
"...เพราะฉะนั้นจะเห็นว่า ส่วนที่เป็นสารัตถะของหลักสูตรจริงๆ ซึ่งจะเป็นหน้าที่ของผู้ดำเนินการ (คือสำนักงานศาลยุติธรรม) โดยตรง คือการจัดการเรียนการสอนและการสัมมนาในห้องเรียนจำนวนประมาณ 44-45 ครั้ง ครั้งละ 3 ชั่วโมง ทั้งนี้เนื่องจากการศึกษาดูงานเป็นเรื่องที่จัดตามความเหมาะสมได้ ส่วนการศึกษาจัดทำเอกสารส่วนบุคคลก็จะเป็นความรับผิดชอบของผู้เข้าอบรมแต่ละคนเป็นสำคัญ..."
ตามที่สำนักข่าวอิศราได้เผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับการที่ท่านผู้พิพากษาในศาลฎีกาสองท่านมีบันทึกข้อความถึงท่านประธานศาลฎีกาขอให้ยกเลิกโครงการอบรมผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง หรือ บ.ย.ส. ด้วยเหตุผลทางด้านความเสี่ยงต่อความเป็นกลางและความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของท่านผู้พิพากษา และเรื่องนี้ ส.ส. พรรคประชาชนท่านหนึ่งได้นำไปอภิปรายในสภาฯในระหว่างการพิจารณางบประมาณปี 2569 ความทราบแล้วนั้น ผู้เขียนในฐานะที่เคยมีส่วนร่วมโดยตรงในการพิจารณาเรื่องในทำนองเดียวกันนี้เมื่อเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา จึงอยากมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่งโดยเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาเกี่ยวกับความเหมาะสม
เมื่อต้นปี 2559 ขณะที่ผู้เขียนยังเป็นกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมผู้ทรงคุณวุฒิคนนอกอยู่ ก็ได้มีเรื่องขอให้ ก.ต. ทบทวนวิธีการบริหารหลักสูตร บ.ย.ส.อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมีทั้งประเด็นให้ยกเลิกโครงการนี้ไปเลย หรือให้ลดขนาดของโครงการและประเภทของบุคคลที่จะเข้าอบรม ท่านประธานศาลฎีกาในขณะนั้นจึงตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่งให้ศึกษาเพื่อเสนอความเห็นเพื่อช่วยในการตัดสินใจของท่านประธานศาลฎีกาและ ก.ต. ผู้เขียนก็เป็นหนึ่งในคณะอนุกรรมการชุดนี้ โดยได้มีการประชุมกันหลายครั้งและได้เชิญนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกหลายคนมาให้ความเห็น รวมทั้งความเห็นของคณะกรรมการผู้จัดการอบรมด้วย ผู้เขียนไม่ทราบว่ารายงานสุดท้ายที่ส่งไปให้ท่านประธานศาลฎีกาเป็นเช่นใด และท่านได้ตัดสินใจอย่างไร เพราะผู้เขียนได้หมดวาระออกมาเสียก่อน แต่เข้าใจว่าคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนักเพราะยังเห็นโครงการอบรมนี้ยังมีอยู่ในปัจจุบัน ในส่วนบทบาทของผู้เขียนเอง นอกจากการถกเถียงกันในห้องประชุมแล้ว ได้ทำเอกสารขึ้น 2 ชิ้น ชิ้นหนึ่งเป็นบทความว่าด้วยแนวความคิดเกี่ยวกับการปรับปรุงสารัตถะของโครงการ บ.ย.ส. และอีกชิ้นหนึ่งเป็นบันทึกข้อความถึงท่านประธานคณะอนุกรรมการเพื่อแสดงความเห็นเพิ่มเติมจากผลการประชุมของคณะอนุกรราการดังกล่าว
ผู้เขียนขออนุญาตที่เผยแพร่เอกสารทั้ง 2 ชิ้นนี้โดยจะมีความเห็นเพิ่มเติมแต่อย่างใด โดยจะขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาจากข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว ว่ายังจะเป็นประโยชน์ในการพิจารณาเรื่องนี้ในขณะนี้อีกหรือไม่
แนวคิดเกี่ยวกับการปรับปรุงสารัตถะของหลักสูตรการบริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.)
1. บทนำ
ผลงานการวิจัยเรื่อง “เครือข่ายผู้บริหารระดับสูงผ่านเครือข่ายทางการศึกษาพิเศษ” ของอาจารย์นวลน้อย ตรีรัตน์ และอาจารย์ภาคภูมิ วาณิชกะ แห่งคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปลายปี 2555 ที่วิพากษ์วิจารณ์ลักษณะและผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของบรรดาหลักสูตรระยะสั้นสำหรับผู้บริหารระดับสูงที่จัดโดยองค์กรอิสระและหน่วยงานของรัฐหลายแห่ง ว่าเป็นการส่งเสริมให้บุคคลชั้นนำที่มีบทบาทสำคัญในทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองดังกล่าวของไทยได้มารวมตัวกันทำความรู้จักกันเพื่อเป็นเพื่อนร่วมรุ่นหรือพวกเดียวกัน มิได้มีผลในการสร้างประโยชน์ต่อสาธารณะตามที่กล่าวอ้าง แต่เป็นการทำให้โครงสร้างอำนาจมีการกระจุกตัว เป็นการสร้างเงื่อนไขที่เอื้อต่อการใช้อภิสิทธิ์โดยอาศัยความสัมพันธ์ส่วนบุคคล ไม่สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล ที่จะต้องมีความโปร่งใสในกระบวนการทำงานของภาครัฐ มีความเป็นธรรม กับคนทุกกลุ่มและมีการตรวจสอบ ถ่วงดุลอำนาจ
การนำเสนอผลงานวิจัยดังกล่าวของอาจารย์นวลน้อย ตามที่ต่างๆ ทำให้เกิดการตรวจสอบและถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในสื่อต่างๆ แต่ก็ไม่มีผลต่อการจัดและดำเนินการหลักสูตรดังกล่าว แต่อย่างใด แต่กลับมีหลักสูตรใหม่ๆ จัดโดยองค์กรต่างๆ ของภาครัฐ เพิ่มขึ้นในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านด้วยซ้ำ จนกระทั่งเมื่อปลายปี 2558 ที่ผ่านมา ได้มีความพยายามของนักการเมืองท่านหนึ่ง คือนายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ ที่จะเสนอให้พลเอก ประยุทธิ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 ยุบเลิกหลักสูตรต่างๆ เหล่านี้ ด้วยเหตุของการสิ้นเปลืองงบประมาณและการสร้างเครือข่าย (connections) ที่มิได้เป็นผลประโยชน์ที่แท้จริงของประเทศ (คล้ายๆ กับ ที่อาจารย์นวลน้อย และอาจารย์ภาคภูมิ ได้กล่าวไว้) ความสนใจของสังคมในเรื่องนี้จึงได้ถูกกระพือขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ในฐานะที่หลักสูตรการบริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) เป็นหนึ่งในหลักสูตรที่เข้าข่ายเป็นหนึ่งในหลายๆ หลักสูตร ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ข้างต้น ท่านประธานศาลฎีกา ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบสูงสุดของศาลยุติธรรมทั้งหมดและของสำนักงานศาลยุติธรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรงในการบริหารจัดการหลักสูตรดังกล่าว ก็มีความเป็นห่วงกังวลว่าหลักสูตรนี้ ซึ่งเปิดดำเนินการมาแล้วถึง 20 ปี (ก่อนหลักสูตรในทำนองเดียวกับอื่นๆ เกือบทั้งหมดจะมียกเว้นก็แต่หลักสูตรของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (ว.ป.อ.) เท่านั้น) จะตกอยู่ในข่ายของการถูกวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่า จึงได้มีดำริในการประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) เมื่อต้นเดือนมกราคม 2559 ให้ทบทวนตรวจสอบความเหมาะสมหลักสูตร บ.ย.ส. ทั้งระบบ โดยตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่ง เพื่อทำการศึกษาหาข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุง (หรือยกเลิกหากจำเป็น) หลักสูตรดังกล่าว
คณะอนุกรรมการชุดนี้ซึ่งมีท่านลาชิต ไชยอนงค์ อธิบดีศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เป็นประธานได้ประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2559 และได้ตกลงที่จะพิจารณาประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการหลักสูตร บ.ย.ส. ของสำนักงานศาลยุติธรรม อย่างครบวงจร ตั้งแต่การพิจารณาถึงความเหมาะสมและความจำเป็นของการจัดหลักสูตรดังกล่าว กฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดหลักสูตร หลักเกณฑ์และวิธีการรับผู้เข้ารับการอบรม สารัตถะหรือเนื้อหาสาระของหลักสูตร การบริหารจัดการด้านงบประมาณ และการประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตร โดยคาดว่าจะใช้เวลาในการศึกษาเพื่อเสนอข้อแนะนำประมาณ 2 เดือน
ผู้เขียนเป็นกรรมการคนหนึ่งในคณะกรรมการชุดนี้ ได้ขออาสาที่จะเสนอแนวคิดเกี่ยวกับสารัตถะของหลักสูตร เพื่อการพิจารณาของคณะอนุกรรมการฯ
2. วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของหลักสูตร
สารัตถะหรือเนื้อหาสาระของหลักสูตรย่อมมีความสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับวัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายของหลักสูตรว่า ผลที่จะเกิดขึ้นจากการศึกษาอบรมในหลักสูตรนี้คืออย่างไร? ในเรื่องนี้ หลักการและเหตุผลของหลักสูตร บ.ย.ส. รุ่นที่ 20 หรือรุ่นที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน (กย 2558 –กค 2559) ได้สรุปไว้ว่า
1.“เพื่อเสริมสร้างพัฒนาองค์ความรู้ให้แก่องค์กรต่างๆ ในกระบวนการยุติธรรม องค์กรต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ ตลอดจนองค์กรต่างๆ หรือภาครัฐ และเอกชนที่มีบทบาทในการส่งเสริมสนับสนุนการอำนวยความยุติธรรม ให้แก่ประชาชนตามกฎหมาย” และ
2.”เพื่อให้องค์กรเหล่านี้มีโอกาสแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ ความคิด ประสบการณ์ ตลอดจนสร้างเครือข่ายประสานการทำงานร่วมกันอย่างมีเอกภาพโดยมีเป้าหมายที่จะทำให้ประชาชนเสมอกันในกฎหมายได้รับความคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ และความยุติธรรม ตามกฎหมายเท่าเทียมกัน สร้างฐานสังคมให้มีคุณธรรม เกิดความมั่นคง สันติสุข ปลอดจากภัยคุกคามของอาชญากรรม และการคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบ
จากหลักการและเหตุผลสำคัญ 2 ประการข้างต้น ผู้บริหารหลักสูตรได้จัดหลักสูตรที่ประกอบด้วย
(1) การอบรมในห้องเรียน
(2) การศึกษาดูงาน
(3) การจัดทำเอกสารวิชาการส่วนบุคคล
วิธีการนับสัดส่วนของเวลาหรือกิจกรรมทั้ง 3 นี้จะแตกต่างกันไปในการอบรมแต่ละปี แต่โดยทั่วๆไปจะแบ่งเป็นการเรียน การสอน และการสัมมนา ในห้องเรียนประมาณ 22 สัปดาห์ (สัปดาห์ละ 1 วัน วันศุกร์วันละ 6 ชั่วโมง) หรือจำนวนการบรรยาย บวกสัมมนา 44 ครั้ง ส่วนการศึกษาดูงานนั้นมี 3 ครั้ง คือการศึกษาดูงานส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และต่างประเทศ รวมเวลาทั้งสิ้นประมาณ 25 วัน ส่วนการทำเอกสารวิชาการส่วนบุคคลนั้น น่าจะถือเป็นส่วนประกอบของกิจกรรม 2 กิจกรรมแรก และคงกำหนดเวลาชัดเจนไม่ได้ยกเว้นแต่การนำเสนอผลงานของการศึกษาของแต่ละคนต่อผู้ร่วมอบรม และคณะผู้ประเมินผล ซึ่งจะใช้เวลาคนละไม่เกิน 30 นาที
เพราะฉะนั้นจะเห็นว่า ส่วนที่เป็นสารัตถะของหลักสูตรจริงๆ ซึ่งจะเป็นหน้าที่ของผู้ดำเนินการ (คือสำนักงานศาลยุติธรรม) โดยตรง คือการจัดการเรียนการสอนและการสัมมนาในห้องเรียนจำนวนประมาณ 44-45 ครั้ง ครั้งละ 3 ชั่วโมง ทั้งนี้เนื่องจากการศึกษาดูงานเป็นเรื่องที่จัดตามความเหมาะสมได้ ส่วนการศึกษาจัดทำเอกสารส่วนบุคคลก็จะเป็นความรับผิดชอบของผู้เข้าอบรมแต่ละคนเป็นสำคัญ
3. ขอบเขตขององค์ความรู้ที่เหมาะสมของกระบวนการยุติธรรม
มี 2 แนวคิดที่จะตีความหรือการให้ความหมายของคำว่า “กระบวนการยุติธรรม” ในแนวคิดแรกนั้นคำว่า กระบวนการยุติธรรม น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของระบบใหญ่ของประเทศหรือสังคมที่เราเรียกว่า “ระบบยุติธรรม” (Justice system) ซึ่งจะประกอบด้วย เหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นจากการกระทำความผิดตามกฎหมาย ข้อห้าม หรือระเบียบปฏิบัติต่างๆ ที่มีอยู่และเป็นที่เข้าใจและปฏิบัติกันโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการกระทำความผิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายหรือเดือดร้อนต่อชีวิตหรือทรัพย์สิน หรือความเป็นอยู่โดยสงบของผู้หนึ่งต่ออีกผู้หนึ่ง (ความผิดทั้งทางอาญาและทางแพ่ง) โดยที่กระบวนการยุติธรรมจะเริ่มต้นตั้งแต่ (1) การรับรู้ของการกระทำความผิด (acknowledgment and report of crimes and misconducts) การสืบสวน/สอบสวนหาผู้กระทำความผิด และ/หรือ ลักษณะของความผิด (investigation processes) การฟ้องร้องตามกฎหมาย (due process of law) การพิจารณาตัดสินคดีของศาล (court decisions) การลงโทษ (punishment and corrections) และเยียวยาหรือติดตามผลในตอนท้ายสุด (post-corrections activities) อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีการกล่าวถึงกระบวนการยุติธรรมในประเทศใดหรือระบบใดก็ตามมีความจำเป็นที่ผู้ศึกษาหรือผู้เข้ารับการอบรมจะต้องรู้ถึง หรือเข้าใจตรงกัน ในประเด็นที่จะต้องมาก่อนขั้นตอนหรือรายละเอียดของกระบวนการยุติธรรมที่กล่าวถึงข้างต้น ประเด็น 2 ประเด็นที่ว่านี้คือ (1) รูปแบบของรัฐและการใช้อำนาจรัฐในการปกครองในระบบต่างๆ (ซึ่งในที่นี้คงไม่มีความจำเป็นต้องกล่าวถึงระบบการปกครองอื่นๆ นอกจากระบบประชาธิปไตย) และ(2) ปรัชญาแห่งกฎหมายและการใช้กฎหมาย
สำหรับแนวคิดที่ 2 นั้น เนื่องจากหลักสูตรนี้เป็นหลักสูตรขององค์อำนาจทางตุลาการ ผู้จัดอาจจะสนใจครอบคลุมเฉพาะหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับงานการฟ้องร้องคดี และการพิจารณาคดีของศาลบวกกับความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างการปกครองและปรัชญาทางกฎหมาย ก็จะลดเวลาของการศึกษาอบรมลงได้ครึ่งหนึ่ง (4 หัวข้อจาก 8 หัวข้อ) หรืออาจจะดำเนินการทั้ง 2 หลักสูตรเลยก็ได้โดยสลับกันปีละครั้ง หรือจะจัด 2 หลักสูตรเลยก็ได้
ในที่นี้ ผู้เขียนจะกล่าวถึงสารัตถะ ของแนวคิดแนวที่หนึ่ง ซึ่งยากกว่าและครอบคลุมกว่า โดยหัวข้อการบรรยายในห้องเรียนทั้ง 8 หัวข้อ จะประกอบด้วยเนื้อเรื่องดังนี้
1.ทฤษฎีการเกิดแห่งรัฐและการใช้อำนาจรัฐ
- แนวคิดทางรัฐศาสตร์
- แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์
- ระบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ปรัชญาการแบ่งแยกอำนาจและการถ่วงดุลอำนาจ
- สิทธิและหน้าที่ของประชาชน กับรัฐ (1สัปดาห์)
2.ปรัชญาแห่งกฎหมายและการใช้กฎหมาย
- กฎหมายกับความเป็นธรรม
- แนวคิดกฎหมายคือการใช้อำนาจของรัฐ (John Austin) การแยกกันระหว่างความรู้สึกทางศีลธรรมของคนกับกฎหมาย (morality and laws concept of H.L.A Hart)
- แนวคิดกฎหมายกับหลักความยุติธรรมของสังคม (Dworkin Concept)
- แนวคิดการใช้กฎหมายในบริบทของสภาวะแวดล้อม (Law in context)
- แนวคิดอื่นๆ ที่จะทำให้และเข้าใจกฎหมายได้อย่างถูกต้อง
- ความเชื่อมโยงระหว่างกฎหมายกับเศรษฐศาสตร์ (หรือนิติเศรษฐศาสตร์) (3สัปดาห์)
3.การรับรู้ของการกระทำความผิด
- ระบบการรายงานหรือร้องเรียน (ตำรวจ,องค์กรอิสระ, อัยการ) ในคดีประเภทต่างๆ ทั้งในทางแพ่งและอาญา
- กระบวนการรายงาน (2 สัปดาห์)
4.กระบวนการสืบสวน สอบสวนเกี่ยวกับความผิด
- ตำรวจ
- องค์กรอิสระ
- อัยการ (2 สัปดาห์)
5.การฟ้องร้องและการเข้าสู่กระบวนการพิจารณาความผิด/ถูก
- ข้อดี ข้อเสียของระบบกล่าวหา กับระบบไต่สวน
- อำนาจในการฟ้องร้อง
- การประนีประนอมความขัดแย้ง และการต่อรองความผิด (2 สัปดาห์)
6.การพิจารณาและตัดสินคดีของศาล
- ลักษณะและโครงสร้างของระบบศาล
- เงื่อนไขสำคัญของการทำงานของศาล เช่นความมีอิสระทั้งทางการใช้ดุลพินิจ และความคล่องตัวทางการเงิน
- ประเด็นทางด้านประสิทธิภาพของการทำงานของศาล
- ประเด็นทางด้านการอำนวยความยุติธรรม (4 สัปดาห์)
7.การลงโทษ
- ปัญหาด้านการคุมขัง สิทธิและสวัสดิการของผู้ถูกลงโทษ
- ปัญหาทางด้านการชดใช้ความเสียหายและผลในทางสังคม
- การลงโทษโดยรัฐ และโดยเอกชน
- รูปแบบของการลงโทษที่เหมาะสม (2 สัปดาห์)
8.สภาวะภายหลังการลงโทษ
- การกระทำผิดซ้ำอีก
- ผลของการลงโทษในมุมมองทางเศรษฐศาสตร์ สังคม การเมือง และวัฒนธรรม
- ผลในทางการป้องปราม (deterrence effects) ต่อการกระทำผิด (3สัปดาห์)
9.หัวข้ออื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
- ความรู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์ สังคม และการเมือง (3 สัปดาห์)
10.สัมมนาของหลักสูตร
- การนำเสนอโดยนักศึกษา
- การอภิปรายโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (4 สัปดาห์)
รวมชั่วโมงการบรรยาย การสัมมนาทั้งหมด 26 สัปดาห์ ที่เหลือจากนี้คือการดูงานและการใช้เวลาเกี่ยวกับการทำเอกสารส่วนบุคคล
เพื่อให้เกิดเอกภาพของหลักสูตรจะต้องมีบุคคลหรือคณะบุคคลที่มีหน้าที่ในการควบคุมหลักสูตรให้อยู่ในกรอบและมีความต่อเนื่อง เชื่อมโยง ให้มากที่สุด การเชิญวิทยากรมาให้พูดเรื่องอะไรก็ได้ อาจจะได้ประโยชน์บางอย่าง แต่อาจไม่เป็นไปตามโครงสร้างแห่งประโยชน์ของหลักสูตรนี้ เพราะฉะนั้นจะต้องมีความชัดเจนและให้อยู่ในกรอบ
หากจะมีการดำเนินการตามแนวคิดที่สองหัวข้อในการบรรยายและสัมมนา ก็จะลดลงเหลือแค่ หัวข้อ (1) (2) (5) (6) (9) และ (10)
4. บทสรุป
หากการกำหนดขอบเขตและการบริหารหลักสูตรทำได้เช่นนี้ ประโยชน์ตามที่กำหนดไว้ในหลักการและเหตุผล ก็จะเกิดขึ้นอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย กล่าวคือ จะมีการสร้างและรับรู้ องค์ความรู้ (Corpus of knowledge) เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้องทันสมัย และเหมาะสมกับการทำงานของผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมของไทย และการถกเถียงในทางวิชาการ ในชั้นเรียน รวมถึง การสัมมนาในลักษณะต่างๆ จะทำให้มีการแลกเปลี่ยนความคิด และประสบการณ์ระหว่างผู้เข้ารับการอบรมอย่างทั่วถึง และบรรจุถึงวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ประกอบกับการบังคับต้องมีเอกสารวิชาการส่วนบุคคล ที่จะต้องมีตรวจสอบอย่างเข้มข้น จะเป็นเงื่อนไขที่จะรับประกันว่า งบประมาณจากภาษีอากรของประชาชนคนไทยจะถูกใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด
บทความโดย :
ศาสตราจารย์ ดร. เมธี ครองแก้ว




Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา