
"...ครั้งหนึ่ง ผู้เขียนเคยได้ยินสมาชิกพรรคการเมืองไทยคนหนึ่งกล่าวทำนองว่า “พรรคเขามีเทคโนโลยีทุกอย่าง แต่ไม่มี content ที่จะใส่เข้าไป” ปัญหาของพรรคนี้จึงได้แก่ขาดการจุดกระแสให้คนสนใจ อีกทั้งอาจไม่ได้คิดถึงการเคลื่อนไหวทางการเมืองอันเป็นขบวนการที่จำเป็นต้องทำในลำดับถัดไป..."
1. พรรคดิจิทัล
“พรรคดิจิทัล” (digital party) บางทีก็เรียกว่า “พรรคอินเตอร์เน็ต” (internet party) หรือ “พรรคเครือข่าย” (network party) เป็นแม่แบบที่เป็นแรงบีบบังคับให้บรรดาพรรคการเมืองเก่า ๆ ต้องเร่งปฏิรูปตัวเอง
การปฏิรูปพรรคการเมืองมีหลายด้าน เช่น การปฏิรูปอุดมการณ์ ผู้นำ องค์กร ระบบการเงิน ระบบวิชาการและระบบนโยบาย แต่ด้านหนึ่งที่ขาดไม่ได้ คือ การเป็นพรรคดิจิทัล
นางแมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมันสี่สมัยช่วง ค.ศ. 2005 ถึง 2021 เคยให้สัมภาษณ์ว่า
“บรรยากาศการเมืองในเยอรมันมีการแข่งขันรุนแรงขึ้น ตอนที่ฉันเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรก ยังไม่มีสมาร์ทโฟน เฟสบุ๊คเพิ่งมีปีเดียว ทวิตเตอร์ยังไม่เกิดจนกระทั่งปีต่อมา เราอยู่ในโลกการสื่อสารที่เปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิงและมีบางอย่างที่ต้องกระทำ
มันได้เปลี่ยนแปลงการสื่อสารการเมือง เราต้องถามตัวเราว่า เราเข้าถึงประชาชนแล้วหรือยัง เราจะแน่ใจอย่างไรว่าความคิดเห็นที่แตกต่างกันของคนทั้งหลายได้รับความเคารพและไม่มีความคิดใดถูกซุกซ่อนไว้ในหัวมุมที่พวกเขารู้สึกว่าเป็นความคิดที่ได้รับการรับรองว่าถูกต้องแล้ว ทุกวันนี้ ความคิดเห็นส่วนตัวจากคนหลายคนมีความถูกต้องมากกว่าที่เราเคยรู้มา ฉันกลัวว่าจะนำเราไปสู่ปัญหา เมื่อถึงเวลาที่เราทำการประนีประนอมความคิดเหล่านั้น อันเป็นสาระสำคัญของระบอบประชาธิปไตย”
การเปลี่ยนพรรคสมัยดั้งเดิมเป็นพรรคดิจิทัล กระทำได้โดยการนำเทคโนโลยีและวิธีการสื่อสารการเมืองสมัยใหม่มาใช้ ซึ่งต้องเปลี่ยนทั้งทางด้านเทคนิค ความรู้และการปฏิบัติ
พรรคต้องยกเลิกการจัดองค์กรพรรคเป็นระบบราชการ (bureaucratic party) หันไปสร้างเครือข่าย (network party) และเปลี่ยนโครงสร้างพรรคให้แบนราบลง (flat party) และติดต่อกันผ่านทางเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ให้มากที่สุด แล้วก็ต้องมีการเคลื่อนไหวทางการเมือง (movement)
สิ่งสำคัญเบื้องต้นจึงต้องมีแพลตฟอร์ม (platform) ซึ่งเป็นเวทีเสมือนจริง (virtual platform) ในอินเตอร์เน็ต เพื่อให้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็น โดยการลงทะเบียนตัวตน หรือสมัครเป็นสมาชิก หลังจากนั้นนำความคิดของคนทั้งหลายมาผลักดันและเคลื่อนไหวทางการเมือง
โลกสมัยใหม่มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองผ่านแพลตฟอร์มมากมาย เช่น การยึดวอลสตรีท (Occupy Wall Street) เพื่อประท้วงปัญหาความเหลื่อมล้ำในนิวยอร์กก็กระทำโดยอาศัยแพลตฟอร์ม
สำหรับส่วนที่สำคัญกว่าแพลตฟอร์ม ได้แก่ การจุดกระแสเพื่อให้คนสนใจเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นและร่วมกันผลักดันการเมือง
ในการเป็นพรรคดิจิทัล แพลตฟอร์ม (platform) จึงสัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวทางการเมือง (movement) อย่างแยกไม่ออก ถ้ามีแต่แพลตฟอร์ม ไม่มีการจุดกระแส ก็ไม่มีคนสนใจและไม่มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งเท่ากับไม่มีคะแนนนิยม
ครั้งหนึ่ง ผู้เขียนเคยได้ยินสมาชิกพรรคการเมืองไทยคนหนึ่งกล่าวทำนองว่า “พรรคเขามีเทคโนโลยีทุกอย่าง แต่ไม่มี content ที่จะใส่เข้าไป” ปัญหาของพรรคนี้จึงได้แก่ขาดการจุดกระแสให้คนสนใจ อีกทั้งอาจไม่ได้คิดถึงการเคลื่อนไหวทางการเมืองอันเป็นขบวนการที่จำเป็นต้องทำในลำดับถัดไป
ยิ่งปัจจุบันหาเสียงทางดิจิทัลพัฒนาไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง จากยุค Web 1.0 ไปยุค Web 2.0 และกำลังจะเข้าสู่ยุค Web 3.0
ยุค Web 1.0 เป็นยุคที่พรรคสื่อสารทางเดียว ยุค Web 2.0 เป็นยุคการสื่อสารสองทาง และยุค Web 3.0 เป็นยุค AI เข้ามามีบทบาทสามารถใช้ภาษามนุษย์สื่อสารได้
ยกตัวอย่าง พรรคการเมืองไทยอยู่ในยุค Web 2.0 พรรคสามารถใช้ระบบ IO ของพรรคส่งสารสื่อข้อความแสวงหาคะแนนนิยมและโจมตีพรรคตรงกันข้าม โกยคะแนนเป็นล่ำเป็นสัน แต่ยุค Web 3.0 เป็นยุค AI สามารถตรวจจับ ตอบโต้และเปิดโปงแหล่งที่มาของ IO ได้ อีกทั้งยังสามารถประมวลผลได้ว่าพรรคต่าง ๆ หาเสียงในระบบดิจิทัลอย่างไร และทำการตอบโต้ได้อัตโนมัติ
ส่วนข้อเสียก็แน่นอนว่าโลกดิจิทัลเต็มไปด้วยการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร เฟกนิวส์และการโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งสร้างความสับสนให้กับผู้คน และนำโลกเข้าสู่ยุคหลังความจริง (post-truth era) อันหมายถึงผู้คนยากที่จะแยกได้ว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง เพราะทุกฝ่ายต่างอ้างว่าตนมาเปิดเผยความจริง (disillusion) ด้วยกัน
ทว่าความจริงที่เขาเปิดเผยนั้น แท้จริงแล้ว อาจเป็นความลวง (illusion) ที่เขาสร้างขึ้นมาใหม่ก็ได้ ดังเช่นกรณีของประเทศไทยที่มีคนจงใจสร้างความคิดเรื่อง “รัฐพันลึก” หรือ “ผู้กำกับ” หรือ “ใบอนุญาตใบที่สอง” ขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่ง
2. แม่แบบของพรรคดิจิทัลของโลก
แม่แบบของพรรคดิจิทัลของโลก คือ พรรคขบวนการห้าดาว (Five Star Movement Party) หรือรู้จักกันในชื่อย่อว่า “M5S” ในประเทศอิตาลี
พรรคนี้ตั้งขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 2009 โดยเป็บเป้ กริลโล (Beppe Grillo) ตอนเริ่มต้น ผู้ลงคะแนนให้พรรคเป็นพวกฝ่ายซ้าย (left-wing voters) และคนที่ไม่พอใจการเมือง แต่ต่อมาพรรคได้รับความสนใจมากขึ้น จากวิกฤติพรรคการเมืองแบบเก่าและคนเบื่อหน่ายการเมือง ปี ค.ศ. 2013 พรรคได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งระดับชาติถึงร้อยละ 25 และดึงดูดคนได้มากขึ้น รวมไปถึงผู้ลงคะแนนให้พรรคที่เอียงไปทางขวา (right-leaning voters)
ลักษณะเด่นของพรรค คือ ต่อต้านผู้มีอำนาจเดิมและผู้นำเดิม โดยใช้วิธีการชุมนุมประท้วงหรือจุดกระแสทางนโยบายใดนโยบายหนึ่ง
การจุดกระแสทำจากแพลตฟอร์ม ชื่อ “The Rousseau” กับ “Local met-ups” โดยการเปิดให้คนต้องการเป็นสมาชิกมาแสดงตัวตนผ่านระบบออนไลน์ ตั้งประเด็นให้คนแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมกับพรรค เช่น เสนอรายชื่อผู้สมัครของพรรคให้สมาชิกโหวตเพื่อคัดเลือก
ลักษณะการจัดองค์กรพรรคเป็นการผสมผสาน 3 ลักษณะเข้าด้วยกัน คือ (1) ระบบองค์กรธุรกิจ (a business-firm model) (2) ระบบแฟรนไชส์ (a franchise party) คือ ให้สิทธิพิเศษแก่สมาชิกผู้รับสิทธิและผู้รับสิทธินั้นนำไปขยายเครือข่ายสมาชิกเป็นลูกโซ่ และ (3) พรรคเคลื่อนไหวทางการเมือง (movement party)
พรรคมีกำเนิดจากระบบเจ้าของกิจการ ไปสู่การเป็นสถาบันและเป็นพรรคที่มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง ดังนั้น การจัดองค์กรพรรคเริ่มต้นจึงเริ่มจากการเป็นระบบองค์กรธุรกิจก่อน ต่อมา เปลี่ยนมาเป็นระบบแฟรนไชส์เพื่อขยายเครือข่ายสมาชิกเป็นลูกโซ่ จนในที่สุดจึงเป็นพรรคเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยมีผู้นำที่มีทรัพยากรเป็นคีย์แมนควบคุมพรรค
พรรคเคยตกต่ำหลังเลือกตั้ง ปี ค.ศ. 2018 แต่ก็ปรับตัวได้เร็วเมื่อเทียบกับพรรคใหม่ด้วยกัน แต่พรรคยังคงมีปัญหาว่าจะรักษาความสำเร็จไว้ในระยะยาวได้อย่างไร อนาคตของพรรคขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในการเป็นรัฐบาลและการเปลี่ยนแปลงผู้นำที่จะมาถึง
ด้านผู้ลงคะแนนในพรรคส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนที่มีความไม่พอใจระบบการเมืองเดิม จากการศึกษาของพาสซาเรลลีและตัวออโต (Passarelli & Tuorto, 2018) พบว่า ผู้ลงคะแนนให้พรรคกว่า 40% มีความไว้วางใจในสมาชิกรัฐสภาต่ำ และ 60% ไม่ไว้วางใจพรรคการเมือง นอกจากนั้นยังไม่ไว้วางใจผู้นำการเมืองตามผลงานการเป็นรัฐบาลและการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ความไม่พอใจของคนที่ลงคะแนนให้พรรคในเรื่องต่าง ๆ ดังกล่าวจะแสดงออกมาอย่างชัดเจนมากกว่าคนที่ไม่ลงคะแนนให้พรรค
สรุปว่า พรรคขบวนการห้าดาวเริ่มต้นจากระบบการมีเจ้าของ เปลี่ยนเป็นระบบแฟรนไชส์ และเป็นพรรคที่มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง การเป็นพรรคดิจิทัลกระทำโดยการอาศัยแพลตฟอร์มติดต่อกับสมาชิกพรรคและผู้สนใจ รวมทั้งใช้เป็นแหล่งจุดกระแสความสนใจทางการเมือง และนำมาเป็นประเด็นเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยการเรียกร้องให้เกิดการลงประชามติในเรื่องต่าง ๆ
3. กระแสตีกลับพรรคดิจิทัลของประเทศไทย
สำหรับประเทศไทย พรรคการเมืองต่าง ๆ น่าจะยังไม่ได้พัฒนาไปสู่พรรคดิจิทัล ยกเว้นพรรคประชาชน เนื่องจากแต่ละพรรคยังมีปัญหาภายในให้ต้องแก้ไขก่อน และน่าจะยังไม่ได้คิดถึงการพัฒนาพรรคไปสู่การเป็นพรรคดิจิทัลในระยะยาว ดังนี้
(1) พรรคประชาธิปัตย์ : น่าจะอยู่ในช่วงคับขัน เพราะว่าหัวหน้าพรรคลาออก เนื้อความในหนังสือลาออกอ้างเหตุสุขภาพ แต่เบื้องหลังอาจเป็นเพราะหัวหน้าทนแบกรับรายจ่ายไม่ไหว ประกอบกับไม่ได้เป็นรัฐบาลแล้ว มิหนำซ้ำ คนรองลงไปก็เล่นบทเกินตัว ทั้งกระแสพรรคไม่ดี
“อาจารย์บูแห่งเมืองสงขลา” ร้องเพลง “สาละวันเตี้ยลง” เสร็จแล้วแกร้องท่อนใหม่ด้วยการตะโกนเสียงดังที่สุดในชีวิตว่า “สาละวันลุกขึ้น ๆ ๆ” เพื่อหวังว่าจะมีคนมากอบกู้พรรค ถึงยังไง “น้าชวน” แกก็ไม่หนีอยู่แล้ว
(2) พรรคเพื่อไทย : สถานการณ์น่าจะย่ำแย่ไม่น้อย นายหญิงเข้าพรรค แล้วพูดประโยคทองว่า “สู้ ๆ นะคะ” ความหมายก็คือ อย่าเพิ่งทิ้งพรรค ตอนนี้นายใหญ่ติดธุระ ไม่นานก็จะกลับ ข่าวกระเซ็นกระสายมาตั้งแต่ยุค “หลังอังเคิล” (Post-Uncle Era) แล้วว่า “อีสานใต้เสียงทรุด” ไฟลามเลียเผาคะแนนเสียงพรรคในภาคอีสานไปทั่ว
ก่อนนายใหญ่ไปธุระ มีคนเข้าไปกราบลานายใหญ่ กราบเสร็จนายใหญ่ให้พรว่า “ออกไป ยังไงก็แพ้”
คนกราบรู้ดีว่า สมัยก่อนหาเสียงโดยไม่มีทักษิณไม่ได้ แต่ยุคหลังอังเคิลตรงกันข้าม หาเสียงโดยมี “อุ๊งอิ๊ง” ไม่ได้ ส่วนทักษิณก็เปรียบเหมือน “เพลงมนต์รักทรานซิสเตอร์” สมัยไอ้ขวัญกับอีเรียม
(3) พรรคภูมิใจไทย : เป็นพรรคพิลึก ไม่เน้นทำงานเชิงรุก ถนัดเชิงรับไปเรื่อย ๆ แต่ขออยู่นาน ๆ แบบสายัณห์ สัญญา ขอรับบทเป็น “พระรอง” (struct in the middle) ไม่ออกแสงมากอยู่แบบวับ ๆ แวม ๆ
(4) พรรคกล้าธรรม : เน้นภาษิตเรื่องใจใหญ่ใจนักเลง มีสโลแกนว่า “ใจถึงพึ่งได้” ที่สุดแห่งยุค เล่นการเมืองเหมือนเล่นไพ่เก้าเก คุณเกมาห้าบาท ผมเกกลับไปห้าร้อยบาท ถ้าคุณไม่สู้ ก็หมอบไป ว่าแล้วก็รวบ “ไต๋” กองกลางไปกิน แต่ถ้าสนามไหนเจอคนใจถึงเหมือนกัน สนามนั้นก็เกิดการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม โดย ก.ก.ต. กินก๋วยเตี๋ยว
(5) พรรคลุงป้อม : อาศัยบารมีผู้นำ แต่แผ่วปลาย พรรคทำท่าว่าจะแตกนานแล้ว แต่ไม่แตกสักที คนไม่เคยคิดสักนิดว่าจะโตขึ้นมาได้ กระนั้น ลุงป้อมกลับดูดส.ส.เก่าเข้าไปร่วมห้าหกสิบคน แม้มีข่าวร้ายมาสู่พรรคเพียงใด ลุงป้อมก็ยังขยันขยับอยู่ไม่หยุด
พรรคการเมืองไทยที่พัฒนาเป็นพรรคดิจิทัลไปไกลกว่าเพื่อน น่าจะได้แก่ พรรคประชาชน ซึ่งค่อย ๆ พัฒนาจากพรรคมีเจ้าของ ไปเป็นพรรคแฟรนไชส์ แล้วก็พรรคเคลื่อนไหวทางการเมือง มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับพรรคขบวนการห้าดาวในอิตาลี
ที่จริงการเคลื่อนไหวทางการเมืองผูกติดกับพรรคมาตั้งแต่เริ่มต้น เพราะฐานพรรคมาจากนักศึกษาและเยาวชน อาจารย์และชนชั้นกลาง ทั้งยังจัดว่ากลุ่มที่เข้ามามีส่วนร่วมเป็นกลุ่มที่มีคุณภาพระดับสูง ดังที่มีบางคนกล่าวว่า “เป็นพรรคที่มีนักศึกษาและอาจารย์เป็นหัวคะแนนตามธรรมชาติ”
พรรคประชาชนอาศัยระบบดิจิทัลอย่างหลากหลาย ทั้งแพลตฟอร์มของตัวเอง และการจงใจส่งคนเก่ง ๆ ของพรรคไปออกทีวีออนไลน์เพื่อดีเบตแสวงหาคะแนนนิยม และที่ขาดไม่ได้ในปัจจุบัน คือ การจุดกระแสเพื่อสร้างนโยบายและการเคลื่อนไหวทางการเมือง ทั้งนี้ เพื่อระดมการมีส่วนร่วมและความนิยมทางการเมือง
การจุดกระแสดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์การเมืองคล้ายกับพรรคขบวนการห้าดาว ตรงที่อาศัยความไม่พอใจต่อนักการเมืองและระบบการเมืองเดิม ด้วยการชูเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองให้ก้าวหน้า เน้นที่การเพิ่มสิทธิเสรีภาพและการจัดสวัสดิการสังคม วางตำแหน่งพรรคเป็นพรรคเสรีนิยม (liberalism) คล้ายกับพรรคดิโมแครตของสหรัฐอเมริกา
แต่ปัญหา คือ การจุดกระแสของพรรคอาจกระทบกระเทือนต่อกลุ่มคนและสถาบันที่มีอำนาจอยู่เดิม จึงเกิดแรงต้านต่อแนวทางการเปลี่ยนแปลงเชิงรุกของพรรค ซึ่งดูเหมือนจะรวดเร็วเกินไป
พรรคจึงถูกยุบแล้วยุบอีก เหมือน “ลูกฟุตบอล” โดนเตะทั่วสนาม แต่ยังยืนหยัดเป็น “ลูกเด้ง” อยู่ได้ กระแสทำท่ามาดีเหมือนเคย
เพียงแต่ยุค “หลังอังเคิล” กระแสน่าจะตีกลับจากกระแสที่ตัวเองจุดเอาไว้ 2 กระแส
กระแสแรก ได้แก่ “ทหารมีไว้ทำไม”
เพราะเมื่อเกิดสงครามห้าวันระหว่างไทยกับกัมพูชา แสดงให้เห็นว่าทหารมีความจำเป็นในการรักษาความมั่นคงและอธิปไตย อาจเลยไปถึงการกำหนดทิศทางการแก้ไขปัญหาชายแดน ซึ่งน่าจะทำได้ดีกว่ารัฐบาลที่ดูเหมือนจะไม่ประสีประสาและคนไม่ศรัทธา ความนิยมต่อทหารจึงกลับมา และกลายเป็นกระแสที่ย้อนกลับมาตอบโต้ต่อกระแส “ทหารมีไว้ทำไม”
กระแสที่สอง ได้แก่ “การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ”
พรรคประชาชนจุดกระแสการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับขึ้นมา โดยอ้างว่าสาเหตุที่ต้องแก้ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 มาจากการรัฐประหาร
แต่ปัญหาอยู่ที่พรรคประชาชนไม่ระบุว่า ต้องการแก้ไขอะไรให้ชัดเจน กลับพยายามไปฝากอนาคตการแก้ไขไว้กับสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ ส.ส.ร. ซึ่งไม่แน่นอนและเป็นการเมือง
ทำให้เกิดกระแสตีกลับ เช่น มีนักวิชาการเสนอข้อมูลให้สังคมไทยเห็นว่ารัฐธรรมนูญญี่ปุ่น ก็ถูกร่างโดยสหรัฐอเมริกาและอยู่ได้มาตลอด โดยไม่ได้มีปัญหาเรื่องที่มาแต่อย่างใด
ดังนั้น การอ้างว่าต้องแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับเพราะมาจากการรัฐประหาร จึงเป็นการกระทำเชิงสัญลักษณ์ (symbolic action) คือ ทำเพื่อหวังสร้างชื่อเสียงและคุณค่าให้กับพรรคตัวเอง โดยตอบไม่ได้ว่าจะแก้ไขอะไร หรือไม่กล้าตอบ เช่น ใจจริงพรรคประชาชนอาจต้องการยุบศาลรัฐธรรมนูญ ยุบสว. หรือยกเลิกมาตรฐานจริยธรรมนักการเมือง หรือเปลี่ยนมาเป็นระบบรัฐสภามีอำนาจสูงสุดและควบคุมกันเอง แต่พรรคประชาชนไม่กล้าพูด ทั้งที่สามารถเสนอขอแก้ไขเป็นรายประเด็นได้อยู่แล้ว และสามารถใช้เสียงประชาชนลงประชามติได้ว่าประชาชนจะยินยอมให้แก้ไขหรือไม่ โดยไม่ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
นอกจากนั้น ยังมีปัญหาตรงที่พรรคประชาชนไม่กล้าเป็นรัฐบาล ทั้งที่เป็นพรรคที่มีเสียงมากที่สุด 140 กว่าเสียง เพียงแต่พรรคไม่มีรายชื่อคนเป็นนายกรัฐมนตรี จึงไม่สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ การไม่กล้าเป็นรัฐบาล เพียงเพราะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี จึงดูเหมือนพรรคประชาชนจะเล่นการเมืองเอาเปรียบพรรคอื่น เพราะเท่ากับวางเงื่อนไขว่าต้องได้เป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น จึงจะเข้าไปเป็นรัฐบาล
พรรคประชาชนใช้แท็กติกส์เข้าร่วมเป็นพรรครัฐบาลครึ่งตัว คือ หนุนพรรคภูมิใจไทยจัดตั้งรัฐบาล แต่ขอเป็นฝ่ายค้าน โดยมีลักษณะพิเศษตรงที่ประกาศว่าจะจับจ้องคอยล้มรัฐบาล หากพรรคภูมิใจไทยไม่ยุบสภาตาม MOA ในสี่เดือน
ในต่างประเทศ การมีฝ่ายค้านหนุนรัฐบาลไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่ว่าในต่างประเทศไม่มีการประกาศบีบบังคับให้พรรครัฐบาลทำตาม MOA หากไม่ทำตาม MOA จะล้มรัฐบาลเหมือนไทย
แม้ว่าการบังคับให้พรรครัฐบาลเซ็น MOA ไม่เป็นการทำสัญญาสองฝ่าย เพราะศาลปกครองสูงสุดไทยเคยวางแนวคำพิพากษาว่า MOU ไม่ใช่สัญญาทางปกครอง เป็นเพียงข้อตกลงกันเองที่ไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายให้ต้องปฏิบัติตาม
ส่วนในแง่กฎหมายรัฐธรรมนูญ การทำ MOA ก็ไม่น่าจะผิดรัฐธรรมนูญ เพราะไม่ใช่การบีบบังคับ ส.ส., สว. ให้ต้องอยู่ใต้อาณัติ จนกระทั่งส.ส., สว. ขาดความเป็นอิสระ หากแต่เป็นเรื่องที่สองพรรคยินยอมพร้อมใจกัน อีกทั้งยังไม่มีการกระทำ คือ ไม่ปรากฏว่าเกิดการกระทำตาม MOA ที่ก่อให้เกิดผลเสียหายต่อผลประโยชน์สาธารณะ
ยกเว้นเรื่องเดียว คือ พรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทยไปร่วมกันแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับโดยขัดต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจเป็นเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญโดยมิชอบ ไม่ใช่เรื่อง MOA โดยตรง เพียงแต่ที่มาของการกระทำความผิดดังกล่าวเริ่มต้นมาจาก MOA
อย่างไรก็ตาม การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้จริง
ข้อที่น่าคิด คือ ถ้าหากการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับไม่ผ่านประชามติตั้งแต่ขั้นตั้งคำถามว่า “จะให้แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับหรือไม่” จะมีผลกระทบต่อความนิยมต่อพรรคประชาชนขนาดไหน
ถึงขั้นที่ความก้าวหน้าของพรรคประชาชนเสื่อมลงในยุคหลังอังเคิลเหมือนพรรคเพื่อไทย โดยมีสาเหตุจากปัญหาผู้นำ และการเลือกจุดการสร้างกระแสผิดพลาด จนกลายเป็นกระแสตีกลับต่อตัวเอง ขณะเดียวกัน กระแสดิจิทัลเองกลับเปิดเผยข้อมูลข่าวสารกว้างขวาง จนทำให้คนไทยเข้าใจความจริงมากขึ้น หรือไม่นั้น ก็น่าติดตามดู

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา