
"...อย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันกับศาลรัฐธรรมนูญไทยมีความแตกต่างกันตรงความเชื่อมโยงทางการเมือง สาระสำคัญ คือ ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันมีความเชื่อมโยงกับรัฐสภาโดยตรง เพราะมาจากการเลือกตั้งของรัฐสภา ส่วนของไทยมาจากการสรรหาและให้วุฒิสภารับรอง บทความชิ้นนี้ขอเสนอความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญเยอรมัน เพื่อโอกาสต่อไปจะได้นำเสนอประเด็นความสัมพันธ์ทางการเมืองกับการกันไม่ให้ความเป็นพรรคพวกทางการเมืองเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญเยอรมัน..."
1. ความนำ
ศาลรัฐธรรมนูญไทยลอกโมเดลมาจากศาลรัฐธรรมนูญเยอรมัน โดยมีหลักการมองนักการเมืองในแง่ร้ายเหมือนกัน
โมเดลของศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันแตกต่างจากอังกฤษและสหรัฐอเมริกาที่มองนักการเมืองในแง่ดี สำหรับอังกฤษถือว่าสภาซึ่งเป็นตัวแทนประชาชนนั้นมีอำนาจสูงสุดหรืออำนาจอธิปไตยอยู่ที่ฝ่ายนิติบัญญัติ ส่วนสหรัฐอเมริกาถือว่ารัฐธรรมนูญกับประชาธิปไตยเป็นสิ่งเดียวกัน เพราะเกิดมาพร้อมกัน ทั้งอังกฤษและสหรัฐอเมริกามีประชาธิปไตยแบบวิวัฒนาการมาอย่างยาวนานหรือเรียกว่า “คลื่นลูกที่หนึ่ง” ของการเป็นประชาธิปไตย
ประชาธิปไตยของอังกฤษและสหรัฐอเมริกาเติบโตมาท่ามกลางประวัติศาสตร์การแสดง “สปิริต” ของนักการเมือง ดังเห็นได้จากการแสดงสปิริตต่าง ๆ เช่น ยอร์ช วอชิงตัน (George Washington) หรือแฟรงกลิน ดี รูสเวลท์ (Franklin D. Roosevelt) แสดงสปิริตไม่รับตำแหน่งประธานาธิบดีต่อ หรือคนเห็นบทบาทของเอเลเนอร์ รูสเวลท์ (Eleanor Roosevelt) ลากเก้าอี้มานั่งตรงกลางในห้องประชุมระหว่าง “คนขาว” กับ “คนดำ” เพื่อแสดงว่าเธอไม่เห็นด้วยกับการแบ่งแยกสีผิว และผลักดันให้สหประชาชาติประกาศปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights) ใน ค.ศ. 1948
จุดที่นักการเมืองมี “สปิริต” นี้เองที่แตกต่างไปจากประเทศที่เพิ่งสร้างประชาธิปไตย เพราะประเทศประชาธิปไตยเกิดใหม่ “ไม่ได้มีสปิริต” ของการเป็นนักการเมืองที่ดีมาก่อน มิหนำซ้ำยังนำพาประเทศไปสู่ความเลวร้าย เช่น กรณีของฮิตเลอร์ที่นำประเทศเยอรมันเข้าสู่สงครามโลก หรือนักการเมืองไทยที่เต็มไปด้วยการทุจริตคดโกง จนต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
การมีรัฐธรรมนูญของประเทศประชาธิปไตยเกิดใหม่ จึงไม่ได้หมายความว่าประเทศจะสามารถสร้างประชาธิปไตยขึ้นมาได้ทันที มิหนำซ้ำ กฎหมายรัฐธรรมนูญและศาลรัฐธรรมนูญอาจเป็นเครื่องมือของการเปลี่ยนผ่านประเทศจากระบอบเผด็จการไปสู่การเป็นประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันกับศาลรัฐธรรมนูญไทยมีความแตกต่างกันตรงความเชื่อมโยงทางการเมือง สาระสำคัญ คือ ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันมีความเชื่อมโยงกับรัฐสภาโดยตรง เพราะมาจากการเลือกตั้งของรัฐสภา ส่วนของไทยมาจากการสรรหาและให้วุฒิสภารับรอง บทความชิ้นนี้ขอเสนอความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญเยอรมัน เพื่อโอกาสต่อไปจะได้นำเสนอประเด็นความสัมพันธ์ทางการเมืองกับการกันไม่ให้ความเป็นพรรคพวกทางการเมืองเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญเยอรมัน
2. ที่มาของศาลรัฐธรรมนูญเยอรมัน
ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมัน (the Federal Constitution Court) หรือ FCC เป็นศาลรัฐธรรมนูญเฉพาะ ที่ตั้งขึ้นตามมาตรา 93 แห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญเยอรมัน (the Basic Law) ฉบับ ค.ศ. 1949 โดยกฎหมายศาลรัฐธรรมนูญ (the Act on the Federal Constitution) ฉบับลงวันที่ 12 มีนาคม 1951
ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันลอกโมเดลการเป็นศาลรัฐธรรมนูญเฉพาะมาจากประเทศออสเตรีย ซึ่งเป็นประเทศให้กำเนิดระบบศาลรัฐธรรมนูญเฉพาะเมื่อ ค.ศ. 1920 สำหรับศาลรัฐธรรมนูญเฉพาะมีที่มาจากความคิดของฮันส์ เคลเซ่น (Hans Kelsen) ปรมาจารย์ทางกฎหมายชาวออสเตรีย เนื่องจากเคลเซ่นต้องการให้มีตุลาการผู้เชี่ยวชาญทางรัฐธรรมนูญมาทำหน้าที่วินิจฉัยคดีรัฐธรรมนูญโดยตรง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่เกิดกับระบบศาลสูง (the Supreme Court) ของสหรัฐอเมริกาที่ตุลาการศาลสูงต้องพิจารณาคดีทุกประเภทและรับภาระทางคดีหนักเกินไป
ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันมีตุลาการ 16 คน ทุกคนต้องได้ปริญญากฎหมายสองปริญญา ปริญญาแรก เป็นปริญญากฎหมายจากมหาวิทยาลัย ส่วนปริญญาที่สองเป็นการฝึกปฏิบัติงานทางกฎหมายตามหลักเกณฑ์ของสมาคมวิชาชีพทางกฎหมายของประเทศเยอรมัน
จำนวน 6 คนจากจำนวน 16 คนนั้นมาจากศาลฎีกาแผนกคดีต่าง ๆ ของศาลธรรมดา (Ordinary Court) ซึ่งระบบศาลธรรมดาของเยอรมันแบ่งออกเป็น 5 ระบบศาล ได้แก่ ศาลแพ่งและศาลอาญา ศาลปกครอง ศาลแรงงาน ศาลความมั่นคงทางสังคม และศาลภาษีอากร
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันมีวาระดำรงตำแหน่ง 12 ปี แต่อายุต้องไม่เกิน 68 ปีและต่ออายุใหม่ไม่ได้
นอกจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 6 คนที่มาจากศาลฎีกาแล้ว ตุลาการอื่นอีก 10 คน อาจมาจากศาสตราจารย์ทางกฎหมาย ข้าราชการระดับสูง บางครั้งอาจเป็นทนายความ และบางคนมีประสบการณ์ทางการเมืองเคยเป็นสมาชิกรัฐสภาหรือหัวหน้างานในกระทรวง
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดต้องมาจากการเลือกตั้ง ครึ่งหนึ่งเลือกโดยสภาล่าง (the Bundestag) ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเลือกโดยสภาสูง (the Bundesrat) ซึ่งเป็นสภาที่เป็นตัวแทนมลรัฐ (Lander) เหมือนสหรัฐอเมริกา การเลือกตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของเยอรมันต้องได้คะแนนเสียงสองในสามของแต่ละสภา
การเลือกตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของเยอรมันเป็นการเมือง พรรคใหญ่สองพรรค คือ พรรค CDU (the Christian Democrats) กับพรรค SPD (the Social Democrats) นิยมใช้วิธีตกลงกันเสนอชื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกันคนละครึ่ง
แต่เนื่องจากเยอรมันเป็นรัฐบาลผสม บางครั้งพรรคใหญ่ต้องยอมตามพรรคเสียงข้างน้อย พรรคเสียงข้างน้อยบางพรรคจึงมีสิทธิเสนอตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วย เช่น ในปัจจุบันพรรค Bundnis 90/Die Grunen หรือพรรค Greens และพรรค FDP (the Free Democratic Party) เสนอชื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพรรคละคน แต่ว่าการเลือกตุลาการจริงก็ขึ้นอยู่กับการเจรจาตกลงกันระหว่างพรรคการเมือง ซึ่งมักกระทำกันนอกรอบ
ระบบการเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของเยอรมันจึงถูกวิพากษ์ว่าไม่โปร่งใส ประเด็นที่น่าสนใจมาก คือ แม้ว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมาจากการเลือกตั้งของรัฐสภาและเป็นการเมือง แต่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันสามารถดำรงความยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญไว้ได้อย่างมั่นคง โดยเฉพาะการป้องกันไม่ให้ความเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเข้ามาเกี่ยวพันกับการทำหน้าที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จนเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันวินิจฉัยคดีได้อย่างมีคุณภาพตามมาตรฐานวิชาชีพทางกฎหมายในระดับสูง (ดู Dieter Grimm, 2024, Constitutional Courts and Judicial Review, Between Law and Politics, Oxford, pp.1-10)

3. กระบวนพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญเยอรมัน
ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันเป็นระบบศาลแฝด (a twin court) ประกอบด้วยศาลรัฐธรรมนูญสองคณะ (two panels) คณะละ 8 คน คณะที่หนึ่ง มีเขตอำนาจเกี่ยวกับสิทธิพื้นฐาน (basic rights) และคำร้องเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ (constitutional complaints) ส่วนคณะที่สอง มีเขตอำนาจเกี่ยวกับกฎหมายของมลรัฐ (state law) และเรื่องที่เกี่ยวกับสหภาพยุโรป (EU-related matters) ทั้งสองคณะเป็นอิสระจากกัน ศาลรัฐธรรมนูญทั้งสองคณะสามารถตั้งองค์คณะสามคนเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากบุคคลภายนอกได้ ในกรณีคดีรัฐธรรมนูญที่ไม่ซับซ้อนและไม่มีประเด็นใหม่ ยังสามารถใช้องค์คณะสามคนวินิจฉัยคดีได้ แต่คำวินิจฉัยขององค์คณะสามคนต้องเป็นเอกฉันท์ ถ้าไม่เป็นเอกฉันท์ ต้องส่งย้อนกลับไปให้คณะศาลรัฐธรรมนูญทั้งคณะพิจารณาคดีใหม่ นอกจากนั้นยังมีการใช้ระบบตุลาการรายงานคดี (a system of judge rapporteurs) โดยตั้งตุลาการคนหนึ่งทำหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานและจัดทำรายงานคดี เพื่อให้การวินิจฉัยคดีเป็นไปด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น
อำนาจหน้าที่หลักของศาลรัฐธรรมนูญเยอรมัน ได้แก่ การเป็นผู้พิทักษ์รัฐธรรมนูญ (the guardian of the Basic Law) ควบคุมดูแลข้อโต้แย้งทางรัฐธรรมนูญ (overseeing constitutional disputes) และคุ้มครองสิทธิพื้นฐานของประชาชน (protecting fundamental rights) นอกจากนั้นยังทำหน้าที่ควบคุมให้กฎหมายของมลรัฐสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญและสร้างความสมดุลระหว่างกฎหมายกับการเมือง
คดีที่อยู่ใต้เขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันเป็นข้อโต้แย้งเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญซึ่งกำหนดไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญเยอรมัน (the Basic Law) มีทั้งหมด 14 ประเภท แต่สามารถจัดกลุ่มได้ 4 กลุ่ม ดังนี้ (Wolfgang Zeidler, 1987, Federal Constitutional Court of the Federal Republic of Germany: Decisions on the Constitutionality of Legal Norms)
(1) Abstract Judicial Review
เป็นกระบวนการพิจารณาคดีที่องค์กรของรัฐขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากฎหมายใดสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยไม่จำเป็นต้องมีการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญเกิดขึ้น ผู้ยื่นคำร้อง ได้แก่ รัฐบาลกลาง รัฐบาลมลรัฐ หรือสมาชิกสภาล่าง (the Bundestag) จำนวนหนึ่งในสาม และศาลรัฐธรรมนูญสามารถวินิจฉัยกฎหมายได้ทุกประเภท ตั้งแต่กฎหมายรัฐบาลกลางไปจนถึงกฎหมายของท้องถิ่น
(2) Concreate Judicial Review
เป็นกระบวนการพิจารณาคดีที่ศาลล่าง (lower court) เห็นว่ามีปัญหากฎหมายที่อาจไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ศาลล่างต้องหยุดการพิจารณาคดีไว้ก่อน และเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากฎหมายดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
(3) Constitutional Complaints
เป็นกระบวนการพิจารณาคดีที่กฎหมายรัฐธรรมนูญเยอรมันให้อำนาจปัจเจกบุคคลใด ๆ สามารถยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาการกระทำของหน่วยงานของรัฐว่าละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญของตน หากปัจเจกบุคคลนั้นได้ยื่นคำร้องขอให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องทำการแก้ไขแล้ว แต่ไม่เป็นผล คำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญต้องระบุผลจากการกระทำหรือกฎหมายดังกล่าวด้วยว่ามีผลกระทบต่อตนอย่างไร ซึ่งต้องเป็นผลโดยตรงและเป็นปัจจุบัน ศาลรัฐธรรมนูญจะตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญตามบรรทัดฐานทางกฎหมายโดยพิจารณาตามคำร้องนั้น
(4) Other Judicial Review
เป็นกระบวนการพิจารณาคดีตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (incidental reviews) และการละเว้นการปฏิบัติทางด้านนิติบัญญัติ (legislative omission) สำหรับกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกัน ส่วนกรณีการละเว้นการปฏิบัติทางด้านนิติบัญญัติเป็นกรณีที่ฝ่ายนิติบัญญัติไม่ทำตามเงื่อนไขของกฎระเบียบที่กำหนดให้ต้องปฏิบัติ ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจบังคับให้ฝ่ายนิติบัญญัติกระทำการแก้ไขเพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ
4. มาตรฐานการตรวจสอบของศาลรัฐธรรมนูญเยอรมัน
ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญ (the Basic Law) เป็นมาตรฐานการตรวจสอบ เนื่องจากกฎหมายรัฐธรรมนูญได้วางบรรทัดฐานทางกฎหมาย (legal norms) เอาไว้แล้ว กฎหมายรัฐธรรมนูญของเยอรมันเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษร (Written Law) จึงต้องตีความอย่างเคร่งครัด (Rigid Constitution) หลักการตีความกฎหมายรัฐธรรมนูญมี 3 ข้อ (Dieter Grimm, op.cit., pp.9-10)
ข้อหนึ่ง ไม่ตีความบทบัญญัติรัฐธรรมนูญโดยวิธีการแยกประโยคแต่ละประโยคออกจากกัน แต่ต้องพิจารณาเนื้อความในบทบัญญัติรวมกันเป็นระบบเดียวกัน
ข้อสอง ใช้แนวทางยึดคุณค่า (value-oriented) และยึดหน้าที่ (function-oriented) ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ การยึดคุณค่า หมายความว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญแสดงถึงคุณค่าของสิทธิพื้นฐาน ส่วนการยึดหน้าที่ หมายความว่าการตีความเป็นการเติมเต็มบทบาทหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญให้สมบูรณ์ หลักการตีความจึงเป็นการทำให้บรรทัดฐานทางรัฐธรรมนูญมีคุณค่าและมีการปฏิบัติหน้าที่ได้จริงในสถานการณ์หนึ่ง ๆ ให้มากที่สุด
ข้อสาม เป้าหมายของรัฐธรรมนูญจะบรรลุได้เมื่อมีการพิจารณาบรรทัดฐานทางรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับความเป็นจริง จึงหนีไม่พ้นที่ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้มาให้ปากคำ เพื่อให้รัฐธรรมนูญปรับตัวเข้ากับความเป็นจริงทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันมองว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นระบบคุณค่าที่เป็นหนึ่งเดียว (the Basic Law as a unified system of values) เน้นที่สิทธิมนุษยชนและหลักประชาธิปไตย คำวินิจฉัยของศาลมีผลต่อกระบวนการทางการเมืองและการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาล
ศาลสามารถวินิจฉัยว่ากฎหมายใดขัดรัฐธรรมนูญ หรือเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ศาลอาจเห็นว่าขัดรัฐธรรมนูญบางมาตรา หรือเป็นโมฆะบางส่วน แต่ยังใช้บังคับต่อไปได้
ปัจจุบันศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันได้วางหลักการใหม่ (new approach) ว่า ศาลสามารถวินิจฉัยได้ว่า กฎหมายอาจขัดกับรัฐธรรมนูญได้ในอนาคต เพื่อเว้นช่องว่างให้ฝ่ายนิติบัญญัติมีเวลาหาทางแก้ไขก่อน (the court may declare a law “not yet” unconstitutional, allowing time for legislative correction) หลักการใหม่นี้ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาความโกลาหลในการใช้กฎหมายในอนาคตและเป็นการกระตุ้นเตือนให้ฝ่ายนิติบัญญัติสนใจปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญตั้งแต่เนิ่น ๆ (Wolfgang Zeidler, op.cit.)

5. ผลงานศาลรัฐธรรมนูญเยอรมัน
ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันเป็นศาลที่นับว่ามีผลงานมาก ผู้ยื่นคำร้องต่อศาลมาจากทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐ ศาลอื่นและปัจเจกบุคคล จากข้อมูลปี ค.ศ. 1994 ปรากฏว่าช่วง ค.ศ. 1951 ถึง ค.ศ. 1992 ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันรับคดีมาพิจารณาทั้งหมด 90,496 คดี วินิจฉัยไปแล้ว 72,744 คดี ในจำนวนนี้เป็นคดีที่ปัจเจกบุคคลยื่นคำร้องเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญรวมกันถึง 86,567 คดี ส่วนพรรคการเมืองและองค์กรของรัฐก็ใช้วิธีให้ศาลวินิจฉัยปัญหาทางการเมืองอยู่เสมอ
คดีเด่น ๆ ได้แก่ การยุบพรรคการเมืองเพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยเอาไว้ ได้แก่ การยุบพรรคนาซีใหม่ (the Neo-Nazi Socialist Reich Party) หรือ SRP ค.ศ. 1952 และยุบพรรคคอมมิวนิสต์ (the Communist Party) หรือ KPD ค.ศ. 1956
นอกจากนั้นยังวินิจฉัยว่ากฎหมายขัดรัฐธรรมนูญ เช่น กฎหมายการทำแท้ง (the Abortion Case) ค.ศ. 1975 การเสนอขอให้วินิจฉัยกฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญมักมาจากความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมืองใหญ่สองพรรคของเยอรมัน คือ พรรค CDU และพรรค SPD ซึ่งผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ
ส่วนคำร้องเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญและคำร้องของศาลล่างนั้น ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่าการกระทำของหน่วยงานของรัฐขัดต่อรัฐธรรมนูญและมีคำวินิจฉัยให้เป็นโมฆะ เช่น นโยบายทางสังคมและการเก็บภาษีอากร
นอกจากนั้นยังวินิจฉัยความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกลางกับรัฐบาลมลรัฐตามหลักการแบ่งแยกอำนาจและหลักการเป็นสหพันธรัฐ โดยเฉพาะการกระทำของรัฐบาลกลางที่ไม่ปรึกษารัฐบาลมลรัฐ ทั้ง ๆ ที่มีนโยบายที่มีผลกระทบต่อมลรัฐ จึงเกิดหลักความเป็นมิตร (the principle of comity) ในเวลาต่อมาว่ารัฐบาลกลางจะต้องปฏิบัติต่อรัฐบาลมลรัฐอย่างมืออาชีพ และไม่เลือกปฏิบัติตามฐานความนิยมของพรรคการเมือง รัฐธรรมนูญเยอรมันยังคุ้มครองอำนาจทางการเงินของมลรัฐ ศาลรัฐธรรมนูญจะเข้าแทรกแซงการกระทำของรัฐบาลกลาง เมื่อเห็นว่ารัฐบาลกลางใช้เงินอุดหนุนเพื่อแทรกแซงการบริหารงานมลรัฐ
ทางด้านการเมือง ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันสนับสนุนความเข้มแข็งของพรรคการเมือง มองว่าพรรคการเมืองเป็นหัวใจสำคัญของการรวบรวมเจตจำนงของประชาชน แต่พรรคการเมืองต้องรับผิดชอบต่อทั้งผู้เลือกตั้งและส่วนรวม และทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างรัฐบาลกับพลเมือง อย่างไรก็ตาม พรรคการเมืองต้องไม่ทำลายคุณค่าพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญวางไว้ เพราะพรรคการเมืองมีหน้าที่ต้องซื่อสัตย์ต่อคุณค่าพื้นฐานของรัฐธรรมนูญ เช่น การปกครองในระบอบประชาธิปไตย
การมีพรรคหลายพรรคเป็นสิ่งจำเป็น พรรคเสียงข้างน้อยคอยควบคุมให้พรรคเสียงข้างมากให้มีความรับผิดชอบและคอยผลักดันนโยบายสาธารณะ หลักการวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันจะเลือกประนีประนอมบทบาททางพรรคการเมืองกับตัวแทนในสภาตามแนวทางที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ
แม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันถูกวิพากษ์มาก แต่กลับได้รับความไว้วางใจจากประชาชนสูง ข้อมูลในปี ค.ศ. 1990 ศาลรัฐธรรมนูญเป็นสถาบันที่ได้รับความเชื่อถือถึง 84% การที่ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันตีพิมพ์คำวินิจฉัยเกี่ยวกับคำร้องของปัจเจกบุคคลมากถึงจำนวน 60% ของจำนวนคำร้องทั้งหมดของปัจเจกบุคคล แสดงให้เห็นถึงการตระหนักความสำคัญของรัฐธรรมนูญในหมู่ประชาชน ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันพยายามสร้างมีส่วนร่วมกับชุมชนวิชาการเมื่อสร้างความชอบธรรมและหาความสนับสนุนจากชุมชนวิชาการ (ดู Donald P. Kommers, 1994, The Federal Constitutional Court in the German Political System)

6. การมองนักการเมืองในแง่ร้ายของศาลรัฐธรรมนูญเยอรมัน
เนื่องจากเยอรมันเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์อันเลวร้ายจากยุคจักรวรรดิ เข้าสู่ยุคสาธารณรัฐไวมาร์ (Weimar) และต่อมาเป็นการก้าวเข้าสู่อำนาจของฮิตเลอร์และพรรคนาซี หลังจากนั้นฮิตเลอร์นำประเทศเข้าสู่สงครามและความหายนะ โดยเฉพาะการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวอันน่าสยดสยองและกระทบกระเทือนต่อจิตใจของคนทั้งโลก
เยอรมันจึงตั้งศาลรัฐธรรมนูญบนพื้นฐานของหลักการที่ไม่ไว้วางใจนักการเมือง หลักการสำคัญของศาลรัฐธรรมนูญเยอรมัน ได้แก่ การตัดสินใจทางการเมืองไม่ได้สิ้นสุดที่ฝ่ายการเมือง จำเป็นที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องเข้าไปตรวจสอบเสมอ ซึ่งที่จริงเป็นหลักการที่ไม่มีในอังกฤษและสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะขัดหลักประชาธิปไตยของอังกฤษที่อำนาจสูงสุดอยู่ที่สภา ขัดต่อหลักรัฐธรรมนูญนิยมของสหรัฐอเมริกา เพราะศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจมากเกินไป ทว่าเป็นเหตุผลความจำเป็นเฉพาะตัวของเยอรมัน
นอกจากนั้นศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันยังเกิดขึ้นเพื่อเป็นกลไกการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองเยอรมัน จากเงื่อนไขที่เคยเป็นเผด็จการไปสู่เงื่อนไขใหม่ที่เป็นประชาธิปไตย
ดังนั้น อะไรก็ตามที่นักการเมืองกระทำการและตัดสินใจจึงถูกระแวง สิ่งที่นักการเมืองคิดว่าถูกต้อง เหมาะสม หรือกระทำไปเพื่อหวังให้ตนเลือกตั้งมาใหม่ จึงต้องถูกตรวจสอบโดยอาศัยกฎเกณฑ์ที่รวบรวมไว้ในรัฐธรรมนูญ
สิ่งที่นักการเมืองไม่ได้ตรวจสอบ ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องมีการนำมาสู่ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อควบคุมบรรทัดฐานทางกฎหมายให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะกรณีของเยอรมันที่ให้สิทธิปัจเจกบุคคลเสนอคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบหน่วยงานของรัฐได้ คดีจากคำร้องของปัจเจกบุคคลจึงมีเป็นจำนวนมาก
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันมองนักการเมืองในทางร้ายเช่นนี้ การตรวจสอบของศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันจึงมีมาก และศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันย่อมถูกวิพากษ์ โดยเฉพาะจากนักการเมืองที่ได้รับผลกระทบจากการถูกตรวจสอบ
ด้านหนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันได้รับความไว้วางใจจากประชาชนสูง แต่อีกด้านหนึ่งถูกวิพากษ์จากนักการเมืองว่าเป็นศาลที่ไม่มีประโยชน์และไม่จำเป็น รวมไปถึงไม่ยุติธรรม ไม่มีประสิทธิผล สิ้นเปลือง ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม ระบบศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันเป็นโมเดลของศาลรัฐธรรมนูญเกิดใหม่ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 เมื่อมีการอ้างถึงระบบศาลรัฐธรรมนูญมักอ้างถึงระบบเยอรมัน จนถือได้ว่าเป็นระบบศาลที่มีอำนาจและทรงพลังที่สุดในโลกในปัจจุบัน (ดู Dieter Grimm, op.cit., p.1 และ pp. 12-13)
ประเด็นที่น่าสนใจอีก คือ ศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันมาจากการเลือกตั้ง แต่เขาสามารถป้องกันการเมืองไม่ให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยคดีได้อย่างไร ผู้เขียนจะได้นำเสนอในโอกาสต่อไป
บทความโดย :
ทนายบ้าน ๆ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา