
"...การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นเป็นเพียงย่างก้าวสำคัญประการหนึ่ง ในกระบวนการเปลี่ยนผ่านเมียนมาร์ ซึ่งจะต้องอาศัยกระบวนการเจรจาอีกมากมาย เพื่อประมวลปัญหาที่ซับซ้อนเพื่อกำหนดอนาคตของประเทศ อันจะนำมาซึ่งความเป็นประชาธิปไตยที่สามารถตอบโจทย์ความหวังของประชาชนเมียนมาร์ ความหวังของชนกลุ่มน้อย ซึ่งสิ่งเช่นว่านี้ ไม่เคยเกิดขึ้นเลยในเมียนมาร์นับตั้งแต่ได้รับเอกราช..."
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย กล่าวถึงแนวทางการสร้างเสริมสันติภาพที่ยั่งยืนในเมียนมาร์ผ่านฉากกระบวนทัศน์อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เพื่อสะท้อนถึงรากเหง้าของปัญหาอันเกิดจากความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในเมียนมาร์ ซึ่งเป็นมูลเหตุของความขัดแย้งที่ซับซ้อนที่ฝังรากลึก ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม กับนำเสนอหนทางสู่สันติภาพที่ยั่งยืนสำหรับเมียนมาร์ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ไม่เฉพาะระหว่างคู่ขัดแย้งต่าง ๆ ในเมียนมาร์
แต่รวมถึงกลุ่มประเทศที่มีผลประโยชน์ทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะอาเซียนซึ่งสามารถมีบทบาทนำ จีน อินเดียซึ่งมีผลประโยชน์ทางความมั่นคงและเศรษฐกิจโดยตรงในเมียนมาร์ ในช่วงเวลาที่กำลังสำคัญยิ่ง เนื่องจากในปี ค.ศ. 2025 รัฐบาลกรุงเนปิดอประกาศจะจัดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นในเมียนมาร์ซึ่งก่อนการเลือกจัดเลือกตั้งดังกล่าว มีเงื่อนไขจำเป็นที่จะต้องสร้างบรรยากาศที่มีสันติภาพและมีความปรองดองกัน กับเพื่อให้มั่นใจได้ว่าผลการเลือกตั้งจะได้ตัวแทนที่มาจากความต้องการอันชอบธรรมของประชาชนเมียนมาร์โดยแท้จริง
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เริ่มการปาฐกถาด้วยการไล่เรียงถึงต้นเหตุสำคัญที่เป็นรากเหง้าของความขัดแย้งในเมียนมาร์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1948 หลังเมียนมาร์ได้รับเอกราชจากอังกฤษ สามปัจจัยคือ
1.เมียนมาร์ประกอบไปด้วยกลุ่มชาติพันธุ์และชนกลุ่มน้อยมากมายกว่าร้อยกลุ่ม โดยกลุ่มสำคัญมี 8 กลุ่มชาติพันธุ์ ได้แก่ เมียนมาร์ คะฉิ่น คะยา กะเหรี่ยง ฉิ่น มอญ ยะไข่ และไทยใหญ่ ดังนั้น เมียนมาร์จึงมีความหลากหลายทั้งทางเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม ความคิดและวิถีชีวิต
ข้อเท็จจริงนี้ทำให้สังคมเมียนมาร์มีรอยแยก (fault lines) มากมาย และมากกว่ารอยแยกทางกายภาพของแผ่นดินเมียนมาร์ ที่เป็นสาเหตุของแผ่นดินไหวครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่ได้คร่าชีวิต ทำลายล้างโบราณสถาน อาคารบ้านเรือน และสิ่งปลูกสร้างสำคัญของเมียนมาร์ สร้างความเสียหายที่น่าสังเวชใจอย่างรุนแรงที่สุด
2.กองทัพของเมียนมาร์ยึดมั่นในความเชื่อของตนว่า เป็นเสาหลักเดียวในการค้ำจุนเสถียรภาพและเอกภาพของเมียนมาร์ เป็นสถาบันเดียวที่สามารถคุ้มครองชาติให้อยู่รอดปลอดภัยในทุกสถานการณ์
3.สังคมเมียนมาร์โหยหาประชาธิปไตยมาอย่างต่อเนื่อง รัฐประหารโดยกองทัพเมียนมาร์ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2021 นำมาซึ่งการสิ้นสุดของการพัฒนาประชาธิปไตยในเมียนมาร์ที่เกิดขึ้นและพัฒนามาในระดับหนึ่งในช่วงก่อนหน้านี้อย่างกระทันหัน ผลักไสให้กลุ่มเยาวชนและพลังคนรุ่นใหม่ที่นิยมประชาธิปไตยก่อกระแสต่อต้านกองทัพและจับอาวุธขึ้นสู้กับกองทัพในนามของ “กองกำลังพิทักษ์ประชาชน” (People’s Defense Force)
ขณะเดียวกัน รัฐประหารครั้งนี้ เป็นปัจจัยนำให้กลุ่มการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยนำโดยนางออง ซาน ซูจี และพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) และกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธต่าง ๆ พร้อมใจกันจัดตั้งแนวร่วมการเมืองเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลทหาร โดยได้ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (National Unity Government-NUG)
ความซับซ้อนและรากเหง้าของปัญหาในเมียนมาร์นี้เอง ทำให้ความพยายามในการสร้างสันติภาพที่เที่ยงแท้และยั่งยืนในเมียนมาร์ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคำนึงถึงปัญหาทุกด้าน ที่เป็นรากเหง้าของความขัดแย้งและการต่อสู้อันยาวนาน ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมียนมาร์ได้รับเอกราช

วิกฤติการเมืองและผลต่อเนื่องที่ติดตามมา
นับตั้งแต่การรัฐประหารและการจัดตั้งระบอบการปกครองโดยรัฐบาลทหารเมียนมาร์ที่ใช้ชื่อว่า “สภาบริหารแห่งรัฐ” (State Administrative Council - SAC) ทุกสิ่งทุกอย่างมิได้เป็นไปตามที่คาดคิด
กองทัพเมียนมาร์สูญเสียขวัญและกำลังใจจากการปราชัยในสมรภูมิครั้งแล้วครั้งเล่า กลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธสามารถรุกคืบและมีชัยเหนือรัฐบาลทหารมากขึ้นเป็นลำดับ จนสามารถยึดครองพื้นที่ได้เกือบครึ่งหนึ่งของประเทศ แม้ว่ารัฐบาลทหารจะยังสามารถรักษาเมืองหลักสำคัญ ๆ ในพื้นที่ตอนในของประเทศเอาไว้ได้
อย่างไรก็ตาม แม้จะยึดครองพื้นที่ได้เกือบครึ่งหนึ่งของประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ของรัฐชนกลุ่มน้อยชายขอบ แต่กองกำลังฝ่ายต่อต้านก็ประสบปัญหาข้อจำกัดในการบริหารจัดการพื้นที่ที่ยึดครองไว้ได้ ให้เกิดความเรียบร้อย และการดูแลประชาชนให้อยู่ดีมีสุข
ยิ่งกว่านั้น แม้กลุ่มต่อต้านจะสามารถประสานงานกันเพื่อเอาชัยในการสู้รบเหนือกองทัพเมียนมาร์ แต่กลุ่มกองกำลังแต่ละกลุ่ม มิได้มีเอกภาพ และขาดอุดมการณ์ทางการเมืองร่วมกันภายใต้ NUG ต่างฝ่ายต่างยังคงเป้าประสงค์ทางการเมืองและรักษาผลประโยชน์ของตนที่แตกต่างกันไว้อย่างเหนียวแน่น
ความไม่สงบในประเทศทำให้เศรษฐกิจของประเทศไร้ทิศทาง การพัฒนาทางเศรษฐกิจหดตัว ค่าเงินจั๊ตดิ่งลงเหว เงินเฟ้อพุ่งทะยานขึ้นไม่หยุด ผลักให้ประชากรกว่าร้อยละ 70 ต้องดำรงชีวิตอยู่ภายใต้เส้นความยากจน และกว่า 3 ล้านคนต้องพลัดถิ่นฐาน เกิดวิกฤติด้านมนุษยธรรมอย่างรุนแรง และการเข้าช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรมจากภายนอกก็กระทำไม่ได้ เนื่องจากถูกจำกัดขัดขวางโดย SAC และความแร้นแค้นถึงขั้นวิกฤตินี้ยังถูกซ้ำเติมให้หนักหนาไปอีกจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์เมื่อเร็ว ๆ นี้
วิกฤติในเมียนมาร์ได้ส่งผลกระทบอย่างมหาศาลไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งต้องรับภาระในการดูแลผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาร์ที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมาร์ อีกทั้งยังเกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา ได้แก่ ปัญหาการขยายตัวของอาชญากรรมข้ามชาติในพื้นที่ชายแดน ทั้งฝั่งชายแดนเมียนมาร์-จีน และเมียนมาร์-ไทย การเกิดขึ้นของบ่อนการพนันผิดกฎหมาย ปัญหายาเสพติด การค้ามนุษย์ และปฏิบัติการฉ้อฉลต่าง ๆ ที่ผู้คนทั่วทั้งโลกได้ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมเหล่านี้
เมื่อพิจารณาจากตำแหน่งที่ตั้งของเมียนมาร์ ถือว่าอยู่ในจุดที่เป็นภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญ เพราะมีชายแดนติดกับอินเดียและจีนที่มีบทบาทสำคัญในเวทีโลก อีกทั้งเป็นประตูฝั่งตะวันตกของอาเซียน เมียนมาร์จึงกลายเป็นพื้นที่ที่ผลประโยชน์ด้านภูมิรัฐศาสตร์สำคัญของมหาอำนาจฝ่ายต่าง ๆ มาบรรจบกัน และแต่ละฝ่ายต้องช่วงชิงและรักษาผลประโยชน์ของตนไว้อย่างเหนียวแน่น
บทบาทของอาเซียน
วิกฤติในเมียนมาร์จึงเป็นบททดสอบสำหรับอาเซียน โดยเฉพาะประเด็นความน่าเชื่อถือของอาเซียน และเป้าประสงค์หลักที่อาเซียนยึดถือมาตลอดในการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศ ได้แก่ เรื่อง ASEAN Centrality ความท้าทายเช่นว่านี้ ทำให้หลักการพื้นฐานของอาเซียนว่าด้วยการไม่แทรกแซงกิจการภายใน (non-interference) ของรัฐสมาชิก แม้จะยังคงต้องรักษาเอาไว้ แต่ก็จำเป็นต้องถูกใช้ไปในหนทางที่ยืดหยุ่น เนื่องจากสถานการณ์ในเมียนมาร์มีผลกระทบต่อภูมิภาคอย่างกว้างขวางและลุ่มลึก
ฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน (Five-point consensus of ASEAN) จึงเกิดขึ้นตามวัตถุประสงค์ข้างต้น ทว่า การปฏิบัติตามฉันทามตินี้มีความคืบหน้าน้อยมาก ปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดความต่อเนื่องของประธานอาเซียนและผู้แทนพิเศษของประธานอาเซียน ซึ่งหมุนเวียนกันคราวละหนึ่งปี
จนกระทั่งถึงวาระที่นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย ดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนคนปัจจุบัน ถือเป็นครั้งแรกที่ผู้นำสูงสุดของประเทศที่เป็นประธานอาเซียน ได้ออกมาแสดงบทบาทเชิงรุกต่อสถานการณ์ในเมียนมาร์ และแสวงหาแนวทางในการจัดการเจรจาเพื่อเปิดพื้นที่สำหรับการลดลดความรุนแรงและโอกาสในการเจรจาเพื่อลดความขัดแย้ง
ภายใต้บทบาทเชิงรุกนี้ อาเซียนได้เรียกร้องให้คู่ขัดแย้งทุกฝ่ายในวิกฤติเมียนมาร์หยุดยิง และเปิดโอกาสให้มีการส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจากภายนอกเพื่อช่วยบรรเทาทุกข์ให้กับชาวเมียนมาร์ที่ประสบเคราะห์กรรมจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งล่าสุด
นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ประธานอาเซียนคนปัจจุบัน ยังได้สำรวจและใช้ทุกลู่ทางในการเกี่ยวพันอย่างสร้างสรรค์กับทุกคู่ขัดแย้งในวิกฤติเมียนมาร์ ซึ่งรวมถึงการจัดให้มีการพบปะ ระหว่างประธานอาเซียน กับพลเอกอาวุโสมิน อ่อง ไหล่ ที่กรุงเทพฯ และการหารือกับนายกรัฐมนตรีรัฐบาล NUG จากกรุงเทพฯ ผ่านการประชุมทางไกลแบบออนไลน์ด้วย

บทบาทของจีน
จีนมีผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญยิ่งในเมียนมาร์ เนื่องจากเมียนมาร์เป็นประตูให้จีนออกสู่อ่าวเบงกอลในมหาสมุทรอินเดีย ผ่านโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของจีนในการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกที่เมืองเจ้าผิวก์ รัฐยะไข่ และการวางท่อส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติส่งไปใช้ที่มณฑลยูนนานของจีน
ด้วยความสำคัญทางยุทธศาสตร์ของเมียนมาร์ต่อจีนดังกล่าว รวมถึงการที่เมียนมาร์สำคัญต่อจีน ในเรื่องความมั่นคงชายแดนเมียนมาร์-จีน ทางการจีนจึงได้เข้ามีบทบาทเป็นคนกลางในการเจรจากลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธ MINDAA และ TNLA กับรัฐบาลทหาร ด้วยเหตุผลเพื่อการป้องกันชายแดนและรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ รักษาผลประโยชน์ในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของจีนที่ท่าเรือน้ำลึกในรัฐยะไข่ รักษาความปลอดภัยให้กับท่อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ส่งไปยังจีน รักษาแหล่งแร่หายาก (Rare Earth) ที่จีนใช้ประโยชน์จากแหล่งในเมียนมาร์กว่าร้อยละ 57 ของแร่หายากที่จีนนำเข้าไปแปรรูปจากต่างประเทศทั้งหมด
นอกจากนั้น จีนยังใช้โอกาสนี้ ทำลายขบวนการอาชญากรรมในพื้นที่ชายแดนเมียนมาร์-จีนในคราวเดียวกัน เนื่องจากชาวจีนจำนวนมากตกเป็นเหยื่อ และยังมีผลกระทบกับภาพลักษณ์ระหว่างประเทศของจีนด้วย
การดำเนินการเช่นว่านี้ หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่จีนจะต้องให้การสนับสนุนกับรัฐบาลทหารเมียนมาร์ และให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังแผนของพลเอกอาวุโสมิน อ่อง ไหล่ ที่จะจััดการเลือกตั้งทั่วไปในเมียนมาร์ขึ้นด้วยความหวังว่า การเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ อย่างน้อยที่สุดจะสามารถนำมาซึ่ง “เสี้ยวหนึ่งของสันติภาพ” (partial peace) ที่อาจจะสามารถนำไปต่อยอดกระบวนการสันติภาพในเมียนมาร์ในอนาคตได้ต่อไป
บทบาทของอินเดียก็สำคัญเช่นเดียวกัน
เมียนมาร์มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับอินเดียด้วย เนื่องจากเป็นส่วนสำคัญต่อนโยบาย Act East Policy ของอินเดีย ด้วยการใช้เมียนมาร์เป็นประตูเชื่อมโยงภาคตะวันตกเฉียงเหรือของอินเดียที่ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร เข้ากับพื้นที่ที่พัฒนากว่าของภูมิภาคอาเซียน ผ่านเส้นทางหลวงไตรภาคีที่พาดผ่านอินเดีย-เมียนมาร์-ไทย
นอกจากนี้ อินเดียยังหวั่นเกรงการเติบโตของอิทธิพลของจีนในเมียนมาร์ด้วย เพราะการเติบโตดังกล่าวมีนัยสำคัญยิ่งต่อสมการด้านภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาค
ด้วยเหตุผลข้างต้น อินเดียจึงแสดงบทบาทเชิงรุกในการช่วยแก้ไขสถานการณ์ยุ่งยากในเมียนมาร์ นอกเหนือจากการแก้ไขปัญหาความมั่นคงชายแดนอินเดีย-เมียนมาร์ ท่าทีเชิงรุกนี้รวมถึงการติดต่อเกี่ยวพันกับรัฐบาลทหาร และการเปิดช่องทางในการติดต่อสัมพันธ์กับฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมาร์ไปพร้อม ๆ กัน

แผนจัดการเลือกตั้งทั่วไปของรัฐบาลทหารเมียนมาร์
ในขณะที่ต้องพะว้าพะวังกับการสู้รบกับกลุ่มต่อต้าน พลเอกอาวุโส มิน อ่อง ไหล่ ก็กำลังดำเนินยุทธศาสตร์ด้านการเมืองและการทูต เพื่อลดแรงกดดันทั้งจากสถานการณ์ภายในประเทศและจากนานาชาติด้วย
หัวใจของยุทธศาสตร์ดังกล่าวนี้ ได้แก่ แผนการจัดการเลือกตั้งทั่วไปในเมียนมาร์ขึ้นให้จงได้ในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ทั้งนี้ เป็นความพยายามเพื่อลดแรงกดดันที่รัฐบาลทหารเมียนมาร์กำลังเผชิญอยู่
พลเอกอาวุโสมิน อ่อง ไหล่ เชื่อว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะสามารถช่วยกระชับอำนาจของตนกับช่วยให้ตนมี “แต้มต่อ” มากขึ้นในการเจรจากับฝ่ายต่อต้านกลุ่มต่าง ๆ ในอนาคต
นอกจากนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พลเอกอาวุโสมิน อ่อง ไหล่ ยังหวังว่า การเลือกตั้งจะช่วยยกสถานภาพของรัฐบาลทหาร เพิ่มความชอบธรรมของตนให้มากขึ้นในทัศนะของมิตรประเทศ
หลายฝ่ายยังเชื่ออีกว่า พลเอกอาวุโสมิน อ่อง ไหล่ กำลังเดินวิเทโศบายเพื่อหาทางออกให้กับตนเอง หนีจากการถูกโดดเดี่ยวทางการทูต โดยออกเยือนประเทศที่สามารถไปเยือนได้ เช่น จีน รัสเซีย เบลารุส เข้าร่วมการประชุม BIMSTEC ที่กรุงเทพฯ และกลับมากรุงเทพฯ อีกครั้งเพื่อพบหารืออย่างไม่เป็นทางการกับประธานอาเซียน เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
หนทางข้างหน้า
จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ทางออกสำหรับเมียนมาร์จึงต้องอาศัยการทูตวิถีที่แหวกแนวแต่สร้างสรรค์ (constructive and innovative) ต้องคิดนอกกรอบ ด้วยความเชื่อที่ว่า เมื่อดวงดาวโคจรมาสัมพันธ์กัน ทุกฝ่ายควรจะสามารถรับรู้และไขว่คว้าโอกาสบันดาลให้เกิดทางออกที่เหมาะสม
เชื่อได้ว่าปี 2025 จะเป็นปีที่สำคัญสำหรับสันติภาพในเมียนมาร์ เป็นปีที่ทุกฝ่ายจะร่วมกันกำหนด อนาคตของเมียนมาร์ไปตามสภาพของข้อเท็จจริงแห่งประเทศนี้
ข้อเท็จจริงที่ว่านี้ ได้แก่ ประการแรก การเอาชนะกันด้วยกำลังทางทหารเป็นสิ่งที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากการเผชิญหน้าด้วยกำลังทหารยังดำเนินต่อไป เคราะห์กรรมย่อมหนีไม่พ้นที่จะตกอยู่กับประชาชนชาวเมียนมาร์
ประการที่สอง รัฐบาลทหารเมียนมาร์ไม่ควรเพ้อฝันไปว่า การเลือกตั้งทั่วไปที่จะสามารถจัดขึ้นโดยพลการ โดยปราศจากการพูดจาหารือกับคู่ขัดแย้งทุกฝ่ายที่ทั่วถึง (inclusive dialogue) จะสามารถนำไปสู่สันติภาพได้ ในทางกลับกัน มีแต่จะนำไปสู้ความรุนแรงที่โหดร้ายขึ้น ขยายความเป็นศัตรูคู่อาฆาต และรังแต่จะทำให้ประเทศชาติแตกแยกออกเป็นเสี่ยง ๆ ในที่สุด
อย่างไรก็ดี ความพร้อมของทุกฝ่ายที่จะเกี่ยวพันกับรัฐบาลทหารเมียนมาร์ จะต้องไม่ถูกทึกทักไปว่า เป็นความตั้งใจที่จะสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลทหาร พึงระลึกเสมอว่า การติดต่อสัมพันธ์กันนั้น มิใช่เส้นทางสัญจรทางเดียว แต่เป็นเสมือนเส้นทางที่สามารถวิ่งไปมาหาสู่กันได้
สำหรับฝ่ายต่อต้าน เราเชื่อได้ว่า กองกำลังเหล่านี้คงจะต่อสู้ในสมรภูมิต่อไป และจะกระชับอำนาจในพื้นที่ที่ตนสามารถครอบครอง แม้กระนั้น ในทางการเมืองไม่อาจเลี่ยงได้เลยที่ฝ่ายต่อต้านทุกกลุ่มจะต้องประสานงานกัน ร่วมกันวางยุทธศาสตร์ และกำหนดแนวทางปฏิบัติที่เป็นไปได้ เพื่อนำไปสู่จุดเริ่มต้นของกระบวนการเจรจา ฝ่ายต่อต้านจึงไม่ควรรีบร้อนที่จะปฏิเสธการเลือกตั้ง แต่ควรที่จะพิจารณาผลดีผลเสีย และมีข้อต่อรองอันจะสามารถนำไปสู่เป้าหมายที่สามารถยอมรับกันได้ทุกฝ่าย
ประการที่สาม คู่ขัดแย้งทุกฝ่ายควรตระหนักว่าสันติภาพคือเป้าหมายสูงสุด ดังนั้น การเลือกตั้ง อาจเป็นโอกาสนำไปสู่การเจรจาที่ครอบคลุมทั่วถึงระหว่างคู่ขัดแย้งทุกฝ่าย ซึ่งแน่นอนว่า ทุกฝ่ายจะต้องมีเจตนารมณ์ทางการเมืองร่วมกัน
พึงระลึกด้วยว่า หากปราศจากความพยายามที่จะมุ่งสู่การเจรจาและการปรองดอง ความก้าวหน้าที่จะนำไปสู่สันติภาพ ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้
ก่อนการเลือกตั้ง จึงจำเป็นต้องมีการเจรจา และต้องเข้าใจว่า การเลือกตั้งไม่ใช่จุดจบของวิกฤติการเมืองในเมียนมาร์ ด้วยเหตุที่ว่า การเมืองเมียนมาร์มีความซับซ้อนและปัญหาต่าง ๆ ล้วนหยั่งรากลึก การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นเป็นเพียงย่างก้าวสำคัญประการหนึ่ง ในกระบวนการเปลี่ยนผ่านเมียนมาร์ ซึ่งจะต้องอาศัยกระบวนการเจรจาอีกมากมาย เพื่อประมวลปัญหาที่ซับซ้อนเพื่อกำหนดอนาคตของประเทศ อันจะนำมาซึ่งความเป็นประชาธิปไตยที่สามารถตอบโจทย์ความหวังของประชาชนเมียนมาร์ ความหวังของชนกลุ่มน้อย ซึ่งสิ่งเช่นว่านี้ ไม่เคยเกิดขึ้นเลยในเมียนมาร์นับตั้งแต่ได้รับเอกราช
ประการที่สี่ ประเทศภายนอก ไม่ว่าจะเป็นอาเซียน จีน อินเดีย ประเทศเพื่อนบ้านของเมียนมาร์อื่น ๆ มิตรประเทศ รวมทั้งออสเตรเลีย จำเป็นต้องมีท่าทีร่วมกัน และจะต้องร่วมกันในการเกี่ยวพันอย่างแข็งขันกับเมียนมาร์ กระตุ้น โน้มน้าว และช่วย “สะกิด” คู่ขัดแย้งให้ร่วมกันกำหนดวิถีการการเจรจาและการสร้างกระบวนการสันติภาพ ที่สำคัญคือ ประเทศฝ่ายตะวันตกควรเข้าใจความซับซ้อนของวิกฤติในเมียนมาร์ และช่วยร่วมมือในการผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง มิใช่แต่เพียงการเรียกร้องให้เมียนมาร์ กลับสู่ความเป็นประชาธิปไตยเพียงลำพัง
บทสรุป
สัจธรรมเตือนให้เราตระหนักว่า สันติภาพในเมียนมาร์นั้นยากต่อการเข้าใจ แต่สัจธรรมข้อนี้จะไม่ทำให้เราทุกฝ่ายยอมจำนนต่อความสิ้นหวัง และปล่อยให้ชาวเมียนมาร์ผู้ทุกข์ยากถูกทอดทิ้งไว้เบื้องหลัง เราทุกฝ่ายพึงใคร่ครวญให้ถ่องแท้ว่า สันติภาพรูปแบบใดจะเหมาะสมที่สุดสำหรับเมียนมาร์ กล่าวคือ เป็นสันติภาพอันยั่งยืนที่สามารถจัดการปัญหาต่าง ๆ ที่รากเหง้าของความขัดแย้งในเมียนมาร์ นี่คือสันติภาพที่พึงประสงค์
พึงระลึกเสมอว่า การได้มาซึ่งสันติภาพ เป็นกระบวนการซึ่งย่างก้าวแรกมีความสำคัญที่สุด เพราะอาจจะสามารถนำไปสู่ย่างก้าวถัดไปที่จะสร้างเสริมและนำไปสู่เป้าหมายสูงสุดของการได้มาซึ่งสันติภาพที่ยั่งยืน
พึงยึดมั่นด้วยว่า กระบวนการสันติภาพในเมียนมาร์ เป็นเรื่องที่เมียนมาร์จะต้องเป็นผู้ริเริ่มและเป็นกิจการของเมียนมาร์เอง (Myanmar-led and Myanmar-owned) เราในฐานะบุคคลภายนอกมีเพียงความปรารถนาดี ที่จะเห็นการยุติความขัดแย้งทั้งปวงและให้ชาวเมียนมาร์หลุดพ้นจากเคราะห์กรรมและความทุกข์ยาก ความปรารถนาดังว่านี้ จึงจำเป็นอยู่เองที่เราต้องร่วมกันและลงมือลงแรง ต้องทำงานด้วยกัน ประสานงานเคียงบ่าเคียงไหล่ และระดมกำลังเพื่อช่วยเมียนมาร์อย่างจริงใจ
ในส่วนของคณะมนตรีเพื่อสันติภาพและความปรองดองเอเชีย หรือ The Asian Peace and Reconciliation Council (APRC) เราได้พยายามอย่างแข็งขันเสมอผ่าน Track-two diplomacy เราทำงานเงียบ ๆ อยู่หลังฉาก พยายามหยั่งท่าที และสำรวจความเป็นไปได้ทุกหนทาง เพิ่มเติมจากความพยายาม ผ่านช่องทางการทูตที่เป็นทางการ เพื่อค้นหาเส้นทางที่จะนำไปสู่สันติภาพในเมียนมาร์
ที่ผ่านมาเราสามารถเปิดช่องทางในการพูดจาหารือที่สร้างสรรค์กับผู้นำทหารเมียนมาร์ในกรุงเนปยีดอ ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องฝ่ายต่าง ๆ ของเมียนมาร์ และเราจะดำเนินความพยายามต่อไปเพื่อสร้างสันติภาพที่แท้จริงและยั่งยืนให้เกิดขึ้นในเมียนมาร์ในท้ายที่สุด
หมายเหตุ-ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “เมียนมาร์ในปี 2025 : โอกาสสำหรับสันติภาพที่ยั่งยืน“ (Myanmar 2025: The Prospects for Sustainable Peace) ในเวทีระดับภูมิภาคและระดับโลกเพื่อสนองตอบต่อวิกฤติการณ์ในเมียนมาร์จัดโดยศูนย์วิจัยเมียนมาร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย โดยความร่วมมือของกระทรวงการต่างประเทศและการค้าออสเตรเลีย วันที่ 30 เมษายน 2568 ณ หอประชุม Ian Wark, Shine Dome กรุงแคนเบอร์รา ออสเตรเลีย

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา