
"...การปรับโครงสร้างหนี้ สามารถปลดภาระผู้ค้ำประกันได้ทันที ผู้กู้ยืมสามารถผ่อนชำระเงินคืน กยศ. เป็นรายเดือนในอัตราเท่ากันภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน และสามารถชำระให้เสร็จสิ้นได้นานถึง 15 ปี โดยในการชำระเงินงวดสุดท้าย ผู้กู้ยืมเงินต้องมีอายุไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์และเมื่อชำระหนี้งวดสุดท้ายเสร็จสิ้น กยศ.จะให้ส่วนลดเบี้ยปรับเดิมที่ตั้งพักไว้ทั้งหมด 100% แต่หากผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้สะสมเกิน 6 งวด จะถือว่าสัญญาปรับโครงสร้างสิ้นสุดลง และจะไม่ได้รับสิทธิดังกล่าว..."
หมายเหตุ: นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ. ) ชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินงานของ กยศ. ภายหลังพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ฉบับแก้ไข มีผลบังคับใช้เมื่อปี 2566 โดยลดเบี้ยปรับเหลือ 0.5% และไม่ต้องมีผู้ค้ำประกันว่า เป็นประโยชน์กับผู้กู้อย่างไรบ้าง
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาเปิดเผยความคืบหน้าที่สำคัญของการดำเนินงานกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566 คือ การปรับลำดับการชำระหนี้ใหม่ โดยเรียงลำดับการชำระเป็น “เงินต้น – ดอกเบี้ย – เบี้ยปรับ” แทนแบบเดิม อัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี พร้อมทั้งลดอัตราเงินเพิ่ม (เบี้ยปรับ) จากสูงสุด 18% ต่อปี เหลือเพียง 0.5% ต่อปี รวมทั้งให้มีการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อช่วยเหลือผู้กู้ยืม คำนวณยอดหนี้ใหม่ (Recalculation) และคืนเงินชำระหนี้ส่วนเกินให้แก่ผู้กู้ยืม ซึ่งการดำเนินงานดังกล่าว จะเป็นการช่วยเหลือให้ผู้กู้ยืมทุกกลุ่มได้รับประโยชน์ ซึ่ง กยศ. มีการดำเนินการคืบหน้าในเรื่องที่สำคัญหลายเรื่องตั้งแต่ที่ พ.ร.บ.ฉบับใหม่ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2566 เป็นต้นมา


การคำนวณยอดหนี้ใหม่ (Recalculation) ให้แก่ผู้กู้ยืมที่อยู่ระหว่างการชำระเงินคืน จำนวน 3,835,213 บัญชี โดย กยศ. นำรายการชำระหนี้ของผู้กู้ยืมแต่ละรายที่ได้ชำระเงินคืนนับแต่วันที่ครบกำหนดชำระหนี้ครั้งแรกมาคำนวณหนี้ใหม่ให้เป็นไปตาม พ.ร.บ. ฉบับใหม่ โดยเปลี่ยนลำดับการตัดชำระหนี้โดยตัดชำระเงินต้นเฉพาะส่วนที่ครบกำหนด ดอกเบี้ย และเบี้ยปรับตามลำดับ คิดดอกเบี้ยในอัตรา 1% ต่อปี และลดเบี้ยปรับเหลือเพียงอัตรา 0.5% ต่อปี ซึ่งผลจากการคำนวณปรากฏว่ามีผู้กู้ยืมที่มียอดหนี้ลดลง 3,548,016 บัญชี กลุ่มที่มียอดหนี้เท่าเดิม 755 บัญชี และกลุ่มที่ไม่มีหนี้คงเหลือ (ปิดบัญชี) 80 บัญชี โดยมีผู้กู้ยืมที่มีสิทธิขอรับคืนเงินที่ชำระหนี้เกิน จำนวน 286,362 บัญชี ปัจจุบันมีผู้กู้ยืมลงทะเบียนขอรับเงินคืนแล้ว จำนวน 26,463 บัญชี ได้คืนเงินไปแล้วจำนวน 2,602 บัญชี เป็นเงินทั้งสิ้น 73.70 ล้านบาท ผู้กู้ยืมที่ลงทะเบียนแล้วส่วนที่เหลือจะทยอยคืนให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2568 สำหรับการคืนเงินส่วนที่ชำระหนี้เกินดังกล่าว กยศ. จะคืนเงินผ่านระบบโอนเงินแบบพร้อมเพย์ที่ผูกบัญชีธนาคารด้วยเลขประจำตัวประชาชนของผู้กู้ยืมเท่านั้น และแบ่งการคืนเงินให้ผู้กู้ยืมแต่ละรายเป็น 2 ส่วน โดยส่วนแรกจะคืนเงินให้ในอัตรา 70% ของยอดเงินที่คำนวณได้ และส่วนที่ 2 จะคืนเงินให้เมื่อ กยศ.คำนวณหนี้ผ่านระบบ DSL แล้วเสร็จ และหากว่าผู้กู้ยืมยังมีเงินส่วนที่ชำระเกิน โดย กยศ. จะคืนเงินส่วนที่เหลือให้ทั้งหมด อย่างไรก็ตามหากผู้กู้ยืมได้รับคืนเงินส่วนแรกเกินสิทธิ กยศ. จำเป็นต้องเรียกเงินส่วนเกินคืน จึงขอเชิญชวนผู้กู้ยืมเข้ามาตรวจสอบสถานะบัญชีที่เว็บไซต์ www.studentloan.or.th ซึ่งหากมีสิทธิได้รับเงินคืนจะสามารถลงทะเบียนขอรับเงินคืนต่อไปได้


การปรับโครงสร้างหนี้ สามารถปลดภาระผู้ค้ำประกันได้ทันที ผู้กู้ยืมสามารถผ่อนชำระเงินคืน กยศ. เป็นรายเดือนในอัตราเท่ากันภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน และสามารถชำระให้เสร็จสิ้นได้นานถึง 15 ปี โดยในการชำระเงินงวดสุดท้าย ผู้กู้ยืมเงินต้องมีอายุไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์และเมื่อชำระหนี้งวดสุดท้ายเสร็จสิ้น กยศ.จะให้ส่วนลดเบี้ยปรับเดิมที่ตั้งพักไว้ทั้งหมด 100% แต่หากผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้สะสมเกิน 6 งวด จะถือว่าสัญญาปรับโครงสร้างสิ้นสุดลง และจะไม่ได้รับสิทธิดังกล่าว ทั้งนี้ ข้อมูล ณ วันที่ 12 พฤษภาคม 2568 มีผู้กู้ยืมมาทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ รวมทั้งสิ้น 598,334 บัญชี แบ่งเป็น สัญญาปรับโครงสร้างหนี้แบบกระดาษจำนวน 261,110 บัญชี และสัญญาปรับโครงสร้างหนี้แบบออนไลน์ จำนวน 337,224 บัญชี โดยผู้กู้ยืมสามารถดำเนินการทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ออนไลน์ได้ด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์ www.studentloan.or.th และยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชัน ThaiD จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ผู้กู้ยืมเร่งเข้ามาติดต่อกับ กยศ.เพื่อเร่งปรับโครงสร้างหนี้ออนไลน์ ซึ่งจะทำให้หนี้ และการผ่อนลดลงแน่นอน

การแสดงยอดหนี้ ในส่วนของการแสดงยอดหนี้ของแอปพลิเคชัน กยศ. Connect และหน้าเว็บไซต์ที่ยังไม่ตรงกันนั้น กยศ. จะเร่งดำเนินการแก้ไขโดยเร็ว จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ผู้กู้ยืมตรวจสอบยอดหนี้ที่คำนวณใหม่จากเว็บไซต์ กยศ. แต่ทั้งนี้ ผู้กู้ยืมยังสามารถชำระเงินคืน กยศ. ผ่านแอปพลิเคชัน กยศ. Connect ได้ ซึ่งจะมีการเชื่อมข้อมูลในภายหลังเมื่อผู้พัฒนาระบบดำเนินการเสร็จ โดย กยศ. จะเร่งดำเนินการทางเทคนิคเพื่อให้การจัดการหนี้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยวางแผนบริหารจัดการทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้ยอดหนี้ในทุกช่องทางสอดคล้องกันในอนาคต
การหักเงินเดือนเพิ่ม จากกรณีที่ กยศ. ได้มีการหักเงินเดือนเพิ่มเติม 3,000 บาท ตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 เนื่องจากผู้กู้ยืมมียอดค้างชำระหนี้ก่อนหักเงินเดือน และในระหว่างหักเงินเดือน ผู้กู้ยืมไม่ได้ชำระส่วนต่างในวันที่ 5 ก.ค.ของงวดปีนั้นๆ หากผู้กู้ยืมต้องการยกเลิกให้หักเพิ่มเดือนละ 3,000 บาท ผู้กู้ยืมต้องทำการชำระยอดค้างให้เสร็จสิ้น หรือยื่นขอปรับโครงสร้างหนี้ออนไลน์ด้วยตนเอง กรณีผู้กู้ที่ยังไม่ได้ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ และไม่สามารถให้หักเงินเดือนเพิ่มได้ สามารถยื่นขอปรับลดจำนวนเงินที่หักเดือนละ 3,000 บาท ได้ทางเว็บไซต์ กยศ. โดยขยายระยะเวลายื่นขอจากเดิมวันที่ 17 พฤษภาคม 2568 เป็นวันที่ 24 พฤษภาคม 2568

ตัวอย่างจริงของผู้กู้ยืมที่เข้ามาปรับโครงสร้างหนี้สำเร็จ มียอดหนี้เดิม 279,445 บาท มีการผ่อนชำระต่อเดือน 1,620 บาท หากยังไม่ได้ปรับโครงสร้างหนี้หรือชำระยอดที่ค้าง จะถูกหักเงินเดือนเพิ่มอีกเดือนละ 3,000 บาท (1,620 + 3,000) แต่เมื่อมีการปรับโครงสร้างหนี้แล้ว มียอดหนี้ใหม่คงเหลือเพียง 84,959 บาท และผ่อนชำระต่อเดือน 480 บาทเท่านั้น
การของบกลาง เมื่อเดือนมีนาคม 2568 กยศ. ได้รับการจัดสรรรงบกลาง จำนวน 2,838.64 ล้านบาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายให้นักเรียน นักศึกษา กู้ยืมเงินในภาคเรียนที่ 1/2568 จำนวน 2,000 ล้านบาท และสำหรับคืนเงินให้กับผู้กู้ยืมเงินตามกฎหมายใหม่จำนวน 838.64 ล้านบาท
การติดตามหนี้ สำหรับแนวทางในการติดตามทวงถามหนี้ ยืนยันว่าตั้งแต่ช่วงโควิดมา ยอดการฟ้องของ กยศ. ลดลง โดย กยศ. มีการฟ้องเฉพาะคดีที่ใกล้หมดอายุความเท่านั้น
การให้ประโยชน์ผู้กู้ยืมที่สามารถชำระหนี้ได้ กยศ. ได้ออกมาตรการลดหย่อนหนี้ เพื่อส่งเสริมให้ผู้กู้ชำระหนี้ปิดบัญชีในช่วงวันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2568 โดยมอบส่วนลดต้นเงิน 5 – 10% และส่วนลดเบี้ยปรับ 100% สำหรับผู้กู้ที่ยังไม่ถูกดำเนินคดี และยังอยู่ในระยะเวลาปลอดหนี้หรือกำลังชำระหนี้อยู่ โดยสามารถลงทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิได้ทางเว็บไซต์ กยศ.


นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง
ดร.นันทวัน วงศ์ขจรกิตติ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา