"...วันนั้น..เป็นการจัดงานเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีของสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน( โดยคุณมีชัย วีระไวทยะ) ดิฉัน..กาญจน์ลดา มฤคพิทักษ์ ในฐานะศิษย์เก่าเคยร่วมงานวางแผนครอบครัวกับองค์กรนี้มาหลายปี ได้ไปร่วมงานและอยู่ตั้งแต่ต้นจนงานเลิก และได้เห็นการแชร์กล่าวโทษท่านมาหลายวันจนคิดว่าน่าจะต้องขยับแสดงความคิดเห็นด้วยคน ใครคิดเห็นแตกต่างออกไป ก็สามารถแสดงออกได้บนพื้นฐานของความสุจริตใจโดยขอให้เว้นพื้นที่ของการสรุปกล่าวโทษหรือว่าร้ายกันโดยที่ยังไม่เคยได้พบปะซักถามเบื้องหลังที่มาของความคิดนั้นๆของท่านอานันท์ เพียงแต่คิดไม่เหมือนตนเอง ก็ชี้หน้ากันแล้ว..."
ก็ไม่คิดว่า การเป็นองค์ปาฐกถานำเรื่อง “ฉากทัศน์อนาคตสังคมไทย” เมื่อวันศุกร์ที่ 24 พฤษภาคม 2567 ของท่านอานันท์ ปันยารชุน จะถูกทำให้บานปลาย มีการตำหนิกล่าวโทษเสมือนท่านเป็นผู้ทำให้สังคมวุ่นวายก็ไม่ปาน บานปลายกระทั่งว่าท่านเป็น “พวกล้มเจ้า” ไปโน่น กระทั่งวันนี้ (31 พฤษภาคม ) ก็ยังไม่หยุดแชร์คำพูดดังกล่าว
น่าสงสารประเทศไทยจริงๆ ที่ผู้คนแตกกันเละไม่มีชิ้นดี งานนี้ฝ่ายที่ต้องการให้เกิดการแตกความสามัคคีของคนในชาติบรรลุเป้าหมายอย่างงดงามเลย..
ที่ต้องออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ก็เพราะ :-
1) รู้จักท่านมานานไม่น้อยกว่า 30 ปี เจอตัวเป็นๆ สังสรรค์กัน เที่ยวด้วยกันเป็นคณะ ฟังทัศนะท่านที่มีมุมมองของคนที่รักห่วงใยบ้านเมือง เป็นจุดยืนที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงกระทั่งบัดนี้ ไม่นับรวมที่ท่านได้ลงมือช่วยสังคมอีกมากมายที่ไม่ได้ป่าวประกาศ
2) ความคิดที่แตกต่างหรือมุมมองต่อสถานการณ์ แม้จะไม่เหมือนเรา นั่นก็ไม่สมควรจะถูกชี้หน้าว่า “แก่แล้ว แก่เลย” ไม่ควรบอกว่า “แต่ก่อนเคยนับถือ..แต่เดี๋ยวนี้..” ถ้าหากบุคคลผู้นั้นไม่ได้ทรยศต่อบ้านเมือง ตราบใดที่คนๆนั้นไม่ได้ชื่อว่าเนรคุณแผ่นดินเกิด ขายจิตวิญญาณให้คนชั่ว ฯลฯ
วันนั้น..เป็นการจัดงานเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีของสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน( โดยคุณมีชัย วีระไวทยะ) ดิฉัน..กาญจน์ลดา มฤคพิทักษ์ ในฐานะศิษย์เก่าเคยร่วมงานวางแผนครอบครัวกับองค์กรนี้มาหลายปี ได้ไปร่วมงานและอยู่ตั้งแต่ต้นจนงานเลิก และได้เห็นการแชร์กล่าวโทษท่านมาหลายวันจนคิดว่าน่าจะต้องขยับแสดงความคิดเห็นด้วยคน ใครคิดเห็นแตกต่างออกไป ก็สามารถแสดงออกได้บนพื้นฐานของความสุจริตใจโดยขอให้เว้นพื้นที่ของการสรุปกล่าวโทษหรือว่าร้ายกันโดยที่ยังไม่เคยได้พบปะซักถามเบื้องหลังที่มาของความคิดนั้นๆของท่านอานันท์ เพียงแต่คิดไม่เหมือนตนเอง ก็ชี้หน้ากันแล้ว
กาญจน์ลดาเป็นคนหนึ่งที่ได้รับอานิสงส์จากคำสั่งที่ 66/2523 ถ้าไม่มีคำสั่งนี้ เชื่อว่าสงครามประชาชนที่สูญเสียชีวิตคนนับหมื่น งบประมาณนับแสนล้านบาทคงจะดำเนินถึงปัจจุบัน หรือไทยอาจเป็นเมืองขึ้นของเวียดนามไปแล้ว โดยชาติที่อยู่เบื้องหลังความหายนะของประเทศไทยคืออเมริกาและปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นนั้นในความเป็นมหาอำนาจที่แส่ไปทั่วโลก
อดีตผู้นำไทย ตั้งแต่ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ รวมทั้งคุณอานันท์ ปันยารชุน ซึ่งเป็นปลัดกระทรวงการต่างประเทศในเวลานั้นที่ถางทางสะดวกให้แก่การเปิดสัมพันธ์ทางการทูตไทยจีน ท่านที่เอ่ยนามนี้ มองภาพรวมของทั้งประเทศ เอาผลประโยชน์ของชาติมาก่อน สร้างสัมพันธภาพกับจีนมาโดยลำดับ นอกจากไทยจะรอดพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้นของเวียดนามแล้ว ยังสืบเนื่องเป็นที่มาของการยุติสงครามประชาชนลงได้ อีกต่างหาก ทำให้นักศึกษาประชาชนหลั่งไหลออกจากป่าคืนสู่เมืองจนหมด
สงครามประชาชนระหว่างรัฐบาลไทยกับพรรคคอมมิวนิสต์ไทยรุนแรงยิ่งกว่ากรณีเด็กๆ กลุ่มนี้ที่มีพฤติกรรมขวางหูขวางตา โดยมีข้อเท็จจริงของสังคมไทยรองรับ ไม่ว่าจะเรื่องการโกงกิน คอรัปชั่น นักการเมืองเน่าๆ ทุนใหญ่ผูกขาด การแย่งชิงอำนาจระหว่างกัน ความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่อย่างสูง ข้าราชการกังฉิน ความเน่าเฟะของระบบราชการโดยเฉพาะวงการตำรวจ แต่เพราะสายตาที่ยาวไกลเมื่อนำมาชั่งน้ำหนักว่าการทำสงครามระหว่างคนไทยด้วยกันอันเกิดจาก “ความคิด” จะได้ไม่คุ้มเสีย นโยบาย 66/2523 ถึงได้ออกมา
ถามว่า การต่อสู้ของนักศึกษาประชาชนภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์ผิดกฎหมายมั้ย ?
การออกมาป่วนเมืองของกลุ่มต่างๆไม่ว่าจะ “ทะลุ” อะไรก็ตามแต่ ผิดกฎหมายมั้ย ?
แน่นอน..ทุกคนย่อมตอบเหมือนกันว่าผิด..
ถ้าการออกนโยบาย 66/2523 สมควรถูกประณาม
คำพูดท่านอานันท์ที่กำลังถูกวิพากษ์ขณะนี้ ก็สมควรถูกประนามเช่นกัน
แต่ที่มาที่ไป คนที่วิพากษ์ท่านเข้าใจบริบทของคำพูดของท่านหรือเปล่าหรือจะสรุปแบบง่ายๆ ว่า “ท่านแก่กะโหลกกะลา” ?
เรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ก็เช่นกันซึ่งเป็นเรื่องของความมั่นคงของชาติ หากจัดการไม่ดี บ้านเมืองมีโอกาสเกิดสงครามกลางเมืองได้เช่นกัน สายเลือดไทยจะห้ำหั่นกันเอง แต่ด้วยพระปรีชาสามารถและเมตตาธรรมของพระมหากษัตริย์ไทยที่มองเห็นผลที่จะตามมาว่าได้ไม่คุ้มเสียกับการใช้กฎหมายไปเสียทุกเรื่อง แต่ให้ใช้แนวทาง เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ล้นเกล้าฯทั้งรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่10 ต่างมีพระทัยผ่อนปรนในกรณี 112 เพราะยิ่งใช้สถาบันฯก็ยิ่งเดือดร้อนตามที่ล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัสไว้ บรรดาผู้มีหน้าที่แทนที่จะต่อยอดเรื่องนี้ ด้วยการมีกุศโลบายในการแก้ปัญหา เด็กกลุ่มนี้อาจได้ข้อมูลคลาดเคลื่อน อาจมีท่ามีล่วงล้ำก้ำเกินซึ่งถ้าเปรียบแล้ว ยังมีดีกรีความเข้มข้น น้อยกว่าฝ่ายซ้ายยุคก่อนเข้าป่า เมื่อปี 2519 ด้วยซ้ำไปแต่กลับใช้หลักนิติศาสตร์มาแต่ต้น ใช่แหละ..ไม่งั้นจะมีกฎหมายไว้ทำไม ? พูดอีกก็ถูกอีก แต่ไม่ทั้งหมด ยังมีหลักรัฐศาสตร์ประกอบด้วย ไม่ใช่เพราะใช้กฎหมายและความรุนแรงแบบทักษิณหรือ ภาคใต้ถึงไม่สงบจนบัดนี้
คนอย่างท่านอานันท์ ถ้าใครรู้จักท่านจริง ไม่ใช่แค่ฟังคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคที่ท่านต้องการให้คนที่มีหน้าที่แก้ปัญหาบ้านเมืองได้คิด..ท่านยังคงดำรงความเป็น“มนุษย์” ที่มีเมตตาธรรมสูง มองสถานการณ์โดยรวมออกว่าประเทศเราตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร แต่คนที่อยากครองอำนาจและมุ่งหวังบ่อนเซาะสถาบัน เขารู้ว่ายิ่งใช้วิธีการที่ตรงกันข้ามกับพระราชประสงค์ของสถาบัน เด็กก็จะยิ่งเป็นอริต่อสถาบัน ต่อต้านสถาบัน จึงมีการใช้กฎหมายในการจัดการ 100 % เพื่อให้สถาบันอ่อนแอลงเรื่อยๆ เหมือนน้ำเซาะหินนั่นแหละ
สภาพบ้านเราตอนนี้ เหมือนยุคที่กรุงศรีฯใกล้แตกเข้าไปทุกที ยิ่งอยู่ในยุคโซเชี่ยลเฟื่อง คำพูดไม่กี่ประโยค ก็นำไปขยายกันจนบานปลาย
หากบ้านเมืองจะล่มสลาย ก็เพราะคนไทยด้วยกันเองที่หูเบา คำพูดท่านอานันท์ยาวชั่วโมงกว่ามีคุณค่าเยอะแยะ แต่แค่บางประโยคโดยที่ไม่รู้เบื้องหลังความคิดท่านว่าคืออะไร ก็ใช้มันมาลบล้างคุณงามความดีที่ท่านทำมาตลอดชีวิต กระทั่งปัจจุบันนี้ท่านก็ยังกระตือรือร้นทำประโยชน์ให้กับสังคมโดยรวมอยู่เสมอ
โดยคนที่วิจารณ์บางคน ลองถามตัวเองว่าได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองกระทั่งในระดับสากล (ยูนิเซฟ) สักขี้เล็บท่านได้มั้ย
ในขณะที่สื่อมวลชนอย่าง “สุทธิชัยไลฟ์” สำนักข่าวอิศรา นสพ. เดลินิวส์ ต่างนำเสนอข่าวและสาระปาฐกถา “ฉากทัศน์อนาคตสังคมไทย” โดยมองถึงเนื้อหาสาระรวม อย่างมีวิจารณญาณ
ใครที่รู้จักท่าน จะทราบดีว่าท่านเป็นตัวของตัวเอง ตรงไปตรงมา ไม่เคยขายจิตวิญญาณ ไม่เคยมีชื่อเสียงด่างพร้อยในทางหาผลประโยชน์ แต่ด้วยความเป็นผู้ใหญ่ของท่าน ใครจะเข้าหาแลกเปลี่ยนความคิด ขอคำปรึกษา ท่านเมตตาเปิดกว้าง แต่แค่เห็นท่านร่วมเฟรมกับคนอย่างนายธนาธร โดยที่ไม่ทราบข้อเท็จจริง ก็ไปตัดสินเรียบร้อยว่าท่านคิดหรือเอียงข้างนายธนาธร
หรือการที่ท่านตั้งคำถามว่า “สนุกนักหรือกับการจับเด็กเข้าคุก...” ก็สรุปเปรี้ยงว่าท่านให้ท้ายเด็กกลุ่มนี้
หรือว่าการด่วนสรุปแบบใช้ความสะใจแทนที่ความเป็นจริง การนำเอาเฉพาะส่วน มาแทนที่ส่วนทั้งหมด การแขวนป้ายประณามคนอื่นอย่างง่ายๆ จะกลายเป็นวิถีใหม่ (New Normal) ของสังคมไทยไปแล้ว