
"...อย่างไรก็ดี ทรัมป์ชอบที่จะทำดีลในแต่ละเรื่องเพื่อผลประโยชน์ (transactional diplomacy) มากกว่าจะเน้นรักษาความสัมพันธ์ระยะยาวแบบผูกพัน ถ้าฝ่ายกัมพูชามีข้อเสนอการทำดีลที่ให้ผลประโยชน์ตอบแทนสหรัฐฯ อย่างชัดเจน ( เช่น การให้ผลประโยชน์สหรัฐฯ มากกว่าจีน หรือการเปิดให้สหรัฐฯ เข้ามาใช้ฐานทัพในกัมพูชา) รัฐบาลทรัมป์ก็พร้อมจัด priority ให้ความสำคัญกับกัมพูชาเป็นอันดับต้น แม้จะมีความเสี่ยงที่จะกระทบความสัมพันธ์กับไทยในระยะยาว สำหรับทรัมป์ เป้าหมายหลัก คือ การดึงกัมพูชาออกจากจีน มากกว่าที่จะกังวลเรื่องความรู้สึกของไทย..."
ทำไมสหรัฐฯ ยื่นมือเข้ามามีบทบาทในความขัดแย้งไทย-กัมพูชาในครั้งนี้ สหรัฐฯ คาดหวังผลประโยชน์อะไรกันแน่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เข้ามาเล่นบท “นายใหญ่” สั่งการและข่มขู่ด้วยมาตรการภาษีสุดโหด เพื่อให้ทั้งคู่หยุดยิง นอกจากจะทำเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของการเป็นประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ ตามที่ทรัมป์ประกาศยกย่องตัวเอง (รางวัลโนเบลสันติภาพ คือ ความฝันใหญ่ของทรัมป์) แท้จริงแล้ว จะมีเหตุผลอื่นแอบแฝงอยู่อีกหรือไม่ กัมพูชาสำคัญแค่ไหนในสายตาทรัมป์ และโดยเปรียบเทียบแล้ว ไทยยังคงมีความสำคัญเหมือนเดิมหรือไม่ บทความนี้จะมาวิเคราะห์ในแต่ละประเด็น ดังนี้
ประเด็นแรก กัมพูชาสำคัญแค่ไหนในสายตาทรัมป์
เมื่อมองผ่านเลนส์ภูมิรัฐศาสตร์ และการแข่งขันอิทธิพลกับจีน กัมพูชามีความสำคัญมากขึ้นในสายตาของทรัมป์ ที่ผ่านมา กัมพูชามีความใกล้ชิดกับจีนอย่างแนบแน่น และแม้ว่ากัมพูชาจะเป็นรัฐขนาดเล็ก หากแต่มีทำเลที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์อ่าวไทย สามารถใช้เป็นจุดรองรับกำลังเรือและเชื่อมระบบขนส่งไปทะเลจีนใต้ รวมทั้งการเป็นแหล่งพลังงานทางทะเล สำหรับทรัมป์จะเน้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและความมั่นคง มากกว่าประเด็นประชาธิปไตยหรือสิทธิมนุษยชน จึงมีนโยบายต่อกัมพูชาที่แตกต่างกับรัฐบาลสหรัฐฯ ในสมัยก่อนหน้า
จีนเข้ามาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและด้านพลังงานในกัมพูชาหลายโครงการ รวมทั้งท่าเรือเรียมที่สามารถใช้เป็นฐานทัพเรือในการใช้ควบคุมเส้นทางเดินเรือ และใช้เพื่อปฏิบัติการทางทหารในอ่าวไทยและทะเลจีนใต้ สหรัฐฯ จึงมองว่าการลงทุนของจีนในกัมพูชาเหล่านี้ จะนำไปสู่การครอบงำเชิงโครงสร้าง (structural dominance) ของจีนในภูมิภาค หากปล่อยให้จีนครอบงำกัมพูชาเต็มที่ จะทำให้จีนมีฐานทัพ/ศูนย์ปฏิบัติการทางทหารในอ่าวไทย ซึ่งกระทบต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ และพันธมิตร
การเข้าหากัมพูชาของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ จึงเป็นการเจาะฐานอิทธิพลของจีน เพื่อลดความเสี่ยงและสกัดกั้นไม่ให้จีนผูกขาดจุดยุทธศาสตร์ด้านทะเลและพลังงานในภูมิภาคนี้
นอกจากนี้ แม้ว่ากัมพูชาจะเป็นแหล่งสแกมเมอร์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่เหตุผลที่ทรัมป์ยังคงสร้างสัมพันธ์กับกัมพูชา เนื่องจากผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจมีน้ำหนักมากกว่าปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ทรัมป์จึงเลือกจัดการแต่ละปัญหาแบบ “แยกส่วน” ออกจากประเด็นการเมืองและความมั่นคง เพื่อไม่ให้เสียโอกาสเชิงยุทธศาสตร์ ตราบใดที่กัมพูชายังมีคุณค่าทางยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจ ทรัมป์ก็พร้อมที่จะคบหาด้วย แม้ภาพลักษณ์ของกัมพูชาในบางมิติจะเป็นลบ
ทรัมป์มองว่า การยกระดับความสัมพันธ์กับกัมพูชาเป็นเรื่อง “เกมใหญ่” ระหว่างมหาอำนาจ ส่วนประเด็นประชาธิปไตย หรือสิทธิมนุษยชนหรือปัญหาสแกมเมอร์ ถือเป็นเพียง “เกมย่อย” ที่จัดการได้ในภายหลัง
ประเด็นที่สอง ยุทธศาสตร์การดึงพันธมิตรของฝ่ายตรงข้ามมาเป็นพวก
ภัยคุกคามอันดับหนึ่งของสหรัฐฯ คือ จีน สหรัฐฯ จึงใช้แนวทางการทูตปิดล้อม (Encirclement Diplomacy) ผ่านการสร้างเครือข่ายพันธมิตรปิดล้อมจีน เพื่อโดดเดี่ยวจีนหรือจำกัดอิทธิพลของจีน และความพยายามของรัฐบาลทรัมป์ในครั้งนี้เช่นกัน ก็เพื่อดึงกัมพูชาออกจากการครอบงำของจีน
การเดิมเกมของทรัมป์เพื่อดึงกัมพูชาออกจากวงโคจรของจีน ด้วยการใช้ “ยุทธศาสตร์การดึงพันธมิตรของฝ่ายตรงข้ามมาเป็นพวก” (หรือการทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียพันธมิตร) ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองและการทหารที่มุ่งลดทอนอำนาจของคู่แข่ง โดยการโน้มน้าวหรือบีบให้พันธมิตรของฝ่ายคู่แข่งสลับขั้วเปลี่ยนข้าง กลยุทธ์นี้อาจจะดำเนินการได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับบริบทและสถานการณ์ ทั้งในทางการทูต เศรษฐกิจ หรือแม้แต่การสงครามจิตวิทยา การที่สหรัฐฯ เข้าใกล้กัมพูชาที่เป็นพันธมิตรใกล้ชิดจีน ก็เพื่อส่งสัญญาณว่า จีนไม่สามารถผูกขาดอิทธิพลในกัมพูชาได้อีกต่อไป
รัฐบาลทรัมป์พร้อมที่จะทำดีล (deal-making) ผ่านเครื่องมือทางการค้าและความมั่นคง เพื่อที่จะดึงพันธมิตรของฝ่ายตรงข้ามมาเป็นพวก ในกรณีของกัมพูชา ทรัมป์ใช้วิธีการข่มขู่ว่าจะไม่เจรจาภาษีด้วย หากไม่ยอมหยุดยิงกับไทย และเมื่อกัมพูชายอมหยุดยิง ทรัมป์ก็ให้รางวัลด้วยการลดอัตราภาษีลงจากร้อยละ 49 เหลือร้อยละ 19 และทรัมป์ก็อาจจะแถมรางวัลพิเศษให้กัมพูชา เช่น การให้ความช่วยเหลือทางทหาร จากการที่กัมพูชาเป็น “เด็กดีและอวยเก่ง” ด้วยการเสนอชื่อทรัมป์เข้ารับรางวัลโนเบลสันติภาพ และการขึ้นภาพสรรเสริญเยินยอทรัมป์ติดบิลบอร์ดใหญ่ทั่วกรุงพนมเปญ
การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (พีท เฮกเซธ) จะไปเยือนกัมพูชา ยังสะท้อนนัยเชิงสัญลักษณ์ว่า กัมพูชาจะไม่ถูกสหรัฐฯ เมินอีกต่อไป จากเดิมที่กัมพูชาถูกจัดอยู่ใน “วงนอก” เพราะความใกล้ชิดจีน และทรัมป์ยังต้องการส่งสารตรงไปยังปักกิ่ง เพื่อให้เห็นว่า สหรัฐฯ พร้อมลงเล่นในเขตอิทธิพลของจีน
รมต.กลาโหมของสหรัฐฯ จะไปเยือนกัมพูชาในช่วงเวลาที่กัมพูชาจะเปิดฐานทัพเรือเรียม เพื่อให้เรือรบสหรัฐฯ เดินทางเข้าเทียบท่าเป็นครั้งแรก สหรัฐฯ และกัมพูชาอาจจะตกลงทำความร่วมมือทางทหารในรูปแบบต่างๆ ทั้งการฝึกร่วม การฝึกเจ้าหน้าที่ ไปจนถึงการให้ความช่วยเหลือด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อให้กัมพูชามีทางเลือกอื่นนอกจากจีน/ลดการผูกขาดของจีน
นอกจากนี้ ในวาระครบรอบ 75 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตสหรัฐ-กัมพูชา ยังมีกิจกรรมต่างๆ ระหว่างกองทัพกัมพูชาและสหรัฐฯ ที่ใกล้ชิดกันมากขึ้นด้วย เช่น คณะผู้แทนกองทัพกัมพูชา นำโดย ฮุนมานิต (น้องชายฮุนมาเนต) เดินทางไปเยือนกองบัญชาการอินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ (United States Indo-Pacific Command : USINDOPACOM) เป็นต้น
ประเด็นที่สาม การเดินเกมปรับดุลอำนาจในพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางทะเล
ในมุมมองด้านความมั่นคง พื้นที่ยุทธศาสตร์ทางทะเลมักจะเป็นสมรภูมิแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ การขยับของสหรัฐฯ ผ่านการผูกสัมพันธ์กับกัมพูชามากขึ้น จึงเป็นการปรับดุลอำนาจในพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางทะเล (Balance of Influence in Strategic Littoral Zones) และสะท้อนว่า มหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ จะไม่ยอมปล่อยให้พื้นที่ยุทธศาสตร์ทางทะเล คือ อ่าวไทยและทะเลจีนใต้ ตกอยู่ในอิทธิพลของจีนแต่เพียงฝ่ายเดียว
โดยเฉพาะฐานทัพเรือเรียม ในจังหวัดพระสีหนุ นอกจากจะมีความสำคัญทางเศรษฐกิจต่อกัมพูชาแล้ว ยังเป็นหนึ่งในหมากสำคัญในเกมภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก การที่จีนมาช่วยกัมพูชาพัฒนาท่าเรือแห่งนี้ ย่อมส่งผลกระทบระยะยาวต่อความมั่นคง และดุลอำนาจในภูมิภาค
รัฐบาลทรัมป์จึงเลือกกัมพูชาเป็น “ฐานยุทธศาสตร์ใหม่” ของสหรัฐฯ ในอินโดจีน เพื่อตอบสนองผลประโยชน์ด้านความมั่นคง ในขณะที่ รัฐบาลกัมพูชาภายใต้ฮุนมาเนต ก็พร้อมตอบสนองความต้องการของสหรัฐฯ อย่างเต็มที่ (ยอมหักหลังจีน สลับขั้วมาคบกับสหรัฐฯ)
การขยับของมหาอำนาจในพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางทะเล จึงมีกัมพูชาเป็น “ตัวแปร” สำคัญ นอกจากจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลายแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อการค้าโลก ทรัพยากรธรรมชาติ และเสรีภาพในการเดินเรืออีกด้วย
ข้อน่ากังวล คือ พื้นที่ Strategic Littoral Zones เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีความเปราะบางสูง การรักษาดุลอำนาจในพื้นที่ทางทะเลนี้ จำเป็นต้องอาศัยความสมดุลระหว่างการป้องปราม (deterrence) และความร่วมมือ (cooperation) และควรใช้กฎหมายระหว่างประเทศและ “การทูตพหุภาคี”เป็นเครื่องมือหลักในการจัดการความขัดแย้ง แน่นอนว่า ความสำเร็จของการบริหารพื้นที่ Littoral อย่างยั่งยืนจะเป็นปัจจัยชี้วัดเสถียรภาพของระเบียบโลกในอนาคตด้วย
ที่สำคัญ สหรัฐฯ อาจจะเข้ามีบทบาทในการสนับสนุนกัมพูชาในการอ้างสิทธิ์ทางทะเลซ้อนทับ เกาะกูดไทย-กัมพูชา หรือการสนับสนุนกัมพูชา (ในทางลับ) ผ่านกลไกกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น การยื่นฟ้องต่อศาลระหว่างประเทศ
ประเด็นที่สี่ แหล่งพลังงาน คือ “ตัวแปร” ในเกมภูมิรัฐศาสตร์อ่าวไทย
ในยุคทรัมป์ พลังงานและความมั่นคงถูกมองเป็นเรื่องเดียวกัน แหล่งพลังงานในอ่าวไทย ทำให้กัมพูชามีความสำคัญในสายตาของสหรัฐฯ การควบคุมแหล่งพลังงานหรือเส้นทางการขนส่งพลังงานสามารถสร้างอำนาจต่อรองและอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ได้อย่างมีนัยสำคัญ พลังงาน คือ "อาวุธในศตวรรษที่ 21” เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง ประเทศใดที่ควบคุมพลังงานได้ มักมีอำนาจต่อรองสูง การแย่งชิงพลังงานจึงเป็นแกนกลางของความขัดแย้งในหลายครั้ง
ที่ผ่านมา บริษัทพลังงานของสหรัฐฯ และชาติตะวันตก สนใจเข้ามาลงทุนสำรวจและผลิตพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย–กัมพูชา (Overlapping Claims Area – OCA) ที่มีพื้นที่ประมาณ 27,960 ตารางกิโลเมตร และมีการประเมินว่า เป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบขนาดใหญ่ แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากติดปัญหาการเจรจาเขตแดนฯ ทรัมป์จึงมองว่า หากไทย–กัมพูชาเจรจากันได้สำเร็จ จะเปิดโอกาสให้บริษัทสำรวจพลังงานของอเมริกันเข้ามาแข่งขันกับบริษัทของจีนได้มากขึ้น
โดยเฉพาะรัฐบาลทรัมป์ที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ทางธุรกิจเป็นอย่างมาก และเน้นนโยบาย “Energy Dominance” ทำให้มองว่า หากสหรัฐฯ สามารถเข้าถึงทรัพยากรพลังงานในอ่าวไทย โดยมีฝ่ายกัมพูชามาเป็นพวก หรืออาจจะเสนอดีลแบบ 3 ฝ่าย (ไทย–กัมพูชา–สหรัฐฯ) เพื่อเร่งการพัฒนาร่วมกัน ก็จะลดโอกาสที่จีนจะเข้ามาผูกขาดแหล่งพลังงานในอ่าวไทยนี้ลงด้วย
ประเด็นสุดท้าย ความสำคัญของไทยจะลดลงในสายตาสหรัฐฯ หรือไม่
ในมุมมองทรัมป์ ไทยคือ พันธมิตรเก่าแก่ของสหรัฐฯ ในฐานะ Major Non-NATO Ally มีการทำสนธิสัญญาพันธมิตร (Treaty Ally) และมีความร่วมมือทางการทหาร และการฝึกร่วม Cobra Gold มาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น รัฐบาลทรัมป์อาจจะมองว่า ไทยมีความ“มั่นคง” ในการอยู่ฝั่งสหรัฐฯ อยู่แล้ว ไทยไม่น่าจะ“หลุดมือ”ไปอยู่ฝั่งจีนอย่างเต็มตัว สหรัฐฯ จึงไม่จำเป็นต้องทุ่มเทให้มากเท่าพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่จีนมีอิทธิพลสูงอย่างกัมพูชา การเข้าใกล้กัมพูชา จึงเป็นการมุ่งเจาะ “ฐานอิทธิพลของจีน” มากกว่าการที่กัมพูชาจะมาแทนที่ความสำคัญของไทย
อย่างไรก็ดี ทรัมป์ชอบที่จะทำดีลในแต่ละเรื่องเพื่อผลประโยชน์ (transactional diplomacy) มากกว่าจะเน้นรักษาความสัมพันธ์ระยะยาวแบบผูกพัน ถ้าฝ่ายกัมพูชามีข้อเสนอการทำดีลที่ให้ผลประโยชน์ตอบแทนสหรัฐฯ อย่างชัดเจน ( เช่น การให้ผลประโยชน์สหรัฐฯ มากกว่าจีน หรือการเปิดให้สหรัฐฯ เข้ามาใช้ฐานทัพในกัมพูชา) รัฐบาลทรัมป์ก็พร้อมจัด priority ให้ความสำคัญกับกัมพูชาเป็นอันดับต้น แม้จะมีความเสี่ยงที่จะกระทบความสัมพันธ์กับไทยในระยะยาว สำหรับทรัมป์ เป้าหมายหลัก คือ การดึงกัมพูชาออกจากจีน มากกว่าที่จะกังวลเรื่องความรู้สึกของไทย
โดยสรุป สหรัฐเข้ามามีบทบาทแฝงในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เพื่อตอบสนองผลประโยชน์ด้านต่างๆ ของตัวเอง และใช้กัมพูชาเป็น “ตัวแปร” เพื่อการแข่งขันอิทธิพลกับจีนในภูมิภาค สำหรับทรัมป์ กัมพูชาไม่ใช่เป็นเพียงรัฐขนาดเล็ก แต่จะเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง การทหาร และแหล่งพลังงานทางทะเล ทางฝ่ายกัมพูชาก็เดินเกมเสี่ยงยอมหักจีน เพื่อเอาใจทรัมป์ สะท้อนว่า ความสัมพันธ์สหรัฐฯ กับกัมพูชาน่าจะใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น และพร้อมทำดีลในรูปแบบต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของกันและกัน ทำให้น่านน้ำอ่าวไทยและแหล่งพลังงานในทะเล จะทวีความสำคัญในสมรภูมิของภูมิรัฐศาสตร์ในระดับโลก
นอกจากนี้ นัยสำคัญจากการที่รมต.กลาโหมของสหรัฐฯ จะไปเยือนกัมพูชา หลังจากที่ได้ผลักดันการหยุดยิงผ่านแรงกดดันทางการค้า อาจจะมีการ“ต่อยอด”บทบาทเพื่อสันติภาพ ไปสู่การสร้างพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์กับกัมพูชา และเพื่อส่งสัญญาณถึงประเทศอื่นๆ ว่า การเข้าใกล้สหรัฐฯ สามารถให้ “ผลลัพธ์ที่จับต้องได้” ทั้งในมิติความมั่นคงและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะประเทศขนาดเล็กที่อยู่ในวงอิทธิพลจีนนั่นเอง
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก voathai.com , thai.cri.cn , th.m.wikipedia.org , parliamentmuseum.go.th

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา