
"...อย่างไรก็ตามสำหรับผู้เขียนแล้ว จากคำชี้แจงดังกล่าว เห็นได้ชัดว่า ประกาศของคณะกรรมการสรรหาเรื่องการเสนอชื่อผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งเลขาธิการฯ เป็นปัญหาอย่างยิ่ง เพราะทำให้เกิดการปิดกั้นบุคคลที่มีความรู้ความสามารรถมิให้เข้าสู่ระบบการคัดเลือก ทั้งๆที่ระเบียบการสรรหาดังกล่าวใช้มานานเกือบ 30 ปี ไม่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับสถานการร์โลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว..."
สัปดาห์ที่แล้วได้เขียนเรื่อง ‘การสรรหาเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ระวังซ้ำรอย 'คดีฮั้ว สว.'’เนื่องจาก มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ประกาศคณะกรรมการสรรหาเรื่องการเสนอชื่อผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งเลขาธิการฯ ที่ออกโดยที่ประชุมสภาสถาบันพระปกเกล้า มีการ ‘ล็อกสเปค’ ให้กับคนใกล้ชิดของกรรมการ สภาสถาบันพระปกเกล้าบางกลุ่มหรือคนที่อิทธิพลในแวดวงการเมือง
เพราะจากประกาศดังกล่าว ทำให้ผู้ที่มีคุณสมบัติและความรู้ความสามารถเหมาะสมไม่สามารถยื่นสมัครเข้าชิงตำแหน่งเลขาธิการฯ ได้ด้วยตัวเองหรือให้องค์กรอื่นๆ เสนอชื่อได้ แต่ต้องให้กรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้าซึ่งมีจำนวน 16 คนเป็นผู้เสนอชื่อได้เท่านั้น และ กรรมการสภาสภาฯ แต่ละคนเสนอชื่อผู้ชิงตำแหน่งได้เพียงหนึ่งคนเท่านั้น
นอกจากนั้น มีผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งเลขาธิการฯ รายหนึ่ง ต้องการตัดคู่แข่งให้เหลือน้อยที่สุดจึงใช้วิธีวิ่งเต้นให้กรรมการสภาสถาบันฯ หลายคนเซ็นรับรองเสนอชื่อตนเอง โดยที่กรรมการสภาสถาบันฯ ต่างไม่ทราบว่า บุคคลผู้นี้ได้ให้กรรมการสภาสถาบันฯ รายอื่น เซ็นรับรองไปแล้ว ทำให้ผู้สมัครรายนี้เพียงคนเดียวมีกรรมการสภาสถาบันฯ เซ็นเสนอชื่อเกือบ 10 คน
หลังจากที่บทความนี้เผยแพร่ออกไป รศ.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า หนึ่งในผู้สมัครชิงตำแหน่งเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้าเขียนข้อความส่งมาชี้แจงว่า
“ ผมเองติดตามและเชื่อมั่นในอิศรามาตลอด แต่อยากเรียนให้ทราบข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่ง ว่า
1. ระเบียบและวิธีที่ใช้ในการสรรหา ครั้งนี้ มิได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขใดๆ เป็นระเบียบที่ดำเนินการตามข้อบังคับสถาบันฯ ปี 2541 ตั้งแต่ก่อตั้งสถาบัน การรับรองชื่อโดยกรรมการมิได้มามีในสมัยผมเป็นพิเศษ แต่เป็นกระบวนการที่ใช้เรื่อยมา ในการสรรหาเลขาธิการที่ผ่านมาโดยตลอด”
กล่าวโดยสรุป การสรรหาครั้งนี้ ดำเนินการโดยยึดระเบียบและวิธีการตามครั้งที่ผ่านๆ ทุกประการ ไม่มีแก้ไขแม้เพียงสักนิดเดียว”
2. กระผม ปฏิบัติงานในตำแหน่งรองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กำกับดูแลสำนักต่างๆ 5 สำนัก ซึ่งมีทั้งวิชาการและบริหาร ตลอดห้วงเวลา 2 ปีกว่าในตำแหน่ง การปฏิบัติงาน รวมถึงผลงานของผม ในด้านต่างๆ มีการรายงานเข้าสู่สภาสถาบันทุกเดือน จึงเป็นไปไม่ได้ ที่กรรมการสภา จะเซ็นต์รับรองโดยไม่รู้จักผม อีกทั้งหากพิจารณารายชื่อ ทุกท่านเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ต้องผ่านการโปรดเกล้าฯ ผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า ท่านไม่มีทางยอมให้ใครมาสั่ง หรือชี้นำได้”
3. กระบวนการเสนอชื่อ มิใช่การที่ให้ผู้ถูกเสนอวิ่งเอาใบไปให้ท่านลงนามเช่นนั้นนะครับ สถาบันฯจะส่งเอกสารเสนอชื่อไปยังกรรมการผู้มีสิทธิ์(ลงนามเสนอชื่อ) พร้อมคำชี้แจงชัดเจน ในแผ่นเดียวกันว่า ท่านสามารถเสนอชื่อได้เพียงคนเดียวเท่านั้น และกรรมการทุกท่านทราบข้อเท็จจริงนี้ดี ท่านที่กรุณาเสนอชื่อกระผม กระผมก็ได้น้อมรับกและขอบพระคุณ แต่กระผมมิอาจก้าวล่วงไปรายงานท่านว่า มีใครเสนอชื่อผมบ้าง ซึ่งหากพิจารณาด้วยใจที่เป็นกลาง การที่มีกรรมการมากกว่า 1 ท่าน เสนอชื่อผม ไม่ใช่ความผิดผมเลยนะครับ”

รศ.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ
รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า
ทั้งนี้ ผมในปัจจุบัน มีตำแหน่งเป็นเพียง รองเลขาธิการ ไม่มีอำนาจบารมีทางการเมืองใดใด และต่อให้มี ก็ไม่เคยคิดใช้ในทางที่ไม่สุจริต
“ผมอยากกราบเรียนให้พี่ประสงค์ ซึ่งพอจะคุ้นเคยกับผมบ้าง รับทราบข้อเท็จจริงเหล่านี้ ถึงแม้ผมจะได้เป็น หรือไม่ได้เป็น กระผมไม่เสียใจ แต่ผมอยากดำรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรี และความสุจริต ที่ผมยึดถือมาโดยตลอดตั้งแต่เข้ามาทำงานเพื่อประเทศ ผมเชื่อว่า ที่ผ่านมาผมก็ได้ดำรงตนเช่นนั้น อย่างไม่มีรอยด่างพร้อย มาโดยตลอด”
ผมยังเชื่อมั่นในระบบและความเป็นผู้ทรงคุณวุฒิของกรรมการสภาที่มาจากหลายภาคส่วน และดำรงตำแหน่งสำคัญของประเทศ”
กระผมยินดีรับการตรวจสอบ และแข่งขันที่วัดที่ความสามารถอย่างเป็นธรรม ซึ่งเป็นธรรมดาที่กรรมการมีทั้งสนับสนุน และไม่สนับสนุน ผู้ถูกเสนอชื่อรายใดรายหนึ่ง”
แต่กระผมขอกราบเรียนด้วยความเคารพว่า กระผมไม่ประสงค์ ให้ใครใช้สื่อ เป็นเครื่องมือมาทำลายกัน โดยปราศจากข้อเท็จจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อที่มีจรรยาบรรณ และเป็นตัวอย่างของสื่อมวลชนที่ดีอย่างอิศรา”
ผู้ที่อ่านคำชี้แจงของ รศ.อิสระแล้ว เห็นเป็นประการใดพิจารณากันเองนะครับ
อย่างไรก็ตามสำหรับผู้เขียนแล้ว จากคำชี้แจงดังกล่าว เห็นได้ชัดว่า ประกาศของคณะกรรมการสรรหาเรื่องการเสนอชื่อผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งเลขาธิการฯ เป็นปัญหาอย่างยิ่ง เพราะทำให้เกิดการปิดกั้นบุคคลที่มีความรู้ความสามารรถมิให้เข้าสู่ระบบการคัดเลือก ทั้งๆที่ระเบียบการสรรหาดังกล่าวใช้มานานเกือบ 30 ปี ไม่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับสถานการร์โลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
สถาบันพระปกเกล้าเป็นองค์กรชั้นนำทางวิชาการที่ควรเปิดกว้างในการคัดเลือกผู้บริหารที่มีความคิดใหม่ๆเข้าบริหารจัดการให้องค์กรให้ทันสมัยและมีศักยภาพ มิใช่จำกัดการคัดเลือกอยู่ที่กรรมการสภาสถาบันเพียง 16 คนที่มีสิทธิในการเสนอชื่อผู้ชิงตำแหน่งเลขาธิการฯเท่านั้น
ดังนั้น จึงควรล้มเลิกการสรรหาครั้งนี้ ปรับปรุงระเบียบให้เปิดกว้างก่อนที่จะเริ่มประบวนการสรรหาใหม่อีกครั้ง
บทความโดย :
ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์
อ่านข่าวประกอบ :
- การสรรหาเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ระวังซ้ำรอย 'คดีฮั้ว สว.'

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา