
"...ฝ่ายกัมพูชามีแต่คำกล่าวหาอย่างเลื่อนลอย แต่ฝ่ายไทยโต้แย้งทันควัน โดยสามารถอ้างถึงหลักฐานข้อเท็จจริงรองรับได้ในทุกประเด็น โดยกัมพูชาไม่สามารถหักล้างหลักฐานข้อเท็จจริงได้แม้เพียงสักเรื่องเดียว ลองนึกภาพดูว่า หากมีรัฐบาลภายใต้ผู้นำที่มีท่าทียอมจำนนล่วงหน้าต่อกัมพูชา ตามแนวทาง “ลุงต้องการอะไร ขอให้บอกมา จะจัดการให้” ตามจุดยืนที่ว่า “แม่ทัพภาค 2 เป็นฝ่ายตรงข้ามและพูดอะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ” ในสภาพแวดล้อมแบบนั้น ผู้แทนไทยจะแถลงแบบนี้ได้ละหรือ..."
ข้อทักท้วงของนักวิจารณ์การเมือง ที่ว่า คุณสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว. ต่างประเทศ ยังไม่ทันแถลงนโยบายในนามคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา แล้วไปมีคำแถลงต่อที่ประชุมสหประชาชาติ เมื่อ 28 กันยายน 2568 เป็นเรื่องผิดรัฐธรรมนูญนั้น
ถูกโต้กลับในทันทีทันใด ว่า
รัฐธรรมนูญ มาตรา 162 วรรคสอง ว่า
“ก่อนแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามวรรคหนึ่ง หากมีกรณีสำคัญและจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งหากปล่อยให้เนิ่นช้าไป จะกระทบต่อประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีที่เข้ารับหน้าที่จะดำเนินการไปพลางก่อน เพียงเท่าที่จำเป็นก็ได้”
ในขณะที่ ปรัก สุคน รองนายกและ รมว.ต่างประเทศของกัมพูชา กล่าวว่า
“น่าเศร้าที่ความเคลื่อนไหวฝ่ายเดียวอย่างต่อเนื่องจากเพื่อนบ้านของเรา การใช้กำลังทหารแทนกลไกที่ตกลงกัน การใช้แผนที่ฝ่ายเดียวแทนแผนที่ ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลที่จัดทำตามสนธิสัญญาที่ผูกพันทั้งสองประเทศ
ที่น่ากลัวอย่างยิ่งคือ การขับไล่พลเรือนกัมพูชาและการขู่ใช้กฎหมายในประเทศกับประชาชน รวมถึงการเตรียมขับไล่คนอีกหลายร้อยคนออกจากพื้นที่ ที่พวกเขาอาศัยอยู่มาหลายสิบปี
วิธีการควบคุมดินแดนในพื้นที่ชายแดนที่ยังไม่ได้ปักปันนี้ แสดงถึงการไม่เคารพ ไม่เพียงแต่เงื่อนไขของการหยุดยิงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงข้อตกลงร่วมกันในการแก้ไขปัญหาชายแดนด้วย ความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้อธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชาถูกละเมิด รวมถึงสิทธิและศักดิ์ศรีของชาวกัมพูชาจำนวนมาก
กัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัดและโปร่งใส แสดงความสุจริตใจในทุกขั้นตอนของการดำเนินการ และอดกลั้นอย่างถึงที่สุด”

เสรีภาพในการแสดงออกที่พ้นไปจากความเป็นฝักฝ่ายทางการเมือง และเป็นอิสระจากผลประโยชน์ส่วนตนของกลุ่มก้อนบัญชาการใดๆ มีคุณูปการมหาศาลต่ออธิปไตยของประเทศไทย หมัดตรงของคุณสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ที่คัดเลือกมานี้ ทำให้เห็นภาพที่ตัดกันอย่างชัดเจนแบบดำ กับขาว
“21. เช้านี้ผมตั้งใจจะกล่าวถึงเรื่องอื่นๆในเชิงบวก ซึ่งสะท้อนความหวังสำหรับอนาคต แต่ผมต้องเขียนคำแถลงปรับใหม่ เนื่องจากคำพูดที่น่าเสียใจอย่างยิ่ง จากเพื่อนร่วมงานชาวกัมพูชาของผม ‘เป็นที่น่าผิดหวังที่กัมพูชายังคงนำเสนอตัวเองว่าเป็นเหยื่อ’ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่กัมพูชาพยายามนำเสนอข้อเท็จจริงในแบบฉบับของตน ซึ่งไม่สามารถพิสูจน์ได้ เพราะมันเป็นเพียงการบิดเบือนความจริง”
( 21. This morning, I intended to say something different and positive, reflecting hope for the future but I had to rewrite the speech because of the most regrettable remarks by my Cambodian colleague. To my dismay, Cambodia continues to present itself as the victim. Time
and time again, it has portrayed its own version of the facts, which does not hold up to scrutiny because it is simply a distortion of the truth.)
“22. เราต่างรู้ว่าใคร คือผู้ถูกกระทำที่แท้จริง คือ ทหารไทย ที่ต้องสูญเสียขาจากทุ่นระเบิด เด็กนักเรียนถูกยิงถล่มเสียชีวิต และพลเรือนผู้บริสุทธิ์ ที่กำลังจับจ่ายซื้อของอยู่ในร้านขายของชำ ถูกลอบโจมตีด้วยจรวดของกัมพูชา”
“23. เมื่อวานนี้ ผมได้พบกับเพื่อนกัมพูชาที่สหประชาชาติแห่งนี้ เราได้คุยกันเรื่องสันติภาพ การเจรจา ความไว้วางใจและความเชื่อมั่น ประเด็นเหล่านี้ ได้รับการยืนยันในการหารืออย่างไม่เป็นทางการสี่ฝ่าย จัดโดยสหรัฐอเมริกา......”
“24. แต่เป็นที่น่าเสียใจว่า คำกล่าวของกัมพูชาในวันนี้ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับคำกล่าวในการหารือเมื่อวานนี้ โดยคำกล่าวของกัมพูชา แสดงให้เห็นถึงเจตนาที่แท้จริงของเขา เป็นสิ่งที่คลาดเคลื่อนอย่างมาก จนทำให้ความจริงดูเหมือนเป็นเรื่องตลก”
(24. But, unfortunately, what was said today by the Cambodian side was completely opposite to what was said yesterday at the meeting. It reveals the true intention of Cambodia. The allegations were so far – fetched that they make a mockery of the truth.)
“26. หมู่บ้านที่กัมพูชาอ้างถึง ในคำกล่าวก่อนหน้านี้ ตั้งอยู่ในเขตแดนของประเทศไทย โดยตามข้อเท็จจริงหมู่บ้านเหล่านั้น เกิดขึ้นเพราะประเทศไทยได้ตัดสินใจ ด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรมที่จะเปิดชายแดนในช่วงปลายทศวรรษ 1970 เพื่อให้ประชาชนหลายแสนคนได้หลบหนีจากสงครามกลางเมือง และมีที่พักพิงในประเทศไทย เราได้ตัดสินใจบนหลักการของความเมตตาและมนุษยธรรม ผมได้เห็นภาพดังกล่าวด้วยตนเอง เมื่อครั้งผมยังเป็นเพียงเป็นนักการทูตผู้น้อย”
(26. The villages referred to by my Cambodian colleague earlier are in Thai territory, full stop. In fact, they exist because Thailand made the humanitarian decision to open up our borders in the late 1970s for hundreds of thousand Cambodian fleeing the civil war in their country to seek shelter in Thailand. We made this decision out of compassion and humanitarian principles. As a young diplomat, I witnessed that scene myself.)
“27. แม้ว่าสงครามกลางเมืองได้สิ้นสุด และที่พักพิงได้ปิดตัวลง แต่หมู่บ้านของกัมพูชายังคงขยายขอบเขตตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา และแม้ว่าประเทศไทยได้พยายามที่จะประท้วงอย่างต่อเนื่อง แต่ฝ่ายกัมพูชายังคงเพิกเฉย ต่อข้อเรียกร้องที่จะจัดการกับปัญหาการบุกรุกดังกล่าว”
“30. เป็นที่น่าเสียใจว่า กัมพูชายังคงยั่วยุอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการระดมพลเรือนเข้ามาในเขตแดนของไทยและยิงเข้ามาทางฝั่งของเรา ถือเป็นการบ่อนทำลายสันติภาพและความมั่นคงตามแนวชายแดน ผมหมายความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2568 ที่กองกำลังกัมพูชาได้ยิงใส่กองกำลังไทยที่ประจำอยู่บริเวณชายแดน
โดยเหตุการณ์ล่าสุดเกิดขึ้นในวันนี้ กองกำลังไทยยังได้ตรวจพบโดรนลาดตระเวนของฝ่ายกัมพูชาที่บุกรุกเข้ามาดินแดนไทยทุกวันบริเวณชายแดน การกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และข้อตกลงหยุดยิงที่ได้เห็นชอบร่วมกันในการประชุม สมัยพิเศษที่เมืองปุตราจายา มาเลเซีย และได้รับการยืนยันอีกครั้งในการประชุมคณะกรรมการชายแดนระดับทวิภาคี”
“32. ในวันนี้ ประเทศของเราทั้งสองต้องตัดสินใจเลือกเส้นทาง ในฐานะที่เราเป็นเพื่อนบ้านและมิตรกัน ประเทศไทยขอถามกัมพูชาว่า จะเลือกเส้นทางใด เส้นทางของการเผชิญหน้าหรือเส้นทางของสันติภาพและความร่วมมือ”

นี่เป็นคำแถลงของคุณสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ตอบโต้นายปรัก สุคน โดยมีการปรับเปลี่ยน ไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างทันกาล และมีน้ำหนัก ทั้งนี้ได้ทราบมาว่าเป็นเหงื่อแรงร่วมกันของอธิบดีและเจ้าหน้าที่ของกรมองค์การระหว่างประเทศที่ระดมพลังกันอย่างแข็งขันในการทำงานนี้
ฝ่ายกัมพูชามีแต่คำกล่าวหาอย่างเลื่อนลอย แต่ฝ่ายไทยโต้แย้งทันควัน โดยสามารถอ้างถึงหลักฐานข้อเท็จจริงรองรับได้ในทุกประเด็น โดยกัมพูชาไม่สามารถหักล้างหลักฐานข้อเท็จจริงได้แม้เพียงสักเรื่องเดียว
ลองนึกภาพดูว่า หากมีรัฐบาลภายใต้ผู้นำที่มีท่าทียอมจำนนล่วงหน้าต่อกัมพูชา ตามแนวทาง “ลุงต้องการอะไร ขอให้บอกมา จะจัดการให้” ตามจุดยืนที่ว่า “แม่ทัพภาค 2 เป็นฝ่ายตรงข้ามและพูดอะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ” ในสภาพแวดล้อมแบบนั้น ผู้แทนไทยจะแถลงแบบนี้ได้ละหรือ

สิ่งที่เรียกว่า ภาษาทางการทูต (Diplomatic Language) ที่ถือหลักถนอมน้ำใจคู่เจรจาแบบ “น้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก” นั้น ถึงอย่างไรก็ต้องยืนอยู่บนข้อมูลและหลักฐานที่เป็นจริง
เห็นได้ว่า เมื่อเอาข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ขึ้นมายืนยัน ไม่ต้องเอาใจฝ่ายตรงข้าม เปลี่ยนท่าทีจากสุขุม เป็นแข็งกร้าว อย่างมั่นใจในหลักฐาน ก็สามารถกอบกู้ศรัทธาปสาทะ ขึ้นมาได้อย่างน่าสนใจ ศักดิ์ศรีของสีหศักดิ์ ที่ประกาศศักยภาพได้อย่างสง่างามในเวทีโลก พลอยทำให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีได้รับความนับถือไปด้วย เพราะให้อิสระและเปิดพื้นที่แห่งเสรีภาพอย่างเต็มที่ให้กับรัฐมนตรีต่างประเทศคนนี้
บทความโดย :
ประสาร มฤคพิทักษ์

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา