"...พราะอันที่จริงไทยเป็นชาติวิทยาศาสตร์ ที่มีศิลปศาสตร์ สุนทรียะ อารยะ มานานแล้ว จากร่องรอยอารยธรรม หลักฐานทางโบราณคดี และ บันทึกของนานาประเทศ แสดงให้เห็นความเจริญของไทยตั้งแต่สมัยเป็นดินแดนสุวรรณภูมิ เมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว สะท้อนความเป็น Globalization และ Civilization ของไทย น่าเสียดายถ้าเราไม่ได้สานต่อเรื่องนี้ เรายังไม่ได้ใช้ประโยชน์จากการที่เราเป็นแผ่นดินทองที่ตกทอดมาตั้งแต่อดีตเลยครับ และผมคิดว่าสุวรรณภูมิจะเป็นจุดคานงัดสำคัญของไทยที่จะเป็นที่ยอมรับของชาวโลกได้ไม่ยากครับ..."
17-18 ปี เป็นเวลามากพอที่จะสร้างผลงาน หรือ ความสำเร็จอะไรได้แล้วไหมครับ ผมยังคิดว่านานเกินไปด้วยซ้ำ โลกยุคนี้เปลี่ยนแปลงเร็ว เทคโนโลยี ช่วยย่นย่อให้เราสามารถทำอะไรได้มากขึ้น เร็วขึ้น และ ดีขึ้น เมื่อตอนที่ผมเป็นรัฐมนตรีในปี 2563 จึงมั่นใจและกล้าที่จะประกาศว่า อีก 17-18 ปีต่อจากนั้น อว.จะทำให้ไทยก้าวสู่ประเทศพัฒนาแล้วได้ภายในปี 2580 แน่นอนครับ ผมเชื่อมั่นในข้าราชการ และ บุคลากรในกระทรวง อว.ทุกคนครับ
ด้วยการนำของผมในตอนนั้น คือ การนำให้ประเทศเดิน 2 ขา ด้วยศักยภาพ และ สมองทั้ง 2 ข้างของคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนกระทรวง อว. ซึ่งเป็นกระทรวงของโอกาส และ อนาคต และเน้นการทำเรื่องยากๆ และ ยาวๆ เพื่อเป็นเข็มทิศ และ ปูทางให้กับประเทศ ด้วยการเพิ่มศักยภาพของคนไทย และ เชื่อมโยงคนไทยกับโลกโดยใช้ วิทยาศาสตร์ และ ศิลปศาสตร์ไปด้วยกัน
เพราะอันที่จริงไทยเป็นชาติวิทยาศาสตร์ ที่มีศิลปศาสตร์ สุนทรียะ อารยะ มานานแล้ว จากร่องรอยอารยธรรม หลักฐานทางโบราณคดี และ บันทึกของนานาประเทศ แสดงให้เห็นความเจริญของไทยตั้งแต่สมัยเป็นดินแดนสุวรรณภูมิ เมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว สะท้อนความเป็น Globalization และ Civilization ของไทย น่าเสียดายถ้าเราไม่ได้สานต่อเรื่องนี้ เรายังไม่ได้ใช้ประโยชน์จากการที่เราเป็นแผ่นดินทองที่ตกทอดมาตั้งแต่อดีตเลยครับ และผมคิดว่าสุวรรณภูมิจะเป็นจุดคานงัดสำคัญของไทยที่จะเป็นที่ยอมรับของชาวโลกได้ไม่ยากครับ
อีกประการ คือ ไทยเราเป็นวิทยาศาสตร์แบบ HOW TO ไม่ใช่แบบนักสร้างทฤษฏี เราสร้างเจดีย์วัดอรุณสูงเท่าตึก 20 ชั้นริมแม่น้ำได้โดยไม่ต้องใช้เสาเข็ม เราทำงานศิลปะเป็นเครื่องประดับชั้นสูงให้กับเจ้านาย กษัตริย์ในหลายประเทศตั้งแต่อดีต เราทำการค้าทางไกลกับนานาประเทศจนเป็นที่ยอมรับมาแล้วทั่วโลก เรื่องเหล่านี้ต่างชาติเห็นความอัศจรรย์ในภูมิปัญญาของคนไทย แต่คนไทยมักมองไม่เห็นความเก่งของตัวเองครับ
สิ่งที่ผมทำตอนนั้น คือ นำ อว.ให้เป็นธงนำผลักดันไทยก้าวสู่ประเทศพัฒนาแล้วให้ได้ภายในปี 2580 ด้วย 3 ประการสำคัญ คือ
1.ยกขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับประเทศด้วยการเพิ่มคุณค่าและมูลค่าให้กับอารยธรรม สุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นที่ตั้งของไทยที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากว่า 2,500 ปี ซึ่งเรื่องนี้จะทำให้ทั่วโลกหันมาสนใจประเทศไทยมากขึ้นในทันที
2. Export หรือ ส่งออก เอกลักษณ์ ความรู้ของไทยออกนอกประเทศ ให้คนต่างชาติอยากมาเรียน อยากมาร่วมงานกับคนไทย ด้วยความน่ารัก เป็นมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใส มีความคิดสร้างสรรค์ และมีเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นที่โดดเด่น หาประเทศไหนแข่งกับเราได้ยากครับ..... ไม่ว่าจะไปประเทศไหน ผู้นำประเทศมักมากระซิบผมว่า “อยากอยู่เมืองไทย” ครับ นี่แหละครับจุดขายของไทย
3.การสร้างมิตรภาพถึงขั้นที่ให้ผู้นำของประเทศในกลุ่ม CLMV รู้สึกว่าเราเป็นมิตรแท้ และนานาชาติยอมรับในความจริงใจของเรา ประกอบกับความได้เปรียบเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ความเอื้ออาทรตามนิสัยคนไทย ผ่านความสัมพันธ์แบบไม่เป็นทางการต่อประเทศเพื่อนบ้าน เราได้ใจเค้าไม่ยากเลยครับ อว.ทำได้แล้วด้วยครับ ตอนนี้ลูกหลานของผู้นำประเทศเพื่อนบ้านมาเรียนหนังสือที่บ้านเราแล้วครับ
อีก 13 ปีจะถึงเป้าหมายที่จะเปลี่ยนไทยสู่ประเทศพัฒนาแล้ว ไม่ยากเกินความสามารถครับ ถ้าเรามีผู้นำที่เก่ง มีวิสัยทัศน์ ควบคู่ไปกับโลกทัศน์ และ คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ที่สำคัญต้องเป็นผู้นำที่มีคนอยากตามด้วยครับ
ผมยินดีสนับสนุน ช่วยเหลือ และ สร้างผู้นำให้กับประเทศ เวลานี้ประเทศไทยต้องการผู้นำที่เก่ง ดี และ สามารถ เพราะถ้าเก่ง และ ดีแต่ไม่มีความสามารถ จะทำให้เราเดินช้าลงจนกระทั่งอาจเดินไม่ทันโลกได้ครับ.....ตามผมมาคุยกับผมต่อในมื้อถัดไปนะครับ
..... เชิญทานอาหารให้อร่อยครับ “เอกเขนก” รวมบทสนทนา (ไม่) ลับบนโต๊ะอาหารตลอด 3 ปี ที่คุณไม่เคยได้ยินของผม อดีต รมว.อว.ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ กับ เรื่องราวเบื้องหลังแผนการเปลี่ยนไทยสู่ประเทศพัฒนาแล้วในปี 2580