือกตั้งได้ และสามารถเปลี่ยนเกมได้
ปัจจุบัน สนามกรุงเทพฯ เปรียบได้กับการแข่งขันฟุตบอล เมื่อพรรคอื่นหลงเข้าไปเตะในสนามไทยรัฐทีวี หรือมติชนออนไลน์ โดยมีเอ็กซ์-อ๊อกเป็นไลน์แมน มีคุณสุทธิชัย ใส่เสื้อเชิ้ตสีดำเป็นกรรมการตัดสิน แล้วมีอาจารย์ปริญญากับคุณช่อเป็นกรรมการควบคุม VAR
แข่งทีไรพรรคอื่นก็แพ้พรรคประชาชนทั้งปี มีอย่างที่ไหนฟุตบอลแข่งไป กรรมการคอยลุ้นตัวเอียงตาม เป่านกหวีดผิด ๆ ถูก ๆ ส่วนเอ็กซ์-อ็อกก็ยกธงล้ำหน้ามั่วไปหมด ลูกชนคาน อาจารย์ปริญญากับคุณช่อก็ตัดสินว่าเข้าไปแล้ว “ทั้งใบ”
ตรงกันข้าม เวลานี้เมื่อพรรคประชาชนไปแข่งสนาม “บุรีรัมย์” บ้าง ทีมบุรีรัมย์ลงแข่ง 15 คน รวมกรรมการ ไลน์แมน กับทีม VAR แถมมีคุณเนวินคุมปืนใหญ่และถือคบไฟพร้อมจุดอยู่ข้างสนาม พรรคประชาชนมี 11 คน ถึงแม้มีคุณช่อเป็นเชียร์หรีดเดอร์ แข่งยังไงพรรคประชาชนก็ยังแพ้วันยังค่ำ คุณเท้งเลี้ยงมาใกล้ประตูจ่อจะยิงทีไร เงยหน้าเห็นคุณเนวิน เลี้ยงบอลกลับทุกที
วันหนึ่ง การเลือกตั้งไทยน่าจะได้แข่งสนามชาติเป็นกลาง เอาสนามโรงเรียนเทศบาลบ้านคลองเรียน หาดใหญ่ ถิ่นอาจารย์บู บ้างเป็นอย่างไร
บทความโดย :
ทนายบ้าน ๆ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา