
"...ลากองอธิบายว่าเกิดจากขั้นการมองกระจก (mirror state) ของคนเรา ที่เริ่มเห็น “ตัวตน” ของตัวเองจากกระจก และคิดว่า “เงา” ที่ปรากฏในกระจกนั้นสำคัญที่สุด ทั้งที่ผู้มองกระจกยังไม่เข้าใจความจริง เนื่องจากยังไม่ได้เรียนรู้ความจริงจากสังคมที่อยู่เกินเลยไปกว่าการมองกระจก จึงไม่สามารถเปลี่ยนจินตนาการมาสู่ชีวิตจริงได้ จนภายหลังเมื่อเข้าสู่ช่วงชีวิตที่พบกับความจริงมากขึ้น จึงพบว่ามีความจริงอื่นที่มีมากกว่า “ตัวตน” ในกระจก..."
1. ความนำ
ชีวิตมนุษย์ไม่ได้มีแต่เหตุผล ยังมีอารมณ์ความรู้สึกอยู่ด้วย การเลือกตั้งก็เช่นกัน คนไม่ได้เลือกตั้งโดยอาศัยเหตุผลอย่างเดียว มีการศึกษาจำนวนมากพบว่าอารมณ์ (emotion) และความรู้สึกรักใคร่ชอบพอ (affection) มีส่วนต่อการเลือกตั้งอยู่มาก โดยเฉพาะผลกระทบต่อผู้ที่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเลือกใคร
หัวใจของการเลือกตั้งแต่ละครั้งจึงอยู่ที่การกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกของผู้เลือกตั้ง ตัวอย่างเช่น เคยมีโฆษณาตอนเลือกตั้งในบ้านเราว่า “ไม่เลือกเราเขามาแน่” หรือบางทีก็โจมตีกันตรง ๆ เช่น หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬเคยมีแคมเปญดุเดือดว่า “จำลองพาคนไปตาย”
บางคนผูกเป็นเรื่อง เช่น ส.ส.หลายสมัยของเมืองคอนคนหนึ่งเล่าเรื่อง “ตำรวจ” รังแก “ชาวประมง” เล่าไปเล่ามามีพระเอก คือ ตัวเองโผล่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาทุกที
ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษและออสเตรเลีย มีการศึกษาเรื่องการรณรงค์หาเสียงเชิงลบ (Negative Campaigning) กันมาก เพราะการเลือกตั้งของต่างประเทศอาศัยการรณรงค์หาเสียงเป็นหลัก เช่น สมัยประธานาธิบดีโอบามา พบว่ามีการใช้เงินรณรงค์หาเสียงมากถึงสองพันล้านเหรียญสหรัฐฯ การแคมเปญทุกครั้งต้องวางยุทธศาสตร์การรณรงค์เชิงลบด้วยเสมอ
ปัญหาที่น่าสนใจอยู่ที่ทำอย่างไรให้การรณรงค์หาเสียงเชิงลบได้ผลและพรรคได้ส.ส.มากขึ้น อีกนัยหนึ่ง คือ มีหลักการอย่างไร เนื่องจากสมัยเริ่มแรกในสหรัฐอเมริกานั้น ใช้วิธียิงสป็อตโฆษณาทางโทรทัศน์ และให้บริษัทโฆษณาช่วยคิดให้ ต่อมา สื่อขยายตัวและมีเทคโนโลยีทันสมัยมากขึ้น การแคมเปญจึงสลับซับซ้อนมากกว่าเดิม
ในสหรัฐอเมริกาจะใช้ “กลุ่มคลังสมอง” (think tank) ของพรรค แต่บ้านเรา นักวิชาการมักแยกตัวเองออกจากพรรคการเมือง เพราะกลัวถูกครหาว่าไม่เป็นกลาง ส่วนพรรคการเมืองก็อาจมองว่าการเลือกตั้งแบบไทย ๆ ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้มาก เพราะกลุ่มเครือข่ายสำคัญกว่า
2. หลักการรณรงค์หาเสียงเชิงลบ
2.1 การแบ่งพื้นที่
เวลาสหรัฐอเมริกาหาเสียงประธานาธิบดี เขาจะแบ่งพื้นที่ของมลรัฐออกเป็นสองส่วนใหญ่ ๆ มลรัฐส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่สู้รบ (battleground state) หมายถึงพื้นที่ที่มีคุณลักษณะ 3 ประการ ได้แก่ (1) เป็นพื้นที่สำคัญที่มีผลต่อการแพ้-ชนะ (2) พรรคทุ่มเทส่งคนลงพื้นที่ทำการหาเสียงจำนวนมาก และ (3) เป็นสะวิงสเตท (swing states) ซึ่งหมายถึงมลรัฐนี้ไม่ใช่เสียงตาย ผลการเลือกตั้งไม่แน่นอน เดี๋ยวเลือกรีพับลิกัน เดี๋ยวเลือกดิโมแครต เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ
ส่วนพื้นที่อีกประเภทหนึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่ได้สู้รบ (non-battleground state) หมายถึงเป็นพื้นที่ที่เลือกพรรคใดพรรคหนึ่งอยู่อย่างสม่ำเสมอ
ยกตัวอย่างบ้านเรา การเลือกซ่อมเชียงรายที่ผ่านมา เป็นพื้นที่ที่ไม่ได้สู้รบ เพราะพรรคอื่นเจาะเข้ามายาก แต่การเลือกซ่อมศรีสะเกษ เป็นพื้นที่สู้รบเพราะเป็นสะวิงสเตท ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะมาตลอด
พื้นที่สู้รบจึงมีความสำคัญต่อการวางยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง เพราะนอกจากจะเป็นตัวชี้วัดชัยชนะที่สำคัญอันหนึ่งของพรรคการเมืองแล้ว ยังเป็นพื้นที่สำหรับการวางยุทธศาสตร์การณรงค์เชิงลบอีกด้วย
เนื่องจากพรรคการเมืองรู้แล้วว่าตัวเองมีพื้นที่เสียงตายที่ไหนบ้าง พรรคนั้นก็จะคาดการณ์ได้ว่าจะมีส.ส.ขั้นต่ำเท่าไร ถ้ามีเสียงตายมากก็สามารถทุ่มสรรพกำลังไปยังพื้นที่สู้รบได้
ตรงกันข้าม พรรคนั้นเคยมีพื้นที่เสียงตายอยู่มาก แต่ตอนนี้กลายเป็นพื้นที่สู้รบหมดทุกพื้นที่ พรรคก็ กลายเป็นพรรค “สาละวันเตี้ยลง” อย่างที่อาจารย์บูแห่งเมืองสงขลาว่า ต้องหันมาคิดถึงการปฏิรูปพรรคอย่างเช่น พรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบัน
วิธีคิดการเป็นพรรค “สาละวันเตี้ยลง” นี้ ในสหรัฐอเมริกาเขาคิดจากอัตราความผันผวนของการเลือกตั้ง (electoral volatility rate) คือ เอาจำนวนส.ส.ครั้งที่แล้วกับครั้งนี้มาลบจากครั้งปัจจุบัน และเทียบกับอัตราการผันผวนโดยรวม ทำให้พรรครู้ว่าพรรคเราต้องปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงอะไร หรือพูดง่าย ๆ ว่า “สาละวันเตี้ยลง” เพราะอะไร เช่น ไม่รู้จักวิธีจุดกระแส หรือกระแสที่เราเคยใช้เปลี่ยนไปแล้ว เช่น กรณีของพรรคประชาธิปัตย์
2.2 ความสำคัญของการยุทธศาสตร์เชิงลบ
การรณรงค์หาเสียงทุกครั้ง ย่อมมียุทธศาสตร์ทั้งเชิงบวกและเชิงลบ
ยุทธศาสตร์การรณรงค์เชิงบวกก็อย่างเช่น การชูนโยบายหรือผูกเอานโยบายหลายนโยบายมัดรวมเข้าด้วยกันเป็นชุดนโยบาย แล้วประดิษฐ์คำขึ้นมาเพื่อให้จดจำได้ง่าย และกินใจคน
เช่น สมัยรูสเวลท์ สร้างชุดนโยบาย “นิวดีล” (New Deal) ซึ่งเป็นชุดนโยบายเกี่ยวกับสิทธิพลเมือง หรือสมัยจอห์นสัน สร้างชุดนโยบาย “สังคมยิ่งใหญ่” (the Great Society) ซึ่งเป็นชุดนโยบายการต่อสู้กับความยากจน หรือสมัยโอบามา สร้างชุดนโยบาย “การเปลี่ยนแปลง” (Change) ซึ่งเป็นชุดนโยบายทางด้านความโปร่งใสและสวัสดิการสังคม โดยเฉพาะนโยบายโอบามาแคร์ (Obama Care) ที่ขยายระบบสุขภาพถ้วนหน้าขึ้นเป็นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา เป็นแม่แบบของนโยบายสามสิบบาทรักษาทุกโรคของไทย
หรือทรัมป์ สร้างชุดนโยบาย “ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง” (Make America Great Again) ซึ่งเป็นนโยบายที่หันมาสนใจกับการแก้ปัญหาให้คนอเมริกันและกิจการภายในประเทศ โดยเฉพาะทางด้านการคลังสาธารณะและความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ขณะที่เลือกตั้งนั้น ชุดนโยบายเชิงบวกเหล่านี้มีผลต่อการกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกของคนไม่มาก สาเหตุเป็นเพราะ “นโยบายยังไม่ได้ปฏิบัติ” และคนมองไม่ออก
ดังนั้น ชุดนโยบายเชิงบวกเหล่านี้จึงต้องเสริมด้วยยุทธศาสตร์การรณรงค์เชิงลบ เพื่อชูภาพชุดนโยบายของตัวเองให้เฉิดฉาย ขณะเดียวกันก็เป็นการกดคู่ต่อสู้ในต่ำลงด้วย
จากการศึกษา พบว่า ยุทธศาสตร์การรณรงค์เชิงลบมีผลกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกของคน มากกว่ายุทธศาสตร์เชิงบวก และเป็นประโยชน์อย่างมากต่อ “ผู้ท้าชิง”
ประสิทธิภาพของยุทธศาสตร์ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ 3 ปัจจัย ได้แก่ (1) เรื่องที่นำมาใช้เป็นยุทธศาสตร์เชิงลบ (2) ความน่าเชื่อถือ และ (3) ความสามารถดึงดูดอารมณ์คนรับสาร
2.3 ยุทธศาสตร์เชิงลบ
หลักของการสร้างยุทธศาสตร์การรณรงค์เชิงลบเปรียบเหมือนการแต่งเพลง คือ ต้องวางแนวเพลงก่อนว่าเป็นเพลงโทนไหน หมายความว่า “โทนเสียงหลัก” ของเพลงนี้เป็นแนวไหน ซึ่งเรียกว่า “tonality of negative campaign communication”
การกำหนด “โทนเสียงหลัก” มีความหมายคล้ายกับการจุดกระแสทางการเมือง
บางทีก็จุดติด บางทีก็จุดไม่ติด เช่น กระแสการแก้กฎหมายนิรโทษที่ กปปส. เอามาสร้างกระแสว่าเป็น “กฎหมายลักหลับ” เนื่องจากสภาพิจารณากันจนตีหนึ่งตีสอง เพื่อหาทางให้ทักษิณกลับประเทศไทย นั้น อาจถือได้ว่า เป็น “โทนเสียงหลัก” ที่จุดติด
แต่ “โทนเสียงหลัก” ที่จุดไม่ติดก็มีมากมาย เช่น ข้อเสนอของ กปปส. เรื่อง “การปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง” เป็นมุกแป้กในสมัยพลเอกประยุทธ์ในเวลาต่อมา
จากการศึกษาเชิงประจักษ์ พบว่า “โทนเสียงหลัก” ขึ้นอยู่กับ “ข้อความ” ที่ใช้ในการสื่อสาร ลักษณะของข้อความที่จุดติดนั้นเป็นข้อความที่มีผลกระทบต่อการรับรู้ของผู้ลงคะแนนเสียงและสื่อมวลชน
โดยหลักแล้วข้อความที่ใช้จะเป็นการโจมตีศัตรู (attacking a rival) และผลลัพธ์ของความสำเร็จยังขึ้นอยู่กับการตอบโต้ของฝ่ายศัตรู
ด้านการโจมตีศัตรู ก็ยังแยกออกเป็นพรรคที่เป็นศัตรูกันไปตลอด กับพรรคที่อาจกลับมาร่วมกันเป็นรัฐบาลผสม เช่น พรรคที่อาจกลับมาร่วมรัฐบาลในอนาคต อาจใช้ยุทธศาสตร์ “ยิงแบบมิตร” (friendly fire) เป็นต้น
การโจมตีจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ โจมตีตัวบุคคล กับการโจมตีระบบ
ในสหรัฐอเมริกา พรรคการเมืองสองพรรคผลัดกันเป็นรัฐบาล จึงใช้ยุทธศาสตร์การโจมตีระบบเป็นหลักและโจมตีกันอย่างหักหาญชนิดไม่เผาผีกัน
เช่น เรแกนโจมตีระบบเก่าของพรรคดิโมแครตว่าสร้างสวัสดิการสังคมจนเป็นภาระให้กับคนอเมริกัน โดยเฉพาะระบบ Medicaid-Medicare ตั้งแต่สมัยจอห์นสันนั้นใช้เงินภาษีหมดไปจำนวนมาก จำเป็นต้องปรับระบบการรักษาพยาบาลฟรีใหม่ โดยให้คนออกนอกระบบไปใช้บริการของเอกชนมากขึ้น คนอเมริกันจะได้เสียภาษีน้อยลง
ส่วนทรัมป์โจมตีทั้งระบบสวัสดิการสังคม ขณะเดียวกันก็โจมตีตัวบุคคลด้วย คือ โจมตีไบเดน อดีตประธานาธิบดีสมัยก่อนตนว่าอายุมาก และโจมตีกมลา แฮริส คู่แข่ง ว่าหัวรุนแรง
ส่วนฝ่ายที่ถูกโจมตีต้องตอบโต้เสมอ มิเช่นนั้น จะเสียเปรียบ วิธีการตอบโต้มี 5 วิธี คือ
(1) การปฏิเสธ (denial) ได้แก่ การยืนยันว่าการโจมตีเป็นข้อมูลเท็จ
(2) การโจมตีกลับ (counterattack) เพื่อเคลื่อนย้ายจุดสนใจจากตัวเองไปเป็นฝ่ายศัตรู ว่าเกิดขึ้นจากการทำผิดของฝ่ายศัตรูเอง เช่น เลือกตั้งซ่อมศรีสะเกษ ฝ่ายหนึ่งโจมตีว่าอีกฝ่ายเป็น “งูเห่า” อีกฝ่ายตอบโต้ว่า “เป็นความผิดพลาดของการแก้ปัญหาชายแดน” ของพรรคตัวเองแล้วมาโทษคนอื่น
(3) การสร้างภาพตอบโต้ (counter-imaging) นำเสนอเรื่องเล่าใหม่เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับคนโจมตี เช่น คุณอนุทิน ยกภาพรัฐบาลเก่าว่ามีปัญหามากกว่ารัฐบาลตนเสียอีก ส่วนรัฐบาลตนอยู่แค่สี่เดือนก็จะไปแล้ว
(4) การอธิบายเหตุผล (justification) เป็นการยอมรับพฤติกรรมที่ถูกโจมตีแต่อธิบายเหตุผลว่าเป็นเพราะอะไร เพื่อลดกระแสการถูกโจมตี เช่น บุชเคยสูบกัญชาตอนเรียนมัธยม บุชก็ยอมรับ แต่อธิบายว่าเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นตอนที่เขายังเด็กมาก
(5) การต่อสู้กับการป้ายสี (mudslinging) โดยการกล่าวหาผู้โจมตีว่าเล่นการเมืองป้ายสีสาดโคลน เพื่อให้ผู้ลงคะแนนเสียงรู้สึกเบื่อหน่ายกับการเมืองสกปรก
ส่วนผลลัพธ์ต่อการลงคะแนนเสียง นั้น จากการวิจัย พบว่า วิธีปฏิเสธเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ต้องเป็นกรณีที่ผู้สมัครมีประวัติดีเท่านั้น ส่วนการโจมตีกลับก็เป็นวิธีที่ได้ผล โดยเฉพาะกรณีที่เป็นเรื่องโจมตีตัวบุคคล ส่วนการสร้างภาพตอบโต้และการอธิบายเหตุผลนั้นได้ผลน้อยที่สุด แต่ก็ยังพอลดการโจมตีได้บ้าง
ผลการโจมตีต่อคะแนนนิยมของผู้เลือกตั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าผู้เลือกตั้งอยู่ฝ่ายใด (partisanship) และรับรู้การหาเสียงเชิงลบอย่างไร ถ้าหากเขาอยู่กับฝ่ายที่อยู่ในตำแหน่งที่ถูกโจมตี เขาจะยิ่งช่วยคนที่ถูกโจมตี หรือถ้าหากเขาเห็นว่าการโจมตีนั้นเป็นการกระทำที่เกินความเหมาะสม เขาก็จะไม่สนับสนุนคนโจมตี
เช่น ถ้าเขาเป็น “ส้ม” เขาจะออกมาปกป้องพรรคส้มอย่างรุนแรง หรือเป็น “แดง” เขาก็ออกมาปกป้องพรรคแดงเช่นกัน การสร้างกลุ่มก้อนที่เป็นกลุ่มแนวหน้าเอาไว้ จึงมีประโยชน์ต่อพรรคแต่ละพรรคและเป็นสิ่งจำเป็นในยุคปัจจุบัน เพราะแนวหน้าจะออกมาปกป้องพรรคโดยอัตโนมัติ บางพรรคจึงใช้วิธีจัดตั้งแนวหน้าอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
แต่ถ้าเขาเป็นคนทั่วไป เขาอาจคล้อยตามการโจมตีและไม่ลงคะแนนให้ผู้ที่ถูกโจมตี
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ถูกโจมตีจะอยู่เฉยไม่ได้ เพราะเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่ง เนื่องจากจะกระทบต่อตำแหน่งทางการเมืองในการเลือกตั้งของตัวเอง
ข้อสำคัญ ในการหาเสียงทางการเมือง ไม่มีทางห้ามการโจมตีได้ แม้ว่าจะมีกฎหมายที่ดีเพียงใดก็ตาม นอกจากนั้น การโจมตีจะทำให้ผู้ลงคะแนนมีปฏิกิริยาตอบโต้กลับ โดยไม่เลือกคนโจมตี ถ้าเขาไม่ชอบการหาเสียงเชิงลบ
ด้วยเหตุนี้ การรณรงค์หาเสียงเชิงลบจึงเป็นดาบสองคม แต่เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำในทางการเมือง
3. ยุทธศาสตร์เชิงลบแบบนิ่ม ๆ ในประเทศไทย
เมื่อไม่กี่วันมานี้ คุณธนาธร ผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ และเคยเป็นผู้ออกเงินทุนให้พรรคกู้ยืมจำนวนสองร้อยล้านบาท จนเป็นเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรค ได้ออกมาอภิปรายในงานวันครบรอบรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
คุณธนาธร คาดการณ์ทำนองว่า ถ้าพรรคประชาชนได้เสียงมากเกิน 250 เสียง ประเทศไทยจะเปลี่ยนไปสู่การประนีประนอมครั้งใหญ่ (grand compromise) เพราะบ้านเมืองเหนื่อยล้ากันมามาก ฝ่ายประชาธิปไตยก็เหนื่อยล้า จากข้อมูลที่นิสิตนักศึกษาถูกจับกุมคุมขัง และฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็เหนื่อยล้าจากการเปลี่ยนรัฐบาล ตั้งแต่รัฐประหาร 19 ปีที่ผ่านมา ประเทศยังอยู่ในบทของหนังสือบทเดียว คือ บทที่ว่าด้วยการรัฐประหาร เพียงแต่ตอนนี้เดินทางมาถึงท้ายบทของหนังสือแล้ว
เมื่อพรรคประชาชนได้เสียงข้างมาก พรรคประชาชนก็จะประนีประนอมครั้งใหญ่ นิสิตนักศึกษาอาจออกมาจากการจับกุมคุมขัง และคืนประชาธิปไตยแบบปกติให้กับประเทศ คุณธนาธรเองที่ตั้งพรรคการเมืองก็เพราะมีเจตนาต้องการเปลี่ยนประเทศไปเป็นประชาธิปไตยแบบปกติ
ข้อความที่คุณธนาธร กล่าวข้างต้น แท้จริงเป็นยุทธศาสตร์การรณรงค์หาเสียงเชิงลบ เหตุผล คือ
ประการแรก เป็นการโจมตีระบบ โดยการกล่าวหาว่าประเทศไม่เป็นประชาธิปไตย คุณธนาธรตั้งพรรคขึ้นมาก็เพื่อหวังเปลี่ยนประเทศให้กลับคืนสู่การเป็นประชาธิปไตยแบบปกติ ซึ่งคงเหมายถึงเหมือนประชาธิปไตยทั่วไปของตะวันตก
ประการที่สอง เป็นการหาเสียงล่วงหน้า ว่า ถ้าพรรคประชาชนได้เสียงข้างมาก บ้านเมืองจะเกิดการประนีประนอมกันครั้งใหญ่
ประการที่สาม เป็นการฝากความหวังให้กับคนหนุ่มสาว ว่า มีเพียงกรณีที่พรรคประชาชนได้เสียงข้างมาก เท่านั้น ที่เป็นหนทางการเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่ประชาธิปไตยแบบปกติ
ยุทธศาสตร์การรณรงค์เชิงลบดังกล่าว หากวิเคราะห์ตามทฤษฎีลากอง (Lacanian Theory) จะพบว่าแท้จริงนั้นเป็นการหลอกลวงโดยอาศัยการสร้างจินตนาการ (imaginary deception)
ลากองอธิบายว่าเกิดจากขั้นการมองกระจก (mirror state) ของคนเรา ที่เริ่มเห็น “ตัวตน” ของตัวเองจากกระจก และคิดว่า “เงา” ที่ปรากฏในกระจกนั้นสำคัญที่สุด ทั้งที่ผู้มองกระจกยังไม่เข้าใจความจริง เนื่องจากยังไม่ได้เรียนรู้ความจริงจากสังคมที่อยู่เกินเลยไปกว่าการมองกระจก จึงไม่สามารถเปลี่ยนจินตนาการมาสู่ชีวิตจริงได้ จนภายหลังเมื่อเข้าสู่ช่วงชีวิตที่พบกับความจริงมากขึ้น จึงพบว่ามีความจริงอื่นที่มีมากกว่า “ตัวตน” ในกระจก
พรรคประชาชนใช้ยุทธศาสตร์การรณรงค์หาเสียงเชิงลบ โดยการเปลี่ยนแปลงระบบมาตลอด และอ้างว่า มีพรรคตนเท่านั้นที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีใครรับสัมปทาน และไม่เคยมีการคอร์รัปชัน สมาชิกพรรคมีการศึกษาสูง ความประพฤติดี เป็นนักเรียนนอก ฯลฯ
ทั้งนี้เนื่องจากพรรคไม่เคยเป็นรัฐบาล ไม่เคยมีอำนาจและไม่เคยพบกับสิ่งยั่วยวนในชีวิตจริงนั่นเอง
กระนั้นก็ตามมีข้อมูลปรากฏเป็นที่ประจักษ์ว่าสมาชิกพรรคบางคนเมื่อพบกับสิ่งยั่วยวนเพียงเล็กน้อย เขาก็ย้ายพรรคเป็น “งูเห่า” เหมือนกัน
การไม่คอร์รัปชั่นจึงเป็นไปได้มากว่า เป็นเพราะเขายังไม่มีโอกาส
ความที่พรรคใช้ชีวิตอยู่กับความฝันนี่เอง เมื่อนางสาวแพทองธาร ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พรรคประชาชนจึงไม่กล้าเข้าไปจัดตั้งรัฐบาล ทั้งที่ตนเป็นพรรคที่มีเสียงข้างมากที่สุด และระยะเวลาการเป็นรัฐบาลเหลืออยู่อีกเกือบสองปี
หากพรรคประชาชนต้องการเปลี่ยนแปลงระบบจริง และกล้าลงมือเปลี่ยนแปลงจริง ต้องเข้าไปเป็นรัฐบาลและนำนโยบายตัวเองไปปฏิบัติตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย
เพราะตามหลักของการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองนั้น ต้องค่อย ๆ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ (continuous improvement) หากเปลี่ยนใหญ่ครั้งเดียว สังคมจะเกิดผลกระทบอย่างรุนแรง เพราะต้นทุนการเปลี่ยนแปลงจะสูงลิบลิ่ว เช่น ข้อเสนอเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสถาบัน เป็นต้น
สาเหตุที่พรรรคประชาชนไม่กล้าเป็นรัฐบาล ก็เพราะพรรคประชาชนกลัวการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากผู้นำพรรครู้ดีว่าปัญหาของประเทศใหญ่โตเกินกว่าที่พรรคประชาชนสามารถแก้ไขได้ ความจริงนั้นปัญหาการเมืองไทยมีมากมาย จนเรียกได้ว่าเป็น “ปัญหายืดเยื้อเรื้อรังและยากต่อการแก้ไข” (wicked problems)
พรรคประชาชนย่อมคาดการณ์ได้ว่า พรรคอื่น ๆ จะต้องใช้แคมเปญเชิงลบตอบโต้ จึงไม่มีทางที่พรรคตนจะได้เป็นรัฐบาลในระยะเวลาอันใกล้ พรรคประชาชนรักที่จะคงความเป็นฝ่ายค้านคอยตักตวงคะแนนเสียงเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ มากกว่า
พรรคประชาชนย่อมรู้ดีว่า การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พรรคได้ส.ส.จำนวน 140 กว่าคนนั้น เป็นเพราะพรรคมีกระแสจากการต่อต้านรัฐประหาร และกระแสการเคลื่อนไหวของนิสิตนักศึกษาที่เรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่ รวมทั้งการที่นิสิตนักศึกษาหลายคนถูกจับและต้องหลบหนี โดยที่นิสิตนักศึกษาเหล่านี้เป็น “นักสู้” (gladiators) ของพรรค
แต่วันนี้ ไม่มีสาม ป. เสียแล้ว และไม่มีการเคลื่อนไหวของนิสิตนักศึกษาเสียแล้ว กระแสพรรคตกลงจากเหตุการณ์ที่ทหารตายและบาดเจ็บในสงครามไทย-กัมพูชา
พรรคจึงไม่รู้จะเปลี่ยนแปลงอะไรดี ตอนนี้หันกลับมาขาย “การประนีประนอมครั้งใหญ่”
สำหรับกระแสที่พรรคจุดขึ้นมาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ก็มีแนวโน้มอย่างสูงว่าจะเป็นมุกแป้ก ทั้งยังจะก่อให้เกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ขึ้นมาในสังคมไทยในอนาคตอันใกล้
การจุดกระแสไม่ติดดังกล่าว ทำให้การคาดการณ์ว่าพรรคประชาชนจะได้รับเลือกตั้ง 250-270 ที่นั่ง ไม่เป็นความจริง
ข้อเสนอ “การประนีประนอมครั้งใหญ่” เข้าข่ายการจุดกระแสใหม่ อันเป็นการหลอกลวงโดยอาศัยจินตนาการ มีค่าเท่ากับการขายความฝันอันบรรเจิดของคนที่เพิ่งเห็นเงาตัวเองในกระจกตามทฤษฎีของลากอง
ระยะเวลาผ่านไป คงมีสักวันที่พรรคหันกลับมาเผชิญกับความจริง
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก : freepik.com

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา