
"...มองในเชิงเศรษฐกิจก็เรื่องหนึ่ง แต่ลึก ๆ แล้ว ไส้ในของเรื่องนี้จริง ๆ ก็เป็นผลจากการปะทะกันทางวัฒนธรรม ซึ่งหมายถึง ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเมื่อค่านิยม หรืออาจเรียกว่ากระแสนิยม จากภายนอกเข้ามามีบทบาทปะทะกับความเชื่อทางวัฒนธรรมประเพณีแบบดั้งเดิมในสังคมใดสังคมหนึ่งที่แตกต่างกันมาก อาจส่งผลให้เกิดความขัดแย้ง ซึ่งจะมีผลลัพธ์ชัด ๆ อยู่อย่างน้อย 3 ฉากทัศน์..."
ช่วงระหว่างปิดเทอมฤดูหนาวที่ผ่านมา ได้มีโอกาสเดินทางลงพื้นที่ ณ ย่านวิถีชีวิตหาดราไวย์ ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต ช่วยคุณแม่ทำงานวิจัยเกี่ยวกับทุนวัฒนธรรมชุมชนในโครงการบริหารจัดการสื่อวัฒนธรรมชุมชน "12 พื้นที่วิจัย 44 ย่านวัฒนธรรมชุมชน" ภายใต้โครงการวิจัย เรื่อง "การพัฒนาเมืองแห่งทุนวัฒนธรรมที่ยั่งยืน และเครือข่ายย่านวัฒนธรรมชุมชน" โดยมหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งได้รับทุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
ได้สังเกตเห็นบางเหตุการณ์ที่อาจเป็นการปะทะกันทางวัฒนธรรมระหว่างชุมชนท้องถิ่นกับปัจจัยภายนอก
เริ่มต้นระหว่างที่กำลังรับประทานมื้อกลางวันอยู่กับคุณแม่และทีมงาน มีคนจีนเดินเข้ามาถามเป็นภาษาจีนว่าเราเป็นคนจีนหรือเปล่า ผมก็ตอบไปเป็นภาษาจีนกลางว่าเป็นคนไทยแต่พูดภาษาจีนได้ จากนั้นเขาขอแลกเงินสด โดยเสนอว่าจะโอนเงินหยวนให้ทางวีแชท แล้วให้ผมเอาเงินบาทให้เขา แต่เนื่องจากผมเพิ่งกลับมาจากจีนไม่มีเงินบาทติดตัวเช่นกัน มีแต่เงินหยวน จึงบอกคนจีนไปว่ามีแต่เงินหยวน

ปรากฎว่าคนจีนบอกว่ารับเป็นเงินหยวนก็ได้เช่นกัน ผมจึงให้เงินหยวนสดไปแทน
แล้วเรื่องนี้บอกเล่าอะไรหรือ ทำไมผมถึงเอามาตั้งประเด็น?
เรื่องนี้บอกเล่าว่า เงินหยวนสามารถใช้ในภูเก็ตได้ เชื่อว่าหลายคนทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่ต่างก็ตระหนักถึงเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว ตัวผมไม่ได้ลงมาภูเก็ตเป็นเวลาหลายปีแล้วก็รับรู้ได้ด้วยสามัญสำนึก ว่าที่นี่สามารถใช้เงินหยวนในการซื้อขายสินค้าและบริการ โดยเฉพาะในย่านที่รับนักท่องเที่ยว เรื่องนี้คงไม่ต้องพูดมากให้เปลืองน้ำลาย
มองในเชิงเศรษฐกิจก็เรื่องหนึ่ง แต่ลึก ๆ แล้ว ไส้ในของเรื่องนี้จริง ๆ ก็เป็นผลจากการปะทะกันทางวัฒนธรรม ซึ่งหมายถึง ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเมื่อค่านิยม หรืออาจเรียกว่ากระแสนิยม จากภายนอกเข้ามามีบทบาทปะทะกับความเชื่อทางวัฒนธรรมประเพณีแบบดั้งเดิมในสังคมใดสังคมหนึ่งที่แตกต่างกันมาก อาจส่งผลให้เกิดความขัดแย้ง ซึ่งจะมีผลลัพธ์ชัด ๆ อยู่อย่างน้อย 3 ฉากทัศน์
ฉากทัศน์ 1 : วัฒนธรรมดั้งเดิมมีความเข้มแข็ง มีพลังมากพอในการต่อต้านการเข้ามาของกระแสนิยม ทำให้ไม่เกิดค่านิยมใหม่ คนในสังคมยังคงยึดมั่นในวัฒนธรรมดั้งเดิม
ฉากทัศน์ 2 : วัฒนธรรมดั้งเดิมไม่สามารถต้านกระแสนิยมได้ ส่งผลให้วัฒนธรรมดั้งเดิมสูญหาย ถูกแทนที่ด้วยค่านิยมหรือวิถีปฏิบัติใหม่
ฉากทัศน์ 3 : กระแสนิยมไม่รุนแรงเกินไป วัฒนธรรมดั้งเดิมมีความสามารถในการปรับตัว ความขัดแย้งน้อย เกิดความประนีประนอม ทำให้เกิดการผสมผสาน ของเก่าอยู่ได้ ของใหม่พัฒนา
ในกรณีของการใช้เงินหยวนในภูเก็ตนั้นบ่งบอกสภาพทางเศรษฐกิจของภูเก็ต ที่เป็นเมืองที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติจากทั่วโลก ซึ่งมีความแตกต่างทางวัฒนธรรม ผู้ประกอบการท้องถิ่นภูเก็ตมีความพร้อมในการปรับตัวตามกลไกตลาดที่มีกลุ่มลูกค้าเป็นชาวต่างชาติ เพื่อรองรับและดึงดูดให้ชาวต่างชาติเข้ามาใช้บริการ ในขณะเดียวกัน ชาวต่างชาติเหล่านี้เองก็มีบทบาทในการกำหนดรูปแบบของสินค้าและบริการผ่านความต้องการในกลไกตลาดเช่นกัน ซึ่งตรงนี้เองที่ส่งผลโดยตรงกับวัฒนธรรมและสภาพสังคมดั้งเดิมของภูเก็ต
ในด้านภาษา เนื่องจากโอกาสในการสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยว คนรุ่นใหม่ (ไม่ใช่แค่เฉพาะในภูเก็ต) มีความสนใจในการศึกษาภาษาต่างประเทศเพื่อใช้หาเงิน มากกว่าการอนุรักษ์ภาษาถิ่น
ด้านวิชาชีพ อาชีพหลักของสังคมภูเก็ตในสมัยก่อนคือการทำประมงพื้นบ้าน และการทำเกษตรกรรม (สวนยางพารา) พอภูเก็ตกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม อาชีพและธุรกิจบริการจึงได้รับความนิยมมากขึ้น คนจากต่างจังหวัด/ภูมิภาคมากมายเข้ามาในภูเก็ตเพื่อแสวงหาโอกาสในหลายมิติ
ส่วนด้านศิลปะการแสดงและดนตรี ภูเก็ตเองก็มีดนตรีพื้นบ้าน และระบำรองเง็ง แต่คนรุ่นใหม่มีความสนใจศึกษาดนตรีสากลและรูปแบบการแสดงตามกระแสนิยม ที่สามารถใช้ทำมาหากินในสถานบันเทิง ทำให้ดนตรีและศิลปะการแสดงพื้นบ้านของภูเก็ตเผชิญกับความซบเซา

ในด้านจารีตดั้งเดิม ด้วยความที่ภูเก็ตกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก จึงทำให้กลายเป็นเมืองแห่งโอกาสในการทำมาหากิน และการเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิต ทำให้วัฒนธรรมและวิถีปฏิบัติดั้งเดิมได้รับผลกระทบ ไม่เพียงจากกลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่ยึดในวิถีวัฒนธรรมที่แตกต่าง แต่รวมถึงจากประชากรที่ย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานทำมาหากิน หรือเข้ามาอยู่อาศัยถาวร ซึ่งนอกจากจะเป็นการนำวิถีวัฒนธรรมจากภายนอกเข้ามาส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ยังมีการแต่งงานระหว่างสมาชิกชุมชนดั้งเดิมและสมาชิกจากภายนอก ซึ่งทำให้สมาชิกชุมชนดั้งเดิมปรับเปลี่ยนวิถีชุมชนที่เคยยึดถือ เพื่ออยู่ร่วมกับสมาชิกใหม่ที่มาจากภายนอก
ถ้ามองจากโมเมนตั้มความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ก็จะเห็นฉากทัศน์ที่กระแสนิยมจากภายนอกเข้ามามีอิทธิพล และทำให้วัฒนธรรมดั้งเดิมของชุมชนบางอย่างต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่จะสูญหายไปในอนาคต เพราะไม่ได้ถูกส่งเสริม ไม่มีโอกาสทางรายได้ และขาดความสามารถในการแข่งขันกับกระแสนิยมจากภายนอก
ซึ่งผลลัพธ์ต่าง ๆ ก็ยังขึ้นอยู่กับตัวแปรอื่น ๆ ที่มีความซับซ้อนละเอียดอ่อนอีกมากมาย แต่ก็ต้องยอมรับว่าฉากทัศน์ที่ win ที่สุดคือฉากทัศน์ที่ของเก่าและของใหม่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างประนีประนอม ของเก่าอยู่ได้ ของใหม่พัฒนา ซึ่งในวันนี้ โจทย์ดังกล่าวได้กลายเป็นวาระ “Soft Power” ที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง และมีความพยายามผลักดันจากทั้งภาครัฐและเอกชนในประเด็นวัฒนธรรมเชิงเศรษฐกิจ ที่มุ่งหวังในการสร้างตัวตนและมูลค่าให้กับวัฒนธรรม พัฒนาสินค้าและบริการท้องถิ่น โดยใช้แนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (creative economy) ที่เป็นแนวคิดและวิธีการทางการตลาดยุคใหม่ มาสร้างรายได้ให้สินค้าชุมชน เพื่อให้วิถีดั้งเดิมยังสามารถดำเนินต่อไปได้ และยังนำรายได้เข้าประเทศและชุมชน จนมีวลีและคำศัพท์เท่ ๆ ที่ภาครัฐ-เอกชนต่างนำไปใช้เป็นคำโปรยหรือชื่อโครงการสวย ๆ อาทิ Local to global (ท้องถิ่นสู่สากล) , glocal (local + global) เป็นต้น
ก็ต้องยอมรับว่าเป็นแนวทางที่ไม่เลว แต่ปัญหามีอยู่ว่า ผู้ที่ทำหน้าที่กำหนดตัวตนและ Story telling เกี่ยวกับชุมชนและสินค้าวัฒนธรรมนั้น กลับไม่ใช่ผู้ที่เป็นเจ้าของวัฒนธรรมหรือสมาชิกในชุมชนนั้น ๆ แต่เป็นเอเจนซี่ที่ได้รับการจ้างเหมาโดยหน่วยงานภาครัฐอีกที ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเอเจนซี่เหล่านั้นมีความเชี่ยวชาญในงาน creative มากกว่าเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาครัฐ และทำหน้าที่ออกมาได้อย่างครบถ้วนตามเงื่อนไขการอ้างอิงหรือ Terms of Reference (TOR) แต่สิ่งที่เอเจนซี่เหล่านั้นขาดคือความ authentic หรือความเป็น “ตัวจริง” ในการเล่าเรื่องนั้น ๆ
ผมยกตัวอย่างเช่น หากมีคนสองคนมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับมวยไทย คนแรกเป็นนักศึกษาคณะนิเทศน์ในกทม. และเป็นแฟนมวยที่ติดตามการแข่งขันมวยไทยและฝึกซ้อมมวยไทยมาในระดับหนึ่ง กับอีกคนคือนักมวยไทยอาชีพที่ฝึกซ้อมกับค่ายมวยในต่างจังหวัด ผ่านการชกบนสังเวียนมามากกว่า 40 ครั้ง คำถามคือ เรื่องเล่าของใครจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่ากัน ?
แน่นอนว่า เรื่องที่เล่าโดยนักมวยไทยย่อมมีความน่าเชื่อถือกว่า มีอรรถรส และความน่าดึงดูดมากกว่าเป็นพื้นฐาน เนื่องจากความแตกต่างทางประสบการณ์ และความเป็น “ตัวจริง” ของนักมวยไทยนั้นมีมากกว่า ไม่ว่าเนื้อหาจะถูกหรือผิดอย่างไร ถ้าเป็นเรื่องมวยไทย ผู้เล่าเรื่องที่เป็นนักมวยไทยย่อมสร้างแรงดึงดูดและความน่าเชื่อถือได้มากกว่า
แต่ถ้าเปลี่ยนคำถามเป็นเรื่องเล่าของใครสนุกกว่า เข้าถึงง่ายกว่า ? คำตอบก็อาจจะเปลี่ยนเป็นนักศึกษา เพราะมีทักษะการสื่อสารที่ดีกว่า และยังมีเทคนิคการเล่าเรื่องในหลากหลายช่องทาง ทำให้เรื่องเล่าที่เรียบเรียงออกมามีความเข้าใจง่าย เข้าถึงง่าย และสร้างสรรค์ แต่ก็ยังขาดประสบการณ์ตรง ที่มีส่วนสำคัญในการสร้างอรรถรสในการเล่าเรื่อง
จะเห็นได้ว่าความยากของเรื่องนี้คือ
1. “ตัวจริง” เล่าเรื่องไม่เก่ง
2. คนเล่าเรื่องเก่งไม่ใช่ “ตัวจริง”
ซึ่งกรณีที่ดีที่สุดคือคนที่เป็น “ตัวจริง” สามารถเล่าเรื่องได้เก่ง ซึ่งนี่ก็คือโจทย์สำคัญในเวลานี้
ปัญหาต่อมาที่สำคัญไม่แพ้กัน คือการที่สมาชิกชุมชนที่เป็นเจ้าของวัฒนธรรม ขาดความรู้ความเข้าใจในวัฒนธรรมของชุมชนตนเอง ทำให้ไม่สามารถเล่าออกมาได้ และกลายเป็นความเสี่ยงที่จะทำให้วัฒนธรรมไม่สามารถส่งต่อให้คนรุ่นต่อไปสืบทอด และสูญหายไปในที่สุด
ยกตัวอย่างเช่นระบำรองเง็งที่ชุมชนหาดราไวย์ ที่จะต้องมีการบรรเลงดนตรีพื้นบ้าน ซึ่งเป็นเพลงภาษามาลายู ในวันนี้ เหลือเพียงนางรำคนสุดท้ายที่สามารถร้องเพลงรองเง็งเป็นภาษามาลายูได้ ก็คือถ้าหากว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางรำคนนี้ในวันนี้ ก็จะไม่เหลือคนที่ร้องเป็นอีกแล้ว การส่งต่อวิชาก็จะไม่สามารถทำได้ และกลายเป็นจุดสิ้นสุดของการร้องเพลงรองเง็ง เหลือเพียงการรำและการบรรเลงดนตรีที่จะสามาถดำรงต่อไปได้

ไม่เพียงเท่านั้น ในส่วนของระบำรองเง็ง อย่าว่าแต่คนนอกเลยครับ คนในชุมชนบางคนก็ยังไม่คุ้นเคย ไม่รู้จัก
มวยกาหยงก็เช่นกัน เนื่องจากการให้ความสำคัญกับศิลปะมวยไทยในภูเก็ต ทำให้มวยไทยกลายเป็นกระแสนิยม ที่นอกจากจะได้รับความนิยม ยังสามารถสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวอย่างน่าพึงพอใจ ทำให้มวยกาหยงซึ่งเป็นศิลปะการต่อสู้พื้นบ้านซบเซา เนื่องจากไม่สามารถสร้างรายได้และประกอบเป็นอาชีพหลักได้
วัฒนธรรมดังกล่าวใช้วิธีการสืบทอดแบบรุ่นสู่รุ่น จากพ่อสู่ลูก จากอาจารย์สู่ลูกศิษย์ แต่ถ้าหากวันใดที่ไม่มีการสืบทอดแล้วนั้น วัฒนธรรมชิ้นนี้ก็อาจจะถึงจุดสิ้นสุดเช่นกัน ซึ่งในปัจจุบัน คนที่รู้จักมวยกาหยงจริง ๆ มีจำนวนน้อย คนในพื้นที่บางคนก็ไม่มีความรู้ความเข้าใจ ทั้งยังขาดการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร
นอกจาก 2 วัฒนธรรมที่ยกตัวอย่างมานี้ ยังมีเรื่องของภาษา การประมงพื้นบ้าน และภูมิปัญญาต่าง ๆ มากมายที่กำลังตกอยู่ในสภาวะคล้ายกัน ข้อนี้ทำให้เราต้องหันกลับมาทบทวนกลยุทธ์ Soft Power ที่กำลังผลักดันกันอยู่หรือไม่ ? ควรทำ Local to Local ให้รอดก่อน ค่อยพูดถึง Local to Global หรือไม่ ? เพราะถ้าท้องถิ่นไม่แข็งแรงโดยพื้นฐาน จะให้ไปสู่สากลก็คงเป็นเรื่องยาก
จริงอยู่ที่การกำหนดยุทธศาสตร์ในระดับมหภาคเป็นเรื่องสำคัญ แต่เมื่อลงมาดูวัฒนธรรมชุมชนจริง ๆ แล้วนั้น ผมกลับเห็นว่าการกำหนดนโยบายในระดับจุลภาคเองก็สำคัญไม่แพ้กัน และไม่ควรถูกมองข้าม โดยเฉพาะในแง่ของการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย การสร้าง Story telling ให้กับวัฒนธรรมไทยนั้น ไม่ควรพุ่งเป้าไปที่ความต้องการของตลาดที่เน้นการสร้างกระแสนิยมเพียงอย่างเดียว โดยที่มองข้ามการบ่มเพาะประชาชนในพื้นที่และชุมชน ให้มีความรู้ความเข้าใจในวัฒนธรรมของตนเองในระดับที่สามารถนำไปเล่าต่อและสืบต่อได้ รวมถึงการสร้างฐานข้อมูลที่รวบรวมข้อมูลวัฒนธรรมชุมชน เพื่อเป็นหลักประกันไม่ให้วัฒนธรรมสูญหายจากการถูกกลืนกินโดยกระแสนิยม กล่าวคือ นอกจากจะสร้างสื่อที่โปรโมทวัฒนธรรมไทยให้ชาวต่างชาติแล้วนั้น ยังควรสร้างสื่อที่ส่งเสริมให้คนในชุมชนสามารถเข้าถึง และเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของตนเองได้ เพื่อสร้าง “ตัวจริง” ที่รู้จริงให้มีจำนวนมากขึ้น และพร้อมจะนำสิ่งที่รู้มาเล่าต่อ
จากนั้น การบ่มเพาะการใช้สื่อยุคใหม่ในการเล่าเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเมืองไทยมีคนรู้เกี่ยวกับการสร้างคอนเทนท์มากมายอยู่แล้ว
สรุปโดยง่ายได้ว่า การจะสร้าง “Local Creator” หรือครีเอเตอร์ชุมชนนั้น ประกอบด้วยความรู้ 2 ด้านหลัก ด้านแรกคือความรู้เกี่ยวกับ Local ซึ่งคือการรู้จักตัวเอง รู้จักบ้านเกิด รู้จักวัฒนธรรมประเพณี ประวัติควาามเป็นมา จุดแข็งและจุดอ่อนต่าง ๆ ส่วนด้านที่สองก็คือ ความรู้เกี่ยวกับการเป็น Creator ซึ่งเกี่ยวกับการเล่าเรื่อง การสร้างความน่าสนใจ และการใช้สื่อที่สอดคล้องกับยุคสมัย
ต้องให้ความสำคัญกับทั้ง 2 ด้าน โดยทำควบคู่กันไป ทำด้านใดด้านหนึ่งโดยที่มองข้ามอีกด้านหนึ่งไม่ได้ ข้อนี้ ผมเห็นว่าเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าคำพูดสวยหรู หรือปาฐกถาบนเวทีหรือสถานีโทรทัศน์ ที่พูดแล้วดูเท่ แต่เนื้อในตื้นเขิน มีแต่นามธรรม จับต้องไม่ได้ ทั้งยังกว้างจนไม่เห็นทิศทาง
ในส่วนของกลไกความร่วมมือนั้น จะพึ่งพาแต่ผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้มีประสบการณ์ในด้าน Creative economy ไม่ได้ จำเป็นต้องให้ความสำคัญต่อการใช้นโยบายกำกับหน่วยงานระดับท้องถิ่น ให้กระชับความร่วมมือกับชุมชน นักวิจัย และภาคประชาสังคม ในการร่วมกันผลักดันวัฒนธรรมชุมชน ทั้งในด้านการบ่มเพาะ Local Creator และการบันทึกข้อมูลทางวัฒนธรรมด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อสร้างหลักประกันให้วัฒนธรรมไม่สูญหาย รวมถึงการระดมกำลังหาทางสร้างข้อได้เปรียบให้วัฒนธรรมชุมชนในการสร้างรายได้ เป็นรากฐานให้ Thai local มีความเข้มแข็ง พร้อมสร้างกระแสนิยมนิยมใหม่สู่สากลอย่างยั่งยืน
งานวิจัยในโครงการนี้ที่ลงพื้นที่ทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง น่าจะช่วยสร้างแม่แบบตอบข้อสังเกตของผมเหล่านี้ได้มากทีเดียว


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา