
"...แม้ว่าการประกาศรับรองปาเลสไตน์จะมีผลทางสัญญลักษณ์เท่านั้น แต่ก็หวังว่าจะช่วยเพิ่มความกดดันให้อิสราเอลหันมาให้ความสำคัญกับการเจรจาสันติภาพอย่างจริงจังมากขึ้น โดยเลขาธิการสหประชาชาติเองก็พยายามออกมาเรียกร้องอย่างต่อเนื่องให้ทุกฝ่ายเคารพแนวทางเจรจาสันติภาพที่กำหนดเป้าหมายให้อิสราเอลและปาเลสไตน์เป็นสองรัฐอิสระที่อยู่เคียงข้างกันอย่างสันติ หรือที่รู้จักกันในชื่อ two-state solution..."
ในการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 80 (UNGA 80)ระหว่างวันที่ 9-29 ก.ย. 2568 ที่นครนิวยอร์ก ประเด็นหนึ่งที่ได้รับความสนใจอย่างมากคือ การประกาศรับรองความเป็นรัฐของปาเลสไตน์จากหลายประเทศ รวมถึงพันธมิตรใกล้ชิดของสหรัฐฯ อาทิ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส แคนาดา ออสเตรเลีย โปรตุเกส และประเทศอื่นๆ รวม 10 ประเทศ ทำให้ปัจจุบันมีประเทศที่รับรองความเป็นรัฐปาเลสไตน์แล้ว 157 ประเทศจากสมาชิกสหประชาชาติทั้งหมด 193 ประเทศ (หมายเหตุ: ประเทศไทยรับรองความเป็นรัฐของปาเลสไตน์เมื่อปี พ.ศ.2555 หลังจากที่สหประชาชาติได้ให้สถานะภาพผู้สังเกตุการณ์แก่ปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการ)
การกระทำดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้สหรัฐฯ และอิสราเอล ซึ่งมองว่า เป็นการให้รางวัลแก่กลุ่มฮามาส ซึ่งเป็นกลุ่มก่อการร้ายที่เป็นฝ่ายเริ่มการใช้กำลังรุนแรงและจับตัวประกันกว่า 200 คนในฉนวนกาซ่า เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2566 อันเป็นต้นเหตุให้มีการสู้รบรุนแรงอยู่จนถึงวันนี้
ขณะที่ประเทศที่ประกาศรับรองปาเลสไตน์ล้วนมีความเห็นตรงกันว่าสถานะการณ์การใช้กำลังโดยกองทัพอิสราเอลในฉนวนกาซ่าที่เป็นอยู่เกินขอบเขตและผิดกฏหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างโจ่งแจ้ง
แม้ว่าการประกาศรับรองปาเลสไตน์จะมีผลทางสัญญลักษณ์เท่านั้น แต่ก็หวังว่าจะช่วยเพิ่มความกดดันให้อิสราเอลหันมาให้ความสำคัญกับการเจรจาสันติภาพอย่างจริงจังมากขึ้น โดยเลขาธิการสหประชาชาติเองก็พยายามออกมาเรียกร้องอย่างต่อเนื่องให้ทุกฝ่ายเคารพแนวทางเจรจาสันติภาพที่กำหนดเป้าหมายให้อิสราเอลและปาเลสไตน์เป็นสองรัฐอิสระที่อยู่เคียงข้างกันอย่างสันติ หรือที่รู้จักกันในชื่อ two-state solution
แม้ว่ารัฐบาลอิสราเอลยังคงมีท่าทีแข็งกร้าวและชัดเจนว่าตนจะไม่ยอมให้ปาเลสไตน์จัดตั้งประเทศโดยมีเขตแดนของตนเองที่ชัดเจนอย่างเด็ดขาด และประธานาธิบดีทรัมป์ก็แสดงท่าทีสนับสนุนอิสราเอลมาตลอด แม้ว่าขณะเดียวกันก็แสดงความมุ่งมั่นให้มีมาตรการความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมไปถึงมือพลเรือนในกาซ่าให้ได้มากที่สุด
ล่าสุดนอกจากการประกาศว่าจะยังคงใช้ความรุนแรงในฉนวนกาซ่าจนกว่าจะกำจัดกลุ่มฮามาสให้สิ้นซากแล้ว อิสราเอลยังมีแผนที่จะเข้าไปยึดครองพื้นที่บางส่วนในเขตเวสแบงค์ที่ปัจจุบันอยู่ภายใต้การปกครองโดยองค์กร Palestinian Authority (PA) ในฐานะรัฐบาลไม่เป็นทางการที่สหประชาชาติและนานาชาติต่างให้การยอมรับและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับกลุ่มฮามาส(ซึ่งปกครองโดยพฤตินัยอยู่ที่ฉนวนกาซ่า)โดยการประกาศแผนเป็นทางการจะกระทำเมื่อนายเนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีเดินทางกลับถึงอิสราเอลภายหลังการร่วมประชุมสมัชชาสหประชาติและพบหารือเป็นทางการกับประธานาธิบดีทรัมป์ในวันที่ 29 ก.ย. 2568 ซึ่งเขตเวสแบงค์นี้ถือเป็นเส้นตาย (redline) ที่กลุ่มประเทศอาหรับไม่ยอมให้อิสราเอลคืบตัวไปครอบครองเด็ดขาดและ หากสหรัฐฯไม่สามารถเจรจาโน้มน้าวให้อิสราเอลระงับแผนดังกล่าวได้ การตอบโต้รุนแรงจากกลุ่มประเทศอาหรับและประเทศมุสลิมย่อมตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อันจะทำให้ความตึงเครียดรุนแรงในตะวันออกกลางขยายตัวจากฉนวนกาซ่ามาทั่วภูมิภาคตะวันออกกลางอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2568 ที่สหประชาชาติ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ร่วมหารือเป็นทางการกับผู้นำประเทศอาหรับและมุสลิม 8 ประเทศ (กาตาร์, ซาอุดีอารเบีย, สหพันธรัฐอาหรับเอมิเรตส์, อียิปต์, จอร์แดน, ตุรกี, อินโดนีเซีย, ปากีสถาน) เกี่ยวกับความรุนแรงที่ฉนวนกาซ่า และร่วมพิจารณาแผนการของสหรัฐฯ เพื่อหยุดยิงถาวร การปล่อยตัวประกัน และการให้ความช่วยเหลือมนุษยธรรมไปยังประชาชนอย่างทั่วถึงทันเวลา รวมถึงความพร้อมในการจัดส่งทหารและเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลความเรียบร้อยภายหลังการถอนกำลังอิสราเอล การฟื้นฟูหลังการสู้รบ และการจัดสรรงบประมาณสนับสนุน ซึ่งหลังการประชุมประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวแสดงความพอใจและแสดงความเชื่อมั่นว่า ประเทศที่ร่วมประชุมล้วนเป็นประเทศที่จะสามารถนำเรื่องที่คุยกันไปปฏิบัติได้จริง
ส่วนประธานาธิบดีอินโดนีเซียก็ให้สัมภาษณ์ว่าพร้อมส่งทหารเข้าสู่ฉนวนกาซ่าเพื่อเป็นเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพ (peacekeepers) จำนวนหลักหมื่นคน และผลจากการประชุมครั้งนี้จะถูกนำไปหารือกับนายกรัฐมนตรีอิสราเอลในวันที่ 29 ก.ย. 2568 ต่อไปด้วยความหวังว่าอิสราเอลจะรับฟังด้วยดี เพราะ ณ เวลานี้ทุกประเทศเชื่อว่าสหรัฐฯ เป็นเพียงประเทศเดียวที่จะสามารถกดดันและโน้มน้าวอิสราเอลให้ได้
บทความโดย :
เจษฎา กตเวทิน
24 ก.ย. 68

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา