
"...ผลกระทบชัดเจนจาก Government Shutdown คือ หน่วยงานที่ไม่จำเป็นต่อความเป็นอยู่ของประชาชนโดยตรง (non-essential) อาทิ อุทยานแห่งชาติ พิพิธภัณฑ์สมิทโซเนียน จำเป็นต้องปิดบริการชั่วคราว ส่วนหน่วยงานที่จำเป็นต่อความเป็นอยู่ประชาชาชน (essential) อาทิ กองทัพ หน่วยงานด้านการบังคับใช้กฏหมาย หน่วยงานจัดเก็บภาษีและการเงิน เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรอากาศ ฯลฯ หน่วยงานเหล่านี้ยังต้องให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ไปโดยไม่ได้รับเงินเดือน (และจะจ่ายย้อนหลังให้เมื่อกฏหมายงบประมาณผ่านสภาแล้ว)..."
เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2568 รัฐบาลสหรัฐฯ ปิดการให้บริการชั่วคราว (Government Shutdown) จนกว่ารัฐสภาจะสามารถให้ความเห็นชอบร่าง กฏหมายงบประมาณประจำปี 2569 เป็นที่เรียบร้อย ขั้นตอนดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากความพยายามในนาทีสุดท้ายเพื่อจัดให้มีการเจรจาประนีประนอมระหว่างพรรคเดโมแครต(ฝ่ายค้าน)และพรรคริพับลิกัน(ฝ่ายรัฐบาล) ที่ทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2568 และการเสนอร่าง กฏหมายเพื่อขยายเวลาเส้นตายการพิจารณางบประมาณออกไปจากสิ้นเดือนก.ย.ไปจนถึงวันที่ 21 พ.ย.2568 สู่การพิจารณาของวุฒิสภาโดยพรรครัฐบาล ซึ่งก็ไม่ผ่านการอนุมัติของวุฒิสภาตามคาดหมาย (ได้แค่ 55 เสียง แต่ต้องการ 60 เสียง)
ก่อนอื่นเราควรทำความเข้าใจของความหมายของการระงับการให้บริการของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ หรือ Government Shutdown นั้นคืออะไร ซึ่งผมพยายามแปลเป็นภาษาอย่างไม่เป็นทางการเพื่อให้พอมองเห็นภาพตรงกันว่า มันเกี่ยวข้องกับการให้บริการของหน่วยงานรัฐเป็นหลัก มิใช่การ “ปิดฉากรัฐบาล”หรือ “ล้มรัฐบาล” และขั้นตอนนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบการเมืองสหรัฐฯ ที่รัฐสภาไม่มีอำนาจ”ล้ม”รัฐบาลเหมือนระบบรัฐสภาของไทย เนื่องจากประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีก็มาจากการเลือกตั้งเช่นเดียวกับสมาชิกสภา
และไม่ว่า ”ฝ่ายบริหาร”และ”ฝ่ายนิติบัญญัติ”เป็นคนละพรรคหรือพรรคเดียวกัน (สหรัฐฯ มีระบบ 2 พรรค การเมือง) เพื่อให้การบริหารประเทศเป็นไปอย่างไม่ติดขัด จึงกำหนดแนวทางปฏิบัติให้ 2 พรรคหลักต้องพูดคุยและหาทางประนีประนอม เพื่อให้ได้แนวทางร่วมกันในการเสนอร่างกฎหมายที่สำคัญหรือเรียกกันว่า ร่างกฏหมายร่วม (bipartisan) เป้าหมายก็เพื่อไม่ให้พรรคใดพรรคหนึ่งมีอำนาจเด็ดขาดในการบริหารประเทศ
กรณีตกลงประนีประนอมไม่ได้ในเรื่องกฎหมายงบประมาณประจำปีก็จะนำไปสู่สภาวะที่เป็น Government Shutdown อย่างที่เห็น ซึ่งทางออกมีทางเดียวคือต้องพยายามลดความแตกต่างแต่ละฝ่ายเพื่อให้ได้ร่างกฏหมายร่วมเสนอสู่สภาให้ได้โดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ ตั้งแต่ค.ศ.1980-ปัจจุบัน มีเหตุการณ์ลักษณะนี้มาแล้ว 14 ครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลาตั้งแต่ 1-34 วันในการเจรจาจัดทำร่างกฏหมายร่วมใหม่ ในส่วนของประธานาธิบดีทรัมป์ สมัยแรกก็เจอ Government Shutdown มาแล้วถึง 3 ครั้ง
ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อปลาย ธ.ค. 2018 ถึง ม.ค.2019 ยาวนานถึง 34 วัน ซึ่งเป็นสถิติ Shutdown นานที่สุด จึงนับว่าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้พอสมควร
ผลกระทบชัดเจนจาก Government Shutdown คือ หน่วยงานที่ไม่จำเป็นต่อความเป็นอยู่ของประชาชนโดยตรง (non-essential) อาทิ อุทยานแห่งชาติ พิพิธภัณฑ์สมิทโซเนียน จำเป็นต้องปิดบริการชั่วคราว ส่วนหน่วยงานที่จำเป็นต่อความเป็นอยู่ประชาชาชน (essential) อาทิ กองทัพ หน่วยงานด้านการบังคับใช้กฏหมาย หน่วยงานจัดเก็บภาษีและการเงิน เจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรอากาศ ฯลฯ หน่วยงานเหล่านี้ยังต้องให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ไปโดยไม่ได้รับเงินเดือน (และจะจ่ายย้อนหลังให้เมื่อกฏหมายงบประมาณผ่านสภาแล้ว)
ส่วนเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่ไม่จำเป็นต่อความเป็นอยู่ของประชาชนโดยตรงส่วนใหญ่จะถูกพักงานไว้ชั่วคราว (ไม่มีเงินเดือน แต่ยังเก็บตำแหน่งไว้) ประเมินว่าคนเหล่านี้มีจำนวนหลายแสนคน และถือเป็นกลุ่มคนที่รับผลรุนแรงที่สุด
เหตุผลทางการที่ทั้งสองพรรคอ้างเพื่อยืนยันความถูกต้องของฝ่ายตนคือ ฝ่ายเดโมแครต ต้องการให้บรรจุมาตรการช่วยเหลือด้านสวัสดิการสุขภาพ ทั้งในโครงการ Medicare (สำหรับผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป) และโครงการ Medicaid (โครงการร่วมมือระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาลมลรัฐ ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในสังคม) เนื่องจากตามนโยบายใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์ ค่าใช้จ่ายในเรื่องประกันสุขภาพของประชาชนทั่วไปจะขยับขึ้นสูง 2-3 เท่าตัวถ้าไม่มีมาตรการช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรมโดยรัฐ ซึ่งผู้มีรายได้น้อยจะเดือดร้อนทั่วหน้า
ส่วนฝ่ายรีพับลิกันก็อ้างความจำเป็นของการอนุมัติงบประมาณตามที่เห็นชอบกันไว้ เพื่อให้รัฐบาลดำเนินการได้ตามปรกติ ส่วนมาตรการช่วยเหลือประชาชนในเรื่องสวัสดิการสุขภาพจะยังไม่หมดอายุจนสิ้นปี จึงยังมีเวลาพอเพียงที่จะการรือรายละเอียดกันต่อไป และไม่ควรเอางบประมาณประจำปีมาเป็นตัวประกันในการต่อรองเรื่องนี้
แต่ในลึกๆแล้วเป็นที่รับทราบกันว่าทั้งสองพรรคต่างมีผลประโยชน์ทางการเมืองซ่อนอยู่ กล่าวคือ เดโมแครตคาดหมายว่า มาตรการ Shutdown จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่กำลังอ่อนไหวจากมาตรการภาษีนำเข้าและทำลายภาพลักษณ์ของรัฐบาลริพับลิกันที่เป็นรัฐบาล เพื่อผลในการเลือกตั้งกลางเทอม(mid-term election)ในปลายปี 2569
ส่วนพรรคริพับลิกันก็มีแผนการที่ชัดเจนในการลดจำนวนพนักงานของรัฐบาลกลางลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและปรับปรุงรัฐบาลให้มีขนาดเล็กลงแต่ประสิทธิภาพสูงขึ้น ตามแนวทางที่นาย อีลอน มัสก์ และกระทรวงประสิทธิภาพการทำงานรัฐบาลหรือ DOGE (Department of Government Efficiency)ได้ปูทางเอาไว้ (นาย มัสก์นำคนออกจากระบบราชการได้ 300,000 คน) ซึ่งคาดว่า พนักงานในกลุ่มไม่จำเป็นต่อความเป็นอยู่ของประชาชน(non-essential) ที่ถูกพักงานเอาไว้จำนวนกว่าครึ่งน่าจะถูกปลดออกจากงานไปเลย ด้วยเหตุผลคนล้นงาน ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า Government Shutdown ครั้งนี้ช่วยตอบโจทย์ให้ทั้งสองฝ่ายอย่างแนบเนียน
เนื่องจากการตอบประโยชน์ทางการเมืองของทั้งสองฝ่าย ดังนั้น จึงเป็นที่คาดหมายได้ว่าระยะเวลาของ Government Shutdown ครั้งนี้ไม่น่าจบลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเร่งให้มาตรการนี้ยุติภายในกรอบเวลา 2-4 สัปดาห์ คือ กระแสคัดค้านจากพนักงานในกลุ่มที่จำเป็นฯ (essential group) ที่ต้องทำงานโดยไม่มีเงินเดือนไปก่อน โดยงวดจ่ายเงินรอบต่อไปของเจ้าหน้าที่ทหารจะอยู่วันที่ 15 ต.ค.2568 และกลุ่มพลเรือนวันที่ 24 ต.ค. 2568
ดังนั้น ถ้าเลยวันกำหนดทั้งสองช่วงนี้และยังไม่ชัดเจนว่าจะจบเมื่อไหร่ คนเหล่านี้ย่อมจะมีปฏิกริยาต่อต้านทางใดทางหนึ่งซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลและแม้แต่ฝ่ายค้านเอง และที่ผ่านมาสถิติ shutdown นานที่สุดคือ 34 วัน (ช่วงประธานาธิบดีทรัมป์ สมัยแรก)ส่วนที่เหลือจากนั้นส่วนใหญ่ไม่เกิน 7 วันและไม่มีครั้งไหนใกล้เคียง 30 วัน
ดังที่กล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าผลกระทบจาก Government Shutdown เป็นเรื่องการเมืองภายในของสหรัฐฯเป็นส่วนใหญ่ ผลกระทบต่อไทยที่พอจะเห็นได้จากที่เคยเกิดครั้งก่อนๆคือ การปิดบริการของส่วนทำวีซ่าสถานทูตสหรัฐฯ กล่าวคือจะไม่มีการรับใบคำร้องทำวีซ่าใหม่ ส่วนที่ทำไว้ค้างในระบบก็ไม่มีความแน่นอนว่าต้องรอจนสถานะการณ์เรียบร้อยหรือไม่ แต่ที่แน่ๆคือ รัฐบาลต้องมีการติดตามสถานะการณ์และผลกระทบต่างๆ ที่อาจจะมีต่อมาตรการภาษีนำเข้าและการค้าสองฝ่ายในภาพรวมอย่างใกล้ชิด เพื่อเตรียมท่าทีรองรับอย่างทันการณ์
บทความ โดย
เจษฎา กตเวทิน
1 ต.ค. 2568

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา