"...สภาพภูมิทัศน์สื่อที่เปลี่ยนแปลงไป นักข่าวจำนวนหนึ่งไม่แยกแยะ ระหว่างจริยธรรมของคนทำข่าว กับการทำหน้าที่ต่างตอบแทนให้นักการเมือง ขณะที่กอง บก.หรือผู้บริหารสำนักข่าวต้นสังกัด แม้รับรู้สถานการณ์ต่างก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ถ้าไม่เกิดเรื่องก็ไม่ว่าอะไรคิดแค่ว่าขอให้ได้ข่าวมาก็พอ..."
หมายเหตุ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) : เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2568 นายภาสกร จำลองราช นักข่าวอิสระ ผู้ก่อตั้ง ‘สำนักข่าวชายขอบ’ ได้โพสต์ข้อความเรื่อง "สื่อกับนักการเมือง" ในเฟซบุ๊กส่วนตัวชื่อ "Paskorn Jumlongrach"
**************
เพื่อนเล่าถึงนักข่าวคนหนึ่ง
ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับนักการเมืองใหญ่
ฟังจากพฤติกรรมต่างๆของเธอกับเขาแล้ว
อดร้อง “เฮ้ย”ไม่ได้
นั่นมันนักข่าวหรือหน้าห้อง
ใครที่จะติดต่อกับนักการเมืองคนนี้
ก็ต้องผ่านเธอ
แม้แต่เพื่อนนักข่าวด้วยกัน
เพื่อนอีกคนเล่าถึงนักข่าวอีกราย
ทำหน้าที่คอยเป็นหูเป็นตาและเป็นหน้าม้า
คอยชงหวานต่อหน้ากล้องให้นักการเมือง
ฟังเพื่อนนักข่าวเล่าแล้วก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูก
สภาพภูมิทัศน์สื่อที่เปลี่ยนแปลงไป
นักข่าวจำนวนหนึ่งไม่แยกแยะ
ระหว่างจริยธรรมของคนทำข่าว
กับการทำหน้าที่ต่างตอบแทนให้นักการเมือง
ขณะที่กอง บก.
หรือผู้บริหารสำนักข่าวต้นสังกัด
แม้รับรู้สถานการณ์
ต่างก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่
ถ้าไม่เกิดเรื่องก็ไม่ว่าอะไร
คิดแค่ว่าขอให้ได้ข่าวมาก็พอ
ไม่ต้องคิดมากเรื่องจริยธรรมสื่อ
บางครั้งกอง บก.ก็ต้องพึ่งพา
ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดลักษณะนี้
เพื่อองค์กรด้วยเช่นเดียวกัน
เมื่อวานพอฟังคุณภูมิธรรม เวชยชัย
ชี้แจงในที่ประชุมศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ
กรณีพาสื่อกลุ่มหนึ่งเดินทางไปจีน
เพื่ออธิบายกรณีส่งชาวอุยกูร์ให้ทางการจีน
คุณภูมิธรรมพยายามชี้แจงให้เข้าใจว่า
ไม่ได้เลือกปฎิบัติหรือครอบงำสื่อ
ฟังจบก็ได้แต่หัวเราะหึหึอยู่คนเดียว
นักข่าวที่ไปจีนกับคุณภูมิธรรมเที่ยวนี้
ใครเป็นใคร ใครได้ไปเพราะอะไร
ใครของแท้ ใครของเทียม
คนในแวดวงนักข่าวเขาก็รู้กันทั้งนั้น
เพียงแต่ไม่มีใครอยากออกมาพูด
หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อกัน