
"...พรรคใดมีนักรบที่ยึดอุดมการณ์มาก พรรคจะเข้มแข็งมาก แต่จะตึงเกินไป เพราะนักรบปรับตัวยาก ตรงกันข้าม ถ้ามีนักการเมืองที่ฉวยโอกาสมาก พรรคจะปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย แต่จะกลายเป็นพรรคที่ขาดอุดมการณ์..."
1. ความนำ
การวิเคราะห์พรรคการเมืองก็เหมือนดูทีมฟุตบอล คนจะดูทรงบอล (shape) เช่น เล่นระบบ 4-3-3 หรือ 3-4-3 หรือดูสไตล์บอล เช่น รุกหรือรับแล้วโต้ หรือบุกแหลก หรือดูที่ผู้จัดการทีม เช่น บุคลิกและความคิดของอโมริมหรือว่าเป๊ป หรือ “น้ามู” บางทีดูถึงเจ้าของ เช่น “เซอร์จิม” บริหารทีมยังไง
พรรคทุกพรรคในโลกมีทรงเหมือนกัน พัฒนาจาก “Cadre Party” ไปเป็นพรรคมวลชน (Mass Party) ไปเป็นพรรค “Catch All” แล้วก็ปัจจุบันเป็นพรรค “Technical and Professional Party”
“Cadre Party” หมายถึงพรรคที่เกิดจากชนชั้นนำหรือไม่ก็กลุ่มนักเคลื่อนไหวมวลชน หรือกลุ่มผู้นำของเมือง
ส่วนพรรคมวลชน คือ พรรคที่มีฐานมวลชนสนับสนุน เช่น พรรคดิโมแครตเป็นพรรคของคนอเมริกันตอนใต้ พรรครีพับลิกันมีจุดกำเนิดมาจากคนอเมริกันตอนเหนือ
ด้านพรรค “Catch All” คือ พรรคมวลชนต้องขยายจากฐานมวลชนไปสู่การมีนโยบายรองรับคนทุกภาคและครอบคลุมทั้งประเทศ เช่น พรรคดิโมแครตต้องมีนโยบายตอบสนองปัญหาคนอเมริกันทางเหนือ หรือพรรครีพับลิกันก็ต้องตอบสนองต่อคนอเมริกันทางใต้
ในพรรคเดียวยังใช่ว่าจะมีกลุ่มคนอยู่เพียงปีกเดียว เช่น พรรครีพับลิกัน ขึ้นชื่อว่าเป็น “พรรคอนุรักษ์นิยม” แต่ยังมี “ปีกซ้าย” ซึ่งแผ่อิทธิพลลงมาทางตอนใต้ และเป็นหลักในการผลักดันการเลิกทาสและให้กำเนิดนโยบายสิทธิพลเมือง (civil rights policies)
ตรงกันข้าม หลังจากที่ประธานาธิบดีลินคอห์นประกาศเลิกทาส โดยการแก้รัฐธรรมนูญครั้งที่สิบสามแล้ว พรรคดิโมแครตซึ่งเป็นพรรคคนตอนใต้เองกลับต่อต้าน เพื่อรื้อฟื้นนำระบบทาสกลับคืนมา ทั้งนี้เป็นเพราะผู้นำพรรคดิโมแครตที่ได้ชื่อว่าเป็นพวกซ้ายในปัจจุบัน ขณะนั้นเป็นพวกสมาพันธรัฐซึ่งเป็นชนชั้นชาวไร่นาขนาดใหญ่ที่เคยมีทาสกลับมามีอำนาจอีกครั้งหนึ่ง
ดังนั้น การแบ่งเป็น “ซ้าย” หรือ “ขวา” จึงไม่ใช่เส้นแบ่งตายตัว เหมือนอย่างที่พิธีกรทีวีออนไลน์ไทย เรียกพรรคอีกฝ่ายว่า “พรรคอนุรักษ์นิยม” แล้วเรียกอีกพรรคว่า “พรรคประชาธิปไตย”
ความจริง “พรรคอนุรักษ์นิยมไทย” ก็เป็นประชาธิปไตยมาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ส่วน “พรรคประชาธิปไตยไทย” ก็มาจากการเลือกตั้งระบอบเดียวกัน แต่ละพรรคไม่ได้มีปีกเดียว พรรคประชาธิปไตยไทยก็มีทั้งกลุ่มที่สงสัยว่า “มีทหารไว้ทำไม” ขณะที่มีกลุ่มที่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับบทบาทของทหาร
ยุคปัจจุบันพรรคการเมืองทุกพรรคเข้าสู่ยุค technical & professional party คือ ต้องอาศัยเทคโนโลยีทางการสื่อสาร และต้องอาศัยมืออาชีพ อย่างน้อยก็ต้องมี “Think Tank” เป็นเรื่องเป็นราว
2. ระบบ Mediatization กับ Political Spin
ในประเทศไทย การดูว่าพรรคไหนจะชนะเลือกตั้งในต้นปีหน้า ก็เหมือนว่าคืนนี้เราจะดูแมนยูเตะกับซันเดอร์แลนด์แล้วใครจะชนะ คือ ต้องดูเป็นแม็ทซ์ ๆ ไปและขึ้นอยู่กับว่า “คู่แข่ง” เป็นใคร
ส่วนที่ต่างกันบ้างอยู่ตรงที่ฟุตบอลมีแม็ทซ์ให้เตะทุกสัปดาห์ แต่การเลือกตั้งทั่วไปมีทุกสี่ปี หรืออาจเร็วกว่านั้นหากมีการยุบสภา
เมื่อคุณอนุทินประกาศว่าอีกสี่เดือนจะยุบสภา ก็เท่ากับประกาศว่าพรรคการเมืองไทยทุกพรรคต้องเข้าสู่การ Campaign หรือรณรงค์หาเสียง พรรคไหนหาเสียงเร็วเท่าใด ก็ได้เปรียบเท่านั้น
ในทางวิชาการ การ Campaign ยังแบ่งเป็นเชิงบวกและเชิงลบ Campaign เชิงบวกคือจะเอานโยบายอะไรมาขาย Campaign เชิงลบคือจะโจมตีอะไร
ทุกพรรคจึงต้องคิดนโยบายและคิดจะโจมตีอะไร เช่น “พรรคไทยก้าวใหม่” เพิ่งเปิดตัวไม่กี่วัน ชูนโยบายการศึกษา ว่าการศึกษาสัมพันธ์กับเศรษฐกิจและการแก้ปัญหาการคอร์รัปชัน ถ้าการศึกษาดี เศรษฐกิจจะดี และการคอร์รัปชันจะลดลง
แม้พรรคไทยก้าวใหม่บอกว่าตนไม่ขอขัดแย้งกับใคร แต่ที่จริงพรรคไทยก้าวใหม่กำลังโจมตี “ระบบการศึกษาไทย” การที่พรรคไทยก้าวใหม่กล่าวว่าที่ผ่านมาระบบการศึกษาไทยล้มเหลว นั่นแหละ คือ “negative campaign”
การ Campaign สมัยใหม่มีความซับซ้อนเพราะต้องอาศัยเทคโนโลยีและความรู้ไม่น้อย การหาเสียงสมัยใหม่ จึงไม่ใช่เพียงตั้ง “Think Tank” ขึ้นมาช่วยกันคิด แต่ต้องแบ่งงานและจัดองค์การพรรคกันอย่างจริงจัง โดยเฉพาะต้องเอาคนรู้เรื่องมาทำงาน
2.1 ระบบ Mediatization
เมื่อใกล้เลือกตั้ง คนที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองจะเริ่มทำ Campaign มีทั้ง Campaign ประเภทคิดกันเองอย่างไร้ฐานการคิด (baseless) จนถึงประเภทที่คิดอย่างเป็นระบบและใช้วิชาความรู้
โลกสมัยใหม่ เกิดระบบ “Mediatization” หมายความว่า “สื่อ” กับ “การเมือง” ถูกผนวกเข้าด้วยกันจนเป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งแบ่งออกเป็นสองด้าน คือ ด้าน “สื่อ” กับด้าน “การเมือง”
ด้าน “สื่อ” หมายความว่า สื่อลงไปเล่นการเมืองและสร้างอิทธิพลทางการเมือง ส่วนด้าน “การเมือง” ก็คือ ฝ่ายการเมืองต้องเล่นการเมืองโดยอาศัย “สื่อ”
พรรคการเมืองที่ตามระบบ Mediatization ไม่ทัน ก็จะตกเบี้ยล่างพรรคที่เล่น Mediatization เป็น
ยกตัวอย่าง ถ้าเราอยากรู้ว่า “พรรคเราจะชนะการเลือกตั้งหรือไม่” เราวัดได้ง่าย ๆ โดยดูจากพิธีกรรายการทีวีออนไลน์ เช่น เวลา “คุณถึก” หรือ “คุณปลื้ม” พูด เขาอยากให้พรรคเราชนะหรือไม่ หรือเราไปถาม “คุณปอง” กับ “คุณกนก” ว่าอยากให้พรรคไหนชนะ เขามีพรรคเราอยู่ในใจเขาหรือไม่
“เทรนด์” ของความนิยมของพรรคการเมืองในทัศนะของพิธีกรเป็นอย่างไร นั่นแหละคือตัวชี้วัดชัยชนะของพรรคการเมือง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนของพรรคการเมืองที่ถูกส่งออกมาเป็นผู้จัดรายการและพิธีกรเพื่อโน้มน้าวสังคม ยิ่งนักวิชาการที่มีชื่อเสียง แต่สนับสนุนพรรคการเมืองบางพรรค ยิ่งมีอิทธิพลต่อการสร้างความนิยม
ทีวีออนไลน์ในไทยกลายเป็น Mediatization เพราะเขากำลังทำสื่อให้เป็น “การเมือง” และมีอิทธิพลต่อการเลือกตั้ง ปัจจุบัน จึงไม่มีทีวีออนไลน์ช่องไหนไม่เอาสื่อตัวเองมาเป็น “การเมือง” เพราะการทำ Mediatization ของสื่อ ยิ่งทำให้สื่อได้รับความนิยมและได้ประโยชน์จากการโฆษณา
ในทางกลับกัน ด้านพรรคการเมืองก็ต้องเล่นการเมืองโดยอาศัย “สื่อ”
ภาพที่ “นักการเมือง” เดินไปถึงบันใดหน้าบ้าน (doorstep) เป็นภาพของการเมืองในอดีต เพราะนักการเมืองเดินได้จำกัด ประกอบกับอำนาจของ “สาร” ที่สื่อออกไปอยู่ในวงแคบ อำนาจของ “สาร” จากการสื่อสารตัวต่อตัวสู้สื่อสมัยใหม่ไม่ได้ ยิ่งผู้รับสารพูดต่อ ๆ กันไป ยังส่งผลให้สารขยายตัวออกเป็นเท่าทวี
2.2 Political Spin
พรรคการเมืองสมัยใหม่ นอกจากจะเข้าใจ “Mediatization” แล้ว ยังเกิดการยอมรับการ “ปั่นกระแส” (Political Spin) ว่าเป็นแท็กติกส์พื้นฐานทางการเมือง
คำนี้เริ่มใช้ในสมัยประธานาธิบดีโอบามา ในสหรัฐอเมริกา และไม่ได้มีความหมายทางลบอีกต่อไป มิหนำซ้ำต้องการ “มืออาชีพ” เป็นอย่างมาก สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการเมืองสมัยใหม่จึงได้แก่ “Spin Doctors” คำนี้หมายถึง “ผู้เชี่ยวชาญ” ในการสร้างกระแสทางการเมือง
ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เพียงสี่เดือน หากพรรคการเมืองใดได้ “Spin Doctors” ที่เก่งกาจ มีความรู้พื้นฐานทางการเมืองมากพอ พรรคนั้นอาจวางยุทธศาสตร์การหาเสียง และสร้างกระแสหรือพลิกกระแสได้เพียงชั่วข้ามคืน
เหตุหนึ่งที่คนกลัวทักษิณ ก็เพราะทักษิณนั่นแหละ คือ “Spin Doctor” ตัวพ่อของการเมืองไทย
ในทางกลับกัน เราอาจเห็นจุดอ่อนของการขาด Political Spin ของพรรคไทยก้าวใหม่ คำประกาศนโยบายสี่ลูกศรของเขาเป็นนโยบายที่ไม่ชัด คนไม่มองไม่ออกและไม่เกิดแรงบันดาลใจในการเป็นพรรคใหม่ อย่างน้อยพรรคนี้ไม่รู้ว่าตำแหน่งทางการเมือง (positioning) ของตัวเองอยู่ตรงไหน เป็นซ้าย เป็นขวา เป็นกลาง เป็นพรรคต่อต้านระบบ หรือ “ตามน้ำ” ไปตามระบบ
3. the Anti-Establishment Parties
วารสาร “Party Politics” เป็นเวทีทางวิชาการที่เสนอความรู้เรื่องพรรคการเมืองอันดับต้น ๆ ของโลก ได้เสนอความรู้อันหนึ่งที่น่าสนใจมาก ได้แก่ เรื่อง “the Anti-Establishment Parties”
พรรคการเมืองที่เติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วในโลกในปัจจุบัน เป็น “the Anti-Establishment Parties”
คำว่า “the Establishment” หมายถึง ชนชั้นที่มีอำนาจเดิมอยู่ในสังคม
วิธีการที่จะตั้งพรรคการเมืองให้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จึงได้แก่ การเป็นพรรคการเมืองที่ต่อต้านชนชั้นที่มีอำนาจเดิม (Anti-Establishment) บางทีก็เรียกว่า “Political Class”
พรรคที่ต่อต้านอำนาจชนชั้นเดิมสร้างตำแหน่งพรรค (positioning) 2 จุด ได้แก่ (1) พรรคเขาไม่ใช่คนพวกเดียวกันกับชนชั้นอำนาจเดิม (2) พรรคเขารณรงค์เรียกร้องให้ประชาชนต่อต้านชนชั้นอำนาจเดิม โดยอ้างเหตุว่าชนชั้นอำนาจเดิมล้มเหลว ด้วยสาเหตุ 2 ประการ ได้แก่ (1) คอร์รัปชัน และ (2) ขาดความสามารถ
เขาจะรณรงค์ว่า หากให้ชนชั้นอำนาจเดิมปกครองต่อไป จะทำให้ประเทศเสียเวลาและจมปลักอยู่กับความล้มเหลว
ภาพลักษณ์ที่เขาวาดให้กับชนชั้นอำนาจเดิม เรียกว่า “สามเหลี่ยมทางสัญลักษณ์” (symbolic triangle) ได้แก่ ด้านหนึ่ง ชนชั้นอำนาจคอร์รัปชั่นและเหินห่างประชาชน ด้านที่สอง ประชาชนเป็นผู้บริสุทธิ์และตกเป็นเหยื่อคนเหล่านี้ และด้านที่สาม พรรคที่ตั้งเขาขึ้นนั้นแหละ คือ “ฮีโร่” ที่จะมากอบกู้ชาติและช่วยเหลือประชาชน
ส่วนพรรคการเมืองเดิมทั้งหมด เป็นพรรคของชนชั้นอำนาจเดิม (the Establishment Parties) พรรคเหล่านี้ฮั้วกันหรือสมยอมกันเป็นกลุ่มผูกขาดทางการเมือง (a collusive political cartel)
ความแตกต่างระหว่างพรรคเขากับพรรคการเมืองชนชั้นอำนาจเดิมอยู่ที่ พรรคเขาเป็นพรรคที่ขาวสะอาด (clean) และเป็นตัวแทนที่แท้จริงของประชาชน (real representation)
พรรคเดิมที่มีอยู่ แม้อ้างว่ามาจากการเลือกตั้ง แต่ไม่บริสุทธิ์ ยุติธรรม เพราะมาจากการซื้อเสียง และได้ส.ส.ที่ไม่มีคุณภาพ ทั้งขาดคุณธรรมและจริยธรรม ที่จริงพรรคเดิมเหล่านั้นเป็นประชาธิปไตยภายใต้อำนาจนิยม และใช้อำนาจแสวงหาผลประโยชน์ กดขี่ และไม่ได้แก้ปัญหาให้ประชาชน
ด้านคุณสมบัติของคนในพรรค พรรควางตำแหน่งคนในพรรคว่าต้องเป็น “คนใหม่” และ “บริสุทธิ์” คือไม่ด่างพร้อย และนำสิ่งใหม่ ๆ มาสู่การเมือง ซึ่งเป็น “จุดขาย” ที่ทำให้พรรคได้คะแนนมาก
แท็กติกส์ที่สำคัญ ได้แก่ การโจมตีอย่างก้าวร้าว (aggressive attack politics) โดยการใช้วิธีเผชิญหน้าและแสดงท่าทีที่แข็งกร้าว
วาทกรรมของพรรค จึงได้แก่ คำพูดที่ว่า “การแข่งขันทางการเมือง เป็นสงครามและเป็นความขัดแย้งกับกลุ่มชนชั้นอำนาจเดิม”
พรรคแนวนี้ปฏิเสธการประนีประนอมและปฏิเสธการร่วมมือกับพรรคการเมืองแนวเดิม เพราะเหตุผลหลักมาจากจุดยืนทางอุดมการณ์และปรัชญาการเมืองที่แตกต่างกัน
ดังนั้น เมื่อใดพรรคการเมืองแนวต่อต้านชนชั้นอำนาจเดิม เกิดการประนีประนอมกับกลุ่มอำนาจเดิม จะถูกบรรดานักรบที่ยึดอุดมการณ์ของพรรค (militants) ต่อต้านอย่างรุนแรง และเป็นจุดเริ่มต้นของความแตกแยกในพรรค
ความที่พรรคแนวต่อต้านชนชั้นอำนาจเดิมไม่ประนีประนอม และถือว่าตนเป็น “คนอื่น” (the others) ที่ไม่ใช่พวกชนชั้นอำนาจเดิมซึ่งเต็มไปด้วยความ “ล้มเหลว” และ “สร้างปัญหา” ให้กับบ้านเมือง จึงทำให้พรรคขยายตัวได้ยาก เพราะพรรคเกิดขึ้นจากการแยกตัวเองให้แตกต่างออกจากคนอื่นประการหนึ่ง กับการแสวงหาความสนับสนุนทางการเมืองในวงกว้างกระทำได้ยาก เพราะจำเป็นต้องมีการประนีประนอมกัน อีกประการหนึ่ง
ปัญหาของพรรค Anti-Establishment มี 2 ประการ ได้แก่
ประการแรก คือ พรรคนี้เน้นที่การเป็นตัวแทนการเปลี่ยนแปลงและการปฏิรูปการเมืองใหม่ โดยเน้นปัญหาทางการเมือง จึงต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างขนานใหญ่ และต้องอาศัยบุคลิกของผู้นำพรรคที่มุ่งมั่นต่อการเปลี่ยนแปลงและเด็ดเดี่ยว จึงติดยึดอยู่กับตัวบุคคล เมื่อผู้นำพรรคเปลี่ยนแปลงไป พรรคแนวนี้จะเริ่มอ่อนแรง
ประการที่สอง ความเด็ดเดี่ยวของพรรคนี้ทำให้ทางเลือกของพรรคเป็นคำคู่ (binary terms) คือ เปลี่ยนแปลงหรือไม่เปลี่ยนแปลง หรือว่าแพ้ หรือไม่ก็ชนะ จะไม่มีคำที่เป็นกลาง ๆ เพราะจะกลายเป็นความโอนเอียงที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อความคิดและอุดมการณ์ของพรรค
ปัญหาที่ตามมาจึงได้แก่ เมื่อระยะเวลาผ่านไปนานเข้า การเปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดเดี่ยวกระทำไม่ได้ เพราะจะเกิดความรุนแรงและร้าวฉานในสังคม คนรุ่นใหม่ในพรรคต่อมา อาจอดทนรอคอยกับการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ และต้องการประนีประนอม ทำให้เกิด “พื้นที่สีเทา” (gray area) อันหมายถึง พื้นที่ของการประนีประนอมกับการเมืองแนวเดิม ความเด็ดเดี่ยวของพรรคนี้ก็จะเริ่มอ่อนแรงลงอีกเช่นกัน
ในทางปฏิบัติ ทิศทางของพรรคการเมืองแนว Anti-Establishment ในโลก จะค่อย ๆ ปรับตัวเข้ากับความเป็นจริง แบ่งได้เป็น 4 ขั้น ได้แก่
ขั้นแรก เริ่มเป็นพรรคการเมืองตามปกติ (normalization) หมายถึงการเปลี่ยนจากกลุ่มเคลื่อนไหวเป็นพรรคการเมืองและเริ่มขยายฐานการเมือง
ขั้นที่สอง เป็นพรรคการเมืองแนวการเคลื่อนไหวที่ต่อต้านระบบเดิมอย่างรุนแรง (radicalization) และได้รับความนิยมอย่างมาก จนกระทั่งเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
ขั้นที่สาม ต่อมา ด้วยความที่ไม่ประนีประนอม จะค่อย ๆ อ่อนกำลังลงและจะหายไป (disappearance) เพราะความเด็ดเดี่ยวทำลายตัวเอง เนื่องจากการเล่นการเมือง โดยการแบ่งออกเป็น “สีขาว” กับ “สีดำ” นั้น ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
ขั้นที่สี่ พรรคเริ่มยอมรับการประนีประนอม (compromise) จนในที่สุดพรรคก็กลายเป็นสถาบันทางการเมือง (institutionalization) หรือมีอำนาจเป็นรัฐบาล (gaining power)
4. การนำทฤษฎี The Anti-Establishment Party มาเทียบกับไทย
พรรคการเมืองไทยที่นับว่าเป็นพรรค the Anti-Establishment ที่ผ่านมา น่าจะได้แก่ (1) พรรคประชาชน และ (2) พรรคเพื่อไทย
ทั้งสองพรรคนี้อาศัยหลักการทางการเมืองตามทฤษฎี the Establishment Parties เหมือนกัน คือ การโจมตีระบบการเมืองดั้งเดิมและชนชั้นอำนาจดั้งเดิม และเสนอตนว่าเป็นผู้กอบกู้ โดยเน้นว่าคนของพรรคมีคุณสมบัติ คือ “ขาวสะอาด” และมีความรู้และมีคุณภาพดีกว่านักการเมืองโดยทั่วไป
4.1 พรรคประชาชน
พรรคประชาชนพัฒนามาไม่นานและเติบโตอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งปัจจุบันพรรคประชาชนยังสามารถรักษาภาพความ “ขาวสะอาด” เอาไว้ได้ และอาศัยการโจมตีระบบดั้งเดิม แต่ยังไม่ได้เป็นรัฐบาล
ฐานค้ำยันของพรรคประชาชนมี 2 ด้าน ได้แก่ (1) ระบบ mediatization และ (2) ระบบ militants
(1) ระบบ mediatization
ดังกล่าวแล้วว่าระบบ mediatization มีสองด้าน คือ ด้านสื่อ กับด้านพรรคการเมือง
ในปัจจุบัน สื่อไทยจำนวนมากยังนิยมพรรคประชาชน พิธีกรจำนวนมากยังชื่นชมยกย่องพรรคประชาชนและช่วยสร้างความนิยมให้พรรคประชาชน ส่วนด้านพรรคประชาชนเองก็เล่นการเมืองโดยอาศัยสื่อสมัยใหม่ และฉลาดพอที่จะทำการเมืองทุกกิจกรรมกลายเป็นการสื่อสารการเมือง
(2) ระบบ militants
ด้านระบบ militants หรือนักรบอุดมการณ์ของพรรค ในปัจจุบัน พรรคประชาชนยังน่าจะยังคงมีฐานอยู่ที่นิสิตนักศึกษาและอาจารย์มหาวิทยาลัย ฐานเสียงนี้นับเป็นฐานเสียงหลักของพรรคประชาชน ส่วนการขยายฐานเสียงนี้ออกไป ประสบความสำเร็จมากน้อยเท่าใด ยังไม่เป็นที่แน่ชัด เพราะยังขาดการศึกษาวิจัยอีกมาก
อย่างไรก็ตาม ภาพความเป็น “ฮีโร่” ของพรรคลดลง เนื่องจากกระแสการโจมตีระบบเก่าไม่เข้มข้นเหมือนยุคพลเอกประยุทธ์ เพราะไม่มีการเดินขบวนประท้วงและเรียกร้องให้มีการปฏิรูป จนเกิดการถูกจับกุมคุมขังและเกิดนักต่อสู้ทางการเมือง และไม่มีกระแสต้านรัฐประหารเหมือนยุคสาม ป.
นอกจากนั้นภาพความเด็ดเดี่ยวยึดอุดมการณ์ต่อต้านชนชั้นอำนาจดั้งเดิมของพรรคลดลง จากกรณีที่ผู้นำพรรคสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาล อันเป็นจุดที่พวกฮาร์ดคอร์ของพรรคไม่พอใจ ส่วนจะมีผลกระทบต่อจำนวน ส.ส. มากน้อยเท่าใดนั้น ก็ยังไม่ชัด เพราะขึ้นอยู่กับ “คู่แข่งขัน” ในเขตเมืองอีกเช่นกัน
จุดที่คลายตัวลงอีกอย่าง คือ ภาพความเป็นผู้นำพรรคอาจอ่อนลง ยุคคุณธนาธรเป็นมวยต่อยหนัก ชกสนุก เป็นขวัญใจนิสิตนักศึกษาที่ต้องถ่ายรูปคู่ ส่วนยุคคุณพิธาเป็นมวยครบเครื่อง และเป็นที่ยอมรับในวงกว้างมากกว่า ประกอบกับบุคลิกของพิธาดูนุ่มนวลกว่าคุณธนาธร และน่าจะเป็นยุคที่พรรคประชาชนก้าวขึ้นสู่ยุคสูงสุดแล้ว ส่วนยุคคุณเท้ง ถ้าให้ปัจจัยอื่นอยู่คงที่ วัดเฉพาะผู้นำ พรรคประชาชนน่าจะอ่อนกำลังลง เพราะคุณเท้งมีบุคลิกไม่ดึงดูดใจคน ถ้าเป็นมวยก็เต้นมากเกินไป ไม่ค่อยออกหมัดและต่อยไม่เร้าใจ เพียงแต่อาจมีนักมวยสังกัดค่ายเดียวกันพอชดเชยได้ว่าเป็นนักสู้ที่เข้มแข็ง เช่น คุณรังสิมันต์ โรม คุณวิโรจน์หรือคุณไหม
พรรคประชาชนน่าจะยังคงสามารถรักษาที่นั่ง ส.ส.ได้ใกล้เคียงกับเดิม บวกลบนิดหน่อย ขึ้นอยู่กับการทำงานของ Mediatization และ Political Spin พรรคประชาชนเป็นพรรคที่มี Spin Doctors ที่มีความรู้ความสามารถ เพียงแต่พรรคอื่นจะเข้าใจยุทธศาสตร์ดังกล่าวและพัฒนามาทันหรือไม่ในระยะเวลาสี่เดือน
2. พรรคเพื่อไทย
พรรคนี้เป็นพรรค Anti-Establishment แนวประชานิยม และเป็น “ฮีโร่” จากนโยบายประชานิยม แต่ภาพความเป็น “มิสเตอร์คลีน” ลดลงไปมาก เนื่องจากผ่านการเป็นรัฐบาลมาแล้วหลายชุด มีการทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมไม่น้อย ขณะเดียวกันก็มีผลประโยชน์ส่วนตัวอยู่ด้วย ดังคำพิพากษาศาลฎีกา 3 คดี ได้แก่ คดีรัฐบาลไทยให้เมียนม่ากู้เงิน คดีหวยบนดิน และคดีเปลี่ยนสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต
ปัญหาการเป็น “บุฟเฟ่คาร์บิเน็ต” ของพรรคเพื่อไทยยุคหลังกลายเป็นจุดอ่อนไม่แพ้พรรคการเมืองอื่นที่ผ่านมา พรรคยังบริหารผิดพลาด จากการที่ทักษิณรวบอำนาจ จึงไม่สามารถสร้างความเด่นให้กับคนอื่นในพรรค และไม่กระจายความสามารถไปสู่ “คนรุ่นใหม่” ในพรรคเพื่อรองรับกับอนาคต
ด้วยเหตุนี้ พรรคเพื่อไทยขึ้นชื่อว่าเป็นพรรคต่อต้านระบบที่ใหม่มากในยุค พ.ศ. 2544 จึงกลายเป็นพรรคที่ล้าหลังเร็วมาก เมื่อเทียบกับพรรคประชาชนในพ.ศ. 2568
ยิ่งการตั้งหัวพรรคโดยอาศัยระบบครอบครัว ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงระบบเงินทุนสนับสนุนพรรคว่ามาจากระบบครอบครัว ความจำเป็นที่ต้องนำคนของครอบครัวมาบริหารพรรคและบริหารประเทศ ก็เนื่องมาจากมีเพียงเหตุผลเดียวว่าไม่สามารถไว้วางใจคนอื่นได้ ยิ่งซ้ำเติมกับปัญหาที่หนักขึ้นจากการที่ผู้นำพรรคการเมืองมาจากครอบครัวที่ไม่ได้มาตรฐานคุณภาพ ดังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
ตามตำราพรรคการเมือง พรรคทุกพรรคย่อมมีคนสองอยู่ประเภท คือ (1) militant politicians หมายถึงนักรบที่ยึดอุดมการณ์พรรค กับ (2) opportunist politicians นักการเมืองที่ฉวยโอกาส
พรรคใดมีนักรบที่ยึดอุดมการณ์มาก พรรคจะเข้มแข็งมาก แต่จะตึงเกินไป เพราะนักรบปรับตัวยาก ตรงกันข้าม ถ้ามีนักการเมืองที่ฉวยโอกาสมาก พรรคจะปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย แต่จะกลายเป็นพรรคที่ขาดอุดมการณ์
เมื่อพรรคใดมีนักรบทางอุดมการณ์มาก จะเป็นพรรคอุดมการณ์ และมุ่งนโยบาย (policy seeking) ในทางกลับกัน ถ้าพรรคใดมีนักฉวยโอกาสทางการเมืองมาก พรรคจะขาดอุดมการณ์ และมุ่งเก้าอี้ (office seeking) พรรคจะเกิดกลุ่มย่อยมาก และแตกกันได้ง่าย เพราะไม่มีอุดมการณ์ยึดเหนี่ยว
กรณีที่น่าสนใจ คือ พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่มีอุดมการณ์ต่อต้านระบบเดิม โดยเริ่มต้นจากการเป็น the Anti-Establishment แต่ค่อย ๆ ลดอุดมการณ์ลง สมาชิกพรรคเต็มไปด้วยนักฉวยโอกาส จึงหันมามุ่งเข้ามาเล่นการเมืองเพื่อตำแหน่ง ขณะที่ระบบผู้นำและระบบการจัดการพรรคอ่อนแอ ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับระบบพรรคการเมืองสมัยใหม่ที่อาศัยเทคนิคและมืออาชีพ (technical-professional party)
ส่วนทักษิณก็เผยตัวเองให้เห็นจากผู้นำอุดมการณ์ กลายเป็นผู้แสวงหาโอกาสทางการเมือง ที่มีแรงดึงดูดน้อยลงเรื่อย ๆ
นอกจากนั้นระบบเทคนิคและมืออาชีพของพรรคยังล้าหลัง เช่น นักกฎหมายที่ใช้ต่อสู้คดี ไม่เคยมีวิธีคิดอย่างเดียวกันกับศาล หรือบรรดา Think Tank เป็นคนของอดีตที่ขาดคุณภาพ หรือไม่มี Spin Doctors เป็นตัวเป็นตน ทุกอย่างอาศัยทักษิณคิดคนเดียว
พรรคทุกพรรคย่อมปรับตัวได้เมื่อผ่านระยะเวลาที่เหมาะสม กรณีของพรรคเพื่อไทย การปรับตัวย่อมเกิดขึ้น เมื่อทักษิณถอยหรือลดบทบาท เปลี่ยนระบบเงินทุนสนับสนุนให้เป็นสากล เปลี่ยนมืออาชีพมาเป็นนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี และเล่นการเมืองเพื่อมุ่งนโยบายมากกว่าเก้าอี้
กระนั้นก็คงต้องใช้เวลา เหมือนทีมแมนยู อย่างน้อยที่สุดก็อีก 2-3 ปี กระมัง
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก thaifly.com

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา