
"...การบรรลุกรอบความตกลงเรื่องการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น TikTok ครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณอันดีในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน เพราะแสดงให้เห็นว่าแม้เบื้องหน้าจะมีการใช้คำพูดที่แข็งกร้าวเข้าหากันตลอด แต่ในการเจรจาทั้งสองฝ่ายก็สามารถประนีประนอมกันได้ในสาระสำคัญ..."
เมื่อปี ค.ศ.2020 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของการรับตำแหน่งสมัยแรกของประธานาธิบดีทรัมป์ เขาได้ออกคำสั่งทางบริหารยกเลิกการประกอบธุรกิจในสหรัฐฯ ของ TikTok หากไม่มีการกระจายหุ้นส่วนใหญ่ให้บริษัทอเมริกันถือครอง
หลังจากนั้นมาเมื่อตกถึงสมัยประธานาธิบดีไบเดนก็มีการอุธรณ์เรื่องผ่านศาลเพื่อระงับและชะลอเวลาการบังคับใช้คำสั่งดังกล่าวอยู่หลายครั้ง ส่งผลให้รัฐสภาต้องออกข้อมติร่วมสองพรรค (bipartisan resolution)เพื่อบังคับให้ TikTok ต้องโอนหุ้นส่วนใหญ่ให้บริษัทสหรัฐฯ เนื่องจากในรัฐสภาทั้งสองพรรคมองเห็นร่วมกันว่า การดำเนินธุรกิจของ TikTok มีความหมิ่นเหม่ที่จะละเมิดความมั่นคงของรัฐมาก โดยเฉพาะข้อมูลส่วนบุคคลของสมาชิกกว่า 170 ล้านคนที่เก็บในระบบอัลกอริทึ่ม (algorithm) สามารถจะรั่วไหลไปถึงมือพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ไม่ยาก เนื่องจาก BiteDance ซึ่งเป็นเจ้าของ TikTok เป็นบริษัทจีนที่ต้องฟังคำสั่งรัฐบาลอย่างเคร่งครัด(ซึ่งเป็นเรื่องที่ฝ่ายจีนปฏิเสธมาตลอด)
อย่างไรก็ตามภายหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ามารับตำแหน่งสมัยที่ 2 เมื่อมกราคมปีนี้ท่าทีของเขาต่อ TikTok ก็ดูจะเปลี่ยนไป เนื่องจากในระหว่างการหาเสียงเขาได้ใช้ประโยชน์จาก TikTok ในการเข้าถึงคนกลุ่มอนุรักษ์นิยมอย่างได้ผลดียิ่ง และเมื่อไม่กี่วันก่อนประธานาธิบดีทรัมป์ให้สัมภาษณ์ว่านาย Charlie Kirk นักเคลื่อนไหวทางการเมืองสายอนุรักษ์นิยมสุดขั้วที่เพิ่งถูกลอบสังหารที่รัฐยูทาห์เป็นคนสอนเขาให้เห็นถึงประโยชน์มหาศาลจากการใช้ TikTok ในการหาเสียง
ดังนั้น เมื่อรับตำแหน่งประธานาธิบดีทรัมป์จึงประกาศขยายเวลาในการยกเลิกกิจการ TikTok ในสหรัฐฯ ออกไปเป็นห้วงๆ เพื่อพยายามหาบริษัทเทคโนฯยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ เข้ามาถือหุ้นส่วนใหญ่ (คาดว่ามีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 50 พันล้านดอลล่าร์หรือประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท) และก็ปรากฏชื่อบริษัทดังๆ เช่น Amazon Microsoft Reddit ฯลฯ แสดงความสนใจ
จนเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2568 หลังการหารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศว่าทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุกรอบความตกลง (framework agreement)เรื่องการประกอบธุรกิจของ TikTok ในสหรัฐฯ ต่อไปได้เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ จะมีการขยายเส้นตายการดำเนินรายละเอียดจากวันที่ 17 ก.ย.2568 ออกไปอีก 90 วัน (ถึง 16 ธ.ค.2568) โดยสาระสำคัญของกรอบความตกลงพอสรุป ดังนี้
- ให้กลุ่มธุรกิจของสหรัฐฯ นำโดยบริษัท Oracle ที่เป็นผู้นำระบบข้อมูลข่าวสารและสมองกลประดิษฐ์( AI )ของสหรัฐฯ เข้าซื้อกิจการ 80% โดยจะเปลี่ยนชื่อ TikTok และจัดทำ App ขึ้นใหม่
- ข้อมูลทั้งหมดของบริษัทใหม่ที่จะตั้งขึ้นจะถูกเก็บอยู่ที่ศูนย์ข้อมูลกลางของ Oracle ในสหรัฐฯ
- เกินครึ่งหนึ่งของคณะกรรมการบริษัทจะต้องเป็นคนอเมริกันและหนึ่งในนั้นจะเป็นบุคคลที่มอบหมายโดยรัฐบาลสหรัฐฯ
- บริษัท BiteDance ซึ่งเป็นเจ้าของระบบอัลกอริทึ่มจะต้องออกใบอนุญาตการใช้ให้แก่ บริษัท Oracle
อย่างไรก็ตามฝ่ายจีนยังไม่มีการยืนยันใดๆ เป็นทางการเกี่ยวกับกรอบความตกลงนี้ จึงเป็นที่คาดหมายกันว่า รายละเอียด รวมถึงการลงนามในกรอบความตกลงจะต้องสรุปกันอีกครั้งในโอกาสที่ผู้นำทั้งสองจะพบหารือกันในช่วงการประชุมสุดยอดของเอเปค (APEC Summit 2025)ที่เกาหลีใต้ในปลายเดือนตุลาคมนี้
การบรรลุกรอบความตกลงเรื่องการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น TikTok ครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณอันดีในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน เพราะแสดงให้เห็นว่าแม้เบื้องหน้าจะมีการใช้คำพูดที่แข็งกร้าวเข้าหากันตลอด แต่ในการเจรจาทั้งสองฝ่ายก็สามารถประนีประนอมกันได้ในสาระสำคัญ
ทั้งนี้ จากการออกข่าวโดยรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ (นาย Bessent)ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะเจรจากับจีนจนบรรลุกรอบความตกลงกันได้ระบุว่า ในการเจรจาฝ่ายจีนเน้นเรื่องการรักษาคุณลักษณะความเป็นจีนของ TikTok เอาไว้ให้มากที่สุด เพราะจีนถือว่าเป็น soft power ที่สำคัญของตน ซึ่งฝ่ายสหรัฐฯ ไม่มีข้อคัดค้านอะไร เนื่องจากสหรัฐฯ สนใจเฉพาะเรื่องการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลเป็นหลักและเมื่อฝ่ายจีนยอมผ่อนปรน (ให้เก็บข้อมูลทั้งหมดไว้ในสหรัฐฯ รวมถึงการให้สัดส่วนการถือครองกรรมสิทธิ์ส่วนใหญ่กับสหรัฐฯ)จึงเกิดกรอบความตกลงนี้
อย่างไรก็ดีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในสหรัฐฯ จำนวนมากยังคงมีความหวาดระแวงว่าการที่บริษัทจีนยังคงความเป็นเจ้าของระบบความจำการใช้งาน (หรืออัลกอริทึ่ม)ยังเป็นช่องว่างให้ข้อมูลรั่วไหลไปจีนได้
อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ใช้งาน TikTok จำนวนกว่า 170 ล้านคนสิ่งนี้ย่อมเป็นข่าวดีและย่อมเป็นผลงานสำคัญที่รัฐบาลภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์ใช้เพื่อสร้างคะแนนนิยมได้ไม่น้อย ..
สำหรับรัฐบาลใหม่ของไทย การคำนึงถึงข้อมูลที่อาจรั่วไหลไปกับการใช้ TikTok ไม่ใช่สิ่งที่จะมองข้ามเฉยๆ และควรหามาตรการป้องกันที่เหมาะสมก่อนที่จะสายเกินแก้
บทความโดย :
เจษฎา กตเวทิน
21 ก.ย. 2568

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา