"...แรงผลักที่แท้จริงไม่ได้มาจากอุดมการณ์ใหญ่โต แต่มาจากความกลัวอย่างหนึ่ง ความกลัวว่าจะเสียดายในวันที่หมดแรง แล้วต้องย้อนกลับมาคิดว่า ทำไมตอนนั้นเราไม่ทำอะไรเลย และจากความกลัวนี้ เขาจึงรวมตัวกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์อีกจำนวนหนึ่ง เริ่มก่อตั้งกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งต่อมากลายเป็นที่รู้จักในนาม Melayu Living ด้วยวิธีคิดที่ว่า ขอแค่สนุก ขอแค่จริงใจ และขอแค่ให้มันมีประโยชน์กับพื้นที่ของตัวเองก็พอ..."
ในบริบทของจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มักถูกจดจำผ่านภาพความรุนแรง ความขัดแย้งทางศาสนา และการควบคุมจากรัฐส่วนกลาง เมืองปัตตานีกลับค่อยๆ ปรากฏภาพใหม่ผ่านการขับเคลื่อนของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เลือกจะ “จัดบ้าน” แทนการ “ทิ้งบ้าน” กลุ่ม Melayu Living คือหนึ่งในพลังเล็กๆ ที่กำลังเปลี่ยนเมืองผ่านการใช้ศิลปะ วัฒนธรรม และกิจกรรมสร้างสรรค์ เพื่อเปลี่ยนความรู้สึกของผู้คนที่มีต่อบ้านเกิด
บทความนี้วิเคราะห์แนวคิดและปฏิบัติการของเครือข่าย Melayu Living โดยเฉพาะสองบุคคลหลักคือ ราชิต ระเด่นอาหมัด และฮาดีย์ หะมิดง ซึ่งเปรียบเมืองปัตตานีเป็น “ห้องรับแขก” ที่หากได้รับการจัดให้สวยงาม ก็จะสามารถต้อนรับผู้คนและความหวังใหม่ได้อีกครั้ง

“ถ้าเราจัดห้องรับแขกให้สวย คนจะอยากเข้ามา”
บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงเมืองไม่จำเป็นต้องเริ่มจากแผนยุทธศาสตร์หรือทุนขนาดใหญ่ แต่อาจเริ่มได้จากมือของคนตัวเล็กที่กล้าลงมือ ผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก ราชิต พิชญะพงศ์ และฮาดีย์ หะมิดง ผู้ร่วมก่อตั้งและขับเคลื่อน กลุ่ม Melayu Living ผู้ลงมือจัดห้องรับแขกแห่งปัตตานี ด้วยศิลปะ วัฒนธรรม ความทรงจำ และความหวัง ที่เขาเชื่อว่า ในพื้นที่ชายแดนใต้ที่เต็มไปด้วยภาพจำซ้ำซากของความรุนแรง ปัตตานีเปรียบได้กับ ห้องรับแขก ที่ยังรอวันจะถูกจัดให้เรียบร้อยและงดงาม เพื่อเปิดต้อนรับผู้คนจากทุกสารทิศอย่างภาคภูมิ กลุ่ม Melayu Living จึงเปรียบเสมือนเจ้าของบ้านคนใหม่ กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เชื่อว่าการเปลี่ยนเมือง เริ่มต้นได้จากความคิด ความรู้สึก และการลงมือทำทีละน้อย
จากเด็กที่โตมาในพื้นที่จำกัด สู่คนที่สร้างโอกาสให้ตนเอง
“เราเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง โตในพื้นที่ที่มันไม่มีโอกาส”
นี่คือคำพูดเปิดประเด็นของราชิตที่ดูเรียบง่ายแต่จริงใจ เขามิได้อ้างตัวเป็นนักพัฒนา นักปฏิรูป หรือผู้นำทางสังคม แต่เลือกจะลงมือทำในสิ่งที่เขาถนัด นั่นคือการออกแบบพื้นที่ให้ผู้คนกลับมารู้สึกว่ามีชีวิตชีวาได้ในเมืองบ้านเกิดของตนอีกครั้ง
แรงผลักที่แท้จริงไม่ได้มาจากอุดมการณ์ใหญ่โต แต่มาจากความกลัวอย่างหนึ่ง ความกลัวว่าจะเสียดายในวันที่หมดแรง แล้วต้องย้อนกลับมาคิดว่า ทำไมตอนนั้นเราไม่ทำอะไรเลย และจากความกลัวนี้ เขาจึงรวมตัวกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์อีกจำนวนหนึ่ง เริ่มก่อตั้งกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งต่อมากลายเป็นที่รู้จักในนาม Melayu Living ด้วยวิธีคิดที่ว่า “ขอแค่สนุก ขอแค่จริงใจ และขอแค่ให้มันมีประโยชน์กับพื้นที่ของตัวเองก็พอ”
เมื่อเมืองไม่ใช่แค่สถานที่ แต่คือความสัมพันธ์

แนวคิด ห้องรับแขกของเมือง เป็นหัวใจสำคัญที่คุณราชิตใช้ในการอธิบายการทำงานของเขา “เรามองว่าปัตตานีควรเป็นเหมือนห้องรับแขก เราแค่จัดบ้านให้เรียบร้อย หยิบของดีมาวางไว้ คนที่อยากเข้ามาก็เข้ามา เราไม่ต้องไปบอกใครว่าของเราดีแค่ไหน ให้เขาเห็นเองดีกว่า”
การทำงานของ Melayu Living ไม่ได้เน้นภาพลักษณ์หรือการสร้างแบรนด์อย่างที่หน่วยงานท่องเที่ยวมักพูดถึง แต่เป็นการทำให้ของธรรมดา ๆ ในพื้นที่ กลับมามีชีวิตด้วยความหมายเดิมของมัน เช่น การนำเรื่องเล่าพื้นบ้านมาออกแบบเป็นกิจกรรมศิลปะ การชวนศิลปินมาทำงานร่วมกับชาวบ้านในย่านเก่า หรือแม้แต่การฟังเสียงของคนธรรมดาผ่านวงสนทนาเล็ก ๆ
ศิลปะ วัฒนธรรม และความทรงจำ คือเครื่องมือของการฟื้นเมือง

“ขอแค่สนุก ขอแค่จริงใจ และขอแค่ให้มันมีประโยชน์กับพื้นที่ของตัวเองก็พอ”
หนึ่งในกิจกรรมที่ได้รับความสนใจมากคือ การเดินย่าน ในเมืองเก่าปัตตานี โดยไม่ได้มีเพียงการชมตึกเก่าเท่านั้น แต่มีการเชื่อมโยงกับความทรงจำของผู้คน เช่น เรื่องเล่าเกี่ยวกับผีนางรำหน้าบ้าน ที่เคยหลอกหลอนเด็ก ๆ สมัยหนึ่ง กลับกลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้นักออกแบบนำมาสร้างสรรค์เป็นงานศิลปะที่สื่อถึงร่องรอยความกลัวในอดีตซึ่งกลายเป็นเรื่องเล่าในปัจจุบัน
อีกโครงการหนึ่งที่เขากล่าวถึง คือความพยายามผลักดันพิพิธภัณฑ์เมือง ที่ไม่ใช่ตึกนิทรรศการแบบแข็งตัว แต่เป็นพื้นที่ที่หมุนเวียน เปลี่ยนแปลง และเปิดให้คนจนหรือคนชายขอบได้เข้ามามีส่วนร่วมในการบันทึกความทรงจำของตนเอง
“เราไม่อยากให้พิพิธภัณฑ์เป็นของคนรวยหรือเจ้าสัวเท่านั้น คนจนก็มีความทรงจำของเขาเช่นกัน” ราชิตกล่าว
ไม่ต้องรอพร้อม : ขบวนการเล็กๆ เริ่มต้นจากศูนย์
ในมุมมองของราชิต การขับเคลื่อนเมืองไม่จำเป็นต้องเริ่มจากแผนงานใหญ่ ที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาล หรือการรอให้หน่วยงานรัฐหรือทุนใหญ่เข้ามา เขาเชื่อว่าแค่ลงมือทำก่อน ทุกอย่างก็จะค่อย ๆ เกิดขึ้นเอง “เราทำโดยไม่มีเงิน ไม่มีทุน แล้วค่อย ๆ มีคนที่เข้าใจเดินเข้ามา เราไม่ได้ไปขอให้ใครเข้าใจ แค่มีคนได้ยินก็พอ”
วิธีการของเขาเรียบง่ายแต่มีกลยุทธ์ เขาสื่อสารกับชุมชนด้วยภาษาที่คนทั่วไปเข้าใจ ไม่ใช้ศัพท์ทางวิชาการ ไม่บรรยายความดีงามแบบเป็นทางการเกินไป เพราะสิ่งสำคัญไม่ใช่การสร้างภาพ แต่คือการสร้างความไว้ใจและความจริงใจ
พลังของคนรุ่นใหม่ และความฝันที่ไม่มีชื่อเรียก
แม้ Melayu Living จะไม่ใช่องค์กรใหญ่โต แต่ก็กลายเป็นสนามฝึกซ้อมของคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่อยากกลับมาทำงานให้กับบ้านเกิด หลายคนเคยเป็นอาสาสมัคร บางคนต่อยอดไอเดียจากงานศิลปะ เช่น การออกแบบลวดลายที่ผสมผสานความเชื่อดั้งเดิมกับภาพลักษณ์ใหม่ของเมือง
ราชิตย้ำว่าเป้าหมายของเขาไม่ใช่การเติบโตขององค์กร แต่คือการส่งต่อแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่เห็นว่า การกลับมาทำงานที่บ้านเกิดไม่ใช่เรื่องน่าอาย
“เราอยากให้เมืองนี้มีพื้นที่ให้เด็ก ๆ ได้เติบโต แล้วไม่ต้องหนีออกไป”
เมืองที่เปลี่ยนได้ ถ้าคนในเลือกจะลงมือ
คำตอบของราชิตต่อคำถามเรื่องการพัฒนาเมือง ไม่ใช่แผนแม่บทหรือกลยุทธ์ แต่คือการทำให้เมืองกลายเป็นพื้นที่ที่ผู้คนรู้สึกว่า มีคุณค่า
“ไม่ต้องรอให้ใครมาอนุมัติ ขอแค่เราคิดดี ทำจริง และพร้อมที่จะเรียนรู้ร่วมกับคนอื่น ๆ เมืองก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนไปเอง”
แน่นอนว่า เมืองปัตตานียังมีความเปราะบางและความท้าทายอยู่มาก แต่สำหรับราชิต การลงมือทำอย่างต่อเนื่องจากสิ่งเล็ก ๆ คือ การเริ่มต้นออกแบบอนาคตที่ทรงพลังที่สุด
ดังนั้น แนวคิดและการทำงานของ ราชิต ระเด่นอาหมัด จึงสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในพลังของคนเล็ก ๆ ที่ไม่รอคอยทุนหรือนโยบายรัฐ แต่เลือกจะลงมือทำในสิ่งที่จับต้องได้ ผ่านการออกแบบพื้นที่และกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่เรียบง่ายแต่จริงใจ
เขามองว่าเมืองคือ ห้องรับแขก ที่ควรจัดให้เรียบร้อยและอบอุ่น เพื่อให้ผู้คนรู้สึกอยากเข้ามามีส่วนร่วม โดยไม่ต้องยัดเยียดภาพลักษณ์หรือแบรนด์ใด ๆ การทำงานของเขาภายใต้เครือข่าย Melayu Living จึงเน้นการใช้ศิลปะ วัฒนธรรม และเรื่องเล่าท้องถิ่นเป็นเครื่องมือในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับเมือง ทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนเป้าหมายหลักคือ การเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้กลับมาเติบโตในบ้านเกิด โดยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าอายอีกต่อไป
"ฮาดี้ Melayu Living : จุดไฟเมืองให้มีชีวิตอีกครั้ง"

ในพื้นที่ชายแดนใต้ที่ถูกทำให้คุ้นชินกับความหวาดกลัว ความรุนแรง และความล้มเหลวในการพัฒนา มีคนหนุ่มคนหนึ่งตัดสินใจกลับบ้านเพื่อเปลี่ยนความรู้สึกนั้นเสียใหม่ เขาคือ ฮาดีย์ หะมิดง หนึ่งในสมาชิกของ กลุ่ม Melayu Living ผู้ที่กลับมาเพื่อสร้างพื้นที่เล็ก ๆ เพื่อให้ผู้คนสามารถหายใจได้เต็มปอด กลุ่ม Melayu Living ไม่ได้แค่จัดกิจกรรมศิลปะหรือวัฒนธรรม แต่กำลังทดลองออกแบบเมือง ในแบบที่รัฐไม่เคยคิด และในแบบที่คนท้องถิ่นรู้สึกว่าเป็นของตัวเอง บทสัมภาษณ์นี้คือ เสียงสะท้อนของคนรุ่นใหม่ที่ไม่รอให้เมืองเปลี่ยนไปก่อนแล้วค่อยกลับมา หากแต่กลับมาเพราะเชื่อว่า เมืองจะไม่เปลี่ยนเลยถ้าไม่มีใครเริ่ม
การกลับบ้าน และการไม่รอให้เมืองเปลี่ยน
“ถ้าจะรอให้ปัตตานีพร้อมก่อน แล้วเราค่อยกลับไปทำ มันไม่มีวันเกิดขึ้น” ฮาดี้เริ่มบทสนทนาด้วยประโยคที่ฟังแล้วเหมือนจะดึงดัน แต่จริง ๆ คือความดื้อเพื่อความหวัง เขาเล่าว่าหลังจากเรียนจบก็มีทางเลือกมากมาย ไม่ว่าจะทำงานที่กรุงเทพฯ หรือไปต่างประเทศ แต่เขาเลือกกลับบ้าน เพราะรู้สึกว่า ถ้าไม่กลับมาตอนนี้ ปัตตานีจะยังอยู่ที่เดิม
“บางคนบอกว่า กลับไปทำไม บ้านยังไม่พร้อม ไม่มีอะไรให้ทำ แต่ถ้าไม่มีใครเริ่ม เมืองมันก็ไม่เปลี่ยน” การกลับมาของเขาไม่ใช่แค่การกลับมาอยู่อาศัย แต่คือการกลับมาเพื่อลงมือทำ แม้จะไม่รู้ว่าเมืองจะตอบสนองอย่างไร แต่เขาเชื่อว่า การลงมือทำจะเปลี่ยนทั้งตัวเองและคนรอบข้าง
Melayu Living : ความเคลื่อนไหวที่ไม่ใช่แค่ศิลปะ
กลุ่ม Melayu Living เกิดจากเพื่อนกลุ่มเล็ก ๆ ที่อยากทำกิจกรรมในชุมชนโดยใช้ศิลปะ วัฒนธรรม และความคิดสร้างสรรค์เป็นเครื่องมือ แต่สิ่งที่พวกเขาทำไปไกลกว่านั้น “เรามองว่า วัฒนธรรมไม่ควรเป็นของโชว์ มันควรจะมีชีวิต และมีความหมายกับคนที่อยู่กับมันจริง ๆ”
Melayu Living จึงไม่ใช่แค่การแสดงงานศิลป์หรืออนุรักษ์ประเพณี แต่เป็นการเปลี่ยนพื้นที่เฉื่อยชาให้กลายเป็นพื้นที่ที่มีชีวิตทั้งในแง่การใช้สอย การสื่อสาร และความรู้สึกของผู้คน
“เวลาเราจัดงาน เราไม่ได้อยากให้คนมาดูเฉย ๆ แต่อยากให้เขารู้สึกว่า เมืองมันขยับได้ เพราะคนขยับ”
สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เยาวชน ผ่านการลงมือทำ
“พอเขาได้อยู่ในพื้นที่แบบนี้ เขาเริ่มเห็นว่า บ้านเราเปลี่ยนได้ด้วยมือเรา”
หนึ่งในจุดมุ่งหมายสำคัญของ Melayu Living คือการเปิดพื้นที่ให้กับเยาวชนในปัตตานีได้เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ฮาดี้เล่าว่า การทำงานในชุมชนทำให้เขาเห็นว่า เยาวชนจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่า ไม่รู้จะไปอยู่ตรงไหน และขาดพื้นที่ในการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์
“เด็กบางคนไม่มีพื้นที่ให้ยืน เขาก็เลยไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยงแทน” ฮาดี้กล่าวและพูดต่อ กิจกรรมของกลุ่ม Melayu Living จึงไม่ได้จัดขึ้นเพื่อความสวยงามทางศิลปะเท่านั้น แต่เพื่อให้เยาวชนรู้สึกว่าตนเองมีค่าและเป็นส่วนหนึ่งของเมือง ผ่านกิจกรรมอย่างการจัดแสดงผลงาน การอบรมเชิงปฏิบัติการ หรือแม้กระทั่งการให้เยาวชนร่วมเป็นผู้จัดงาน
“เราชวนเขามาร่วมออกแบบ มาช่วยตัดสินใจ ไม่ใช่แค่มาเป็นผู้ชม” เพราะฮาดี้เชื่อว่า เมื่อเยาวชนมีพื้นที่ให้ยืน มีเวทีให้แสดงความสามารถ และได้รับความไว้วางใจจากผู้ใหญ่ ก็จะลดโอกาสที่เขาจะต้องแสดงออกในพื้นที่เสี่ยงหรือมีความรุนแรง การสร้างพื้นที่เชิงบวกนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่การเยียวยา แต่คือการออกแบบอนาคตร่วมกัน
“พอเขาได้อยู่ในพื้นที่แบบนี้ เขาเริ่มเห็นว่า บ้านเราเปลี่ยนได้ด้วยมือเรา
การสื่อสารเมืองผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์
กิจกรรมของ Melayu Living มักไม่ได้อยู่ในกรอบของการจัดงานวัฒนธรรม แบบที่หน่วยงานรัฐคุ้นเคย ฮาดี้และเพื่อน ๆ ใช้ศิลปะและวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือในการ เล่าเรื่องเมืองและทำให้ผู้คนรู้สึกผูกพันกับพื้นที่ของตัวเอง
“เราเคยจัดงานที่เอาเรื่องผ้า เรื่องข้าวยำ มาเล่าใหม่ ไม่ใช่แค่ขายของ แต่เล่าให้เห็นว่าของเหล่านี้คือชีวิตคน คือเรื่องราวของเมือง”
พวกเขาเชื่อว่า การทำให้อัตลักษณ์กลายเป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย สนุก และเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน จะทำให้ผู้คนเข้าถึงความเป็นเมืองของตนเองโดยไม่รู้ตัว การจัดงานแบบนี้ไม่ได้มีแค่การโชว์สินค้า แต่รวมถึงการมีส่วนร่วม การสื่อสาร และการเปลี่ยนวิธีคิด
“บางคนมาแล้วบอกว่า เพิ่งรู้ว่าปัตตานีมีอะไรแบบนี้ด้วย มันทำให้เรารู้ว่าการเล่าเรื่องสำคัญมาก”
ความหวังใหม่จากคนรุ่นใหม่ในเมืองเก่า
ฮาดี้มองว่าคนรุ่นใหม่จำนวนมากไม่ได้ปฏิเสธรากเหง้าหรือวัฒนธรรมท้องถิ่น เพียงแต่ต้องการมีบทบาทในการตีความและออกแบบวิถีชีวิตใหม่ ๆ ให้เหมาะกับยุคสมัย “มันไม่ใช่การทิ้งของเก่า แต่มันคือการมองของเก่าในมุมใหม่ แล้วเอามาใช้กับชีวิตจริง”
เขาเชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงไม่ควรเกิดขึ้นจากบนลงล่างอย่างเดียว แต่ควรเปิดโอกาสให้คนตัวเล็กตัวน้อยได้เป็นเจ้าของพื้นที่และเรื่องราวของเมืองด้วยตัวเอง
“ถ้าเราอยากให้เมืองนี้น่าอยู่ เราต้องเริ่มจากการทำให้คนในเมืองรู้สึกว่า เมืองเป็นของเขาจริง ๆ”
ความร่วมมือระหว่างรัฐกับพลเมือง
เมื่อถูกถามถึงบทบาทของรัฐ ฮาดี้ไม่ได้แสดงความต่อต้าน แต่เสนอภาพของรัฐที่เปิดหูฟัง และพร้อมจะทำงานร่วมกับประชาชนอย่างเท่าเทียม เขากล่าวว่า
“เราไม่ได้อยากชนกับรัฐ แต่อยากให้รัฐเห็นว่า คนในพื้นที่ก็มีศักยภาพ ถ้าเปิดพื้นที่ให้ เราทำอะไรได้เยอะเลย” พร้อมกับยกตัวอย่างกิจกรรมหลายครั้งที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานท้องถิ่น และเชื่อว่า หากเกิดความเข้าใจร่วมกัน เมืองจะสามารถพัฒนาได้โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลาง
“แค่รัฐฟัง และให้โอกาส คนในพื้นที่ก็พร้อมจะลุกขึ้นมาทำ”
เมืองที่เราสร้างได้เอง

สำหรับฮาดี้ การทำงานใน Melayu Living ไม่ใช่เพียงเรื่องของศิลปะหรือกิจกรรมเชิงวัฒนธรรม แต่เป็นการเปลี่ยน ความรู้สึกของผู้คนต่อบ้านเกิดของตัวเอง
“ถ้าเรายังรู้สึกว่าเมืองนี้น่ากลัว เมืองนี้ไม่มีอนาคต เราก็จะไม่ทำอะไรเลย” เขาเชื่อว่าการสื่อสาร ความหวัง และการลงมือทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกวัน จะค่อย ๆ เปลี่ยนภาพจำของเมืองปัตตานีให้กลายเป็นพื้นที่ที่คนอยากอยู่ และคนที่จากไปก็อยากกลับมา
“มันเริ่มจากความรู้สึก ว่าเมืองนี้เป็นของเรา แล้วเรามีสิทธิจะเปลี่ยนมัน”
หลังเรียนจบ ฮาดี้ตัดสินใจกลับบ้านเกิดที่ปัตตานี โดยไม่รอให้เมืองพร้อมหรือสงบก่อน เพราะเขาเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิดขึ้นเลย หากไม่มีใครลงมือทำ การกลับมาของเขาไม่ใช่แค่การกลับมาใช้ชีวิต แต่คือการริเริ่มสร้างความเคลื่อนไหวผ่านกลุ่ม Melayu Living กลุ่มเพื่อนคนรุ่นใหม่ที่ใช้ศิลปะ วัฒนธรรม และกิจกรรมสร้างสรรค์ในการปลุกชีวิตเมือง สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เยาวชนได้แสดงออกอย่างสร้างสรรค์ และเชื่อมโยงผู้คนกับอัตลักษณ์ท้องถิ่นในแบบที่มีชีวิต ไม่ใช่เพียงของโชว์
ฮาดี้ไม่ได้มองรัฐเป็นฝ่ายตรงข้าม แต่เขาเชื่อว่าความร่วมมือจะเกิดขึ้นได้ หากรัฐรับฟังและเปิดพื้นที่ให้คนในชุมชนได้แสดงศักยภาพ โดยมีความหวังว่า เมืองจะเปลี่ยนแปลงได้ หากเปลี่ยนความกลัวเป็นความรู้สึกเป็นเจ้าของ และเชื่อมั่นในพลังของคนตัวเล็กในการออกแบบอนาคตร่วมกัน ปัตตานีในสายตาของเขาคือเมืองที่เปลี่ยนได้ ถ้าทุกคนลงมือทำตั้งแต่วันนี้
บทสรุป: ห้องรับแขกของปัตตานี: การฟื้นเมืองผ่านศิลปะ วัฒนธรรม และการลงมือของคนรุ่นใหม่

ราชิตและฮาดี้คือคนรุ่นใหม่ที่รวมตัวกันในกลุ่ม Melayu Living โดยเชื่อว่า การพัฒนาเมืองไม่จำเป็นต้องเริ่มจากงบประมาณหรือแผนการใหญ่โต แต่สามารถเริ่มได้จากการจัดพื้นที่เล็ก ๆ ด้วยความจริงใจ ทั้งคู่ใช้ศิลปะ วัฒนธรรม และเรื่องเล่าท้องถิ่นเป็นเครื่องมือในการสร้างความรู้สึกผูกพันกับเมือง โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน พวกเขาไม่เพียงจัดกิจกรรม แต่สร้างพื้นที่ปลอดภัย ที่เปิดให้คนรุ่นใหม่ได้ลงมือสร้างอนาคตของตนเอง โดยไม่ทิ้งรากเหง้าทางวัฒนธรรม และยังเชื่อว่าความร่วมมือกับรัฐสามารถเกิดขึ้นได้ หากรัฐยอมรับฟังและเปิดพื้นที่ให้คนในชุมชนได้แสดงศักยภาพอย่างแท้จริง
เรื่องราวของราชิตและฮาดี้สะท้อนให้เห็นว่า ปัตตานียังเป็นเมืองที่มีความหวัง แม้จะเต็มไปด้วยเงื่อนไขของความเปราะบาง กลุ่ม Melayu Living ไม่ได้สร้างแบรนด์หรือจัดงานเพื่อโชว์ผลงานเท่านั้น แต่พวกเขาลงมือทำเพื่อเปลี่ยนความรู้สึกของคนในเมืองให้กลับมาอยากอยู่ และอยากกลับมาบ้านเกิด พวกเขาไม่รอเวลาหรือความพร้อมจากเมืองหรือรัฐ แต่เริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ ใกล้ตัว เพราะเชื่อว่าหากทุกคนช่วยกันจัดห้องรับแขกของเมืองให้สวย เมืองนี้ก็พร้อมต้อนรับอนาคตที่ดีกว่าได้เสมอ
บทสรุป: เยาวชน ผู้เปลี่ยนเมือง และต้นแบบของการจัดห้องรับแขกชายแดนใต้
เทศกาลปัตตานีดีโคตร และกระบวนการทำงานของกลุ่ม Melayu Living แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของ เยาวชน ในการฟื้นฟูเมืองผ่านศิลปะ วัฒนธรรม และความทรงจำ ไม่ใช่ในฐานะ “ผู้รับประโยชน์” จากการพัฒนา แต่คือ “เจ้าของพื้นที่” ที่มีสิทธิ เสียง และศักยภาพในการสร้างสรรค์อนาคตของตนเอง
การเปิดพื้นที่ให้เยาวชนมีส่วนร่วมตั้งแต่การออกแบบ คิดงาน ไปจนถึงการจัดการเทศกาล เป็นกลยุทธ์ที่ไม่เพียงสร้างการเรียนรู้เชิงทักษะและการมีส่วนร่วมทางสังคมเท่านั้น แต่ยังสร้าง ความรู้สึกเป็นเจ้าของ (sense of belonging) ที่ลึกซึ้ง เยาวชนที่เคยรู้สึกว่าเมืองไม่ใช่ของตนเอง ได้กลับมามองบ้านเกิดในมุมใหม่ และเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงไม่จำเป็นต้องรอความพร้อมจากรัฐหรือทุนใหญ่ แต่สามารถเริ่มจาก “สิ่งเล็กๆ ที่จับต้องได้” รอบตัว
ภายใต้ภาพรวมนี้ ราชิต ระเด่นอาหมัด และฮาดีย์ หะมิดง คือสองบุคคลสำคัญที่ทำหน้าที่ “แกนกลาง” ในการออกแบบกระบวนการเปลี่ยนภาพจำของปัตตานี ผ่านเครื่องมือที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง พวกเขาไม่ได้สร้างแบรนด์ ไม่ได้จัดงานเพื่อโชว์ความสำเร็จ แต่ใช้ศิลปะและวัฒนธรรมเป็นสะพานเชื่อมระหว่างคนรุ่นใหม่กับบ้านเกิดของตน
แนวคิดของ “ห้องรับแขก” ที่พวกเขานำมาใช้ เป็นมากกว่าการเปรียบเปรย หากแต่เป็น โมเดลของการสื่อสารทางสังคม ที่ส่งสัญญาณว่า เมืองที่น่าอยู่คือเมืองที่ต้อนรับและให้เกียรติความหลากหลาย หากปัตตานีสามารถจัด “ห้องรับแขก” ของตนได้อย่างอบอุ่นและมีชีวิต พื้นที่อื่นอย่าง ยะลาและนราธิวาส ก็สามารถใช้โมเดลนี้เป็นต้นแบบในการขับเคลื่อนพื้นที่ของตนเช่นกัน
ข้อเสนอคือ การสนับสนุนให้เกิดกลุ่มเยาวชนในท้องถิ่นที่มีพื้นที่ในการริเริ่มงานสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง โดยมีระบบพี่เลี้ยงจากกลุ่มรุ่นพี่อย่าง Melayu Living ควบคู่ไปกับกลไกความร่วมมือจากภาครัฐท้องถิ่น ที่ไม่ควบคุมแต่ “เปิดพื้นที่และรับฟัง” เพราะในท้ายที่สุด เมืองที่ยั่งยืนจะต้องถูกสร้างจากมือของคนใน ไม่ใช่เพียงแบบแปลนจากส่วนกลาง
เรื่องราวของราชิตและฮาดีจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของปัตตานีเท่านั้น แต่เป็น ต้นแบบของพลังคนเล็ก ที่สามารถพลิกภาพจำของพื้นที่ชายแดนใต้ให้เป็นเมืองแห่งความหวัง และกลับมาเป็น “บ้าน” ที่ใครๆ ก็อยากอยู่ อยากกลับ และอยากลงมือเปลี่ยนแปลงร่วมกัน
บทความโดย :
รศ.ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา