"...โดยหลักการแล้วจึงจำเป็นต้องได้เสียงข้างมากจริง ๆ ของประชาขน การกำหนดให้ใช้เงื่อนไข “เสียงข้างมาก 2 ระดับ (Double Majority)” หรือจะเรียกแบบบ้าน ๆ ว่า “2 เกินกึ่งหนึ่ง” หรือ “เกินกึ่งหนึ่ง 2 ชั้น” ไว้ในมาตรา 13 พระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 มีขึ้นเพื่อตอบโจทย์นี้..."
การทำประชามติจะเกิดขึ้นได้ก็เฉพาะในกรณีที่มีความสำคัญมากเฉพาะตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ เพราะเป็นการสอบถามประชาชนโดยตรง ให้ประชาชนร่วมในกระบวนการตัดสินใจโดยตรง ไม่ใช่เพียงแค่ให้ผู้แทนราษฏรตัดสินใจเท่านั้น อาจจะกล่าวได้ว่าเสมือนเป็นการใช้ประชาธิปไตยทางตรงมาเสริมระบบประชาธิปไตยโดยผู้แทน
โดยหลักการแล้วจึงจำเป็นต้องได้เสียงข้างมากจริง ๆ ของประชาขน การกำหนดให้ใช้เงื่อนไข “เสียงข้างมาก 2 ระดับ (Double Majority)” หรือจะเรียกแบบบ้าน ๆ ว่า “2 เกินกึ่งหนึ่ง” หรือ “เกินกึ่งหนึ่ง 2 ชั้น” ไว้ในมาตรา 13 พระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 มีขึ้นเพื่อตอบโจทย์นี้
- ผู้มาใช้สิทธิต้องเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ
- ผลการออกเสียงต้องเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ
เป็นความพยายามที่จะให้การตัดสินใจในเรื่องสำคัญมากใด ๆ เป็นไปตามเสียงข้างมากจริง ๆ ของประชาชน ในกระบวนการภายในของรัฐสภาเอง เมื่อตัองลงมติสำคัญในบางเรื่อง ทั้งให้ความเห็นขอบร่างกฎหมาย และให้ความเห็นชอบบุคคลดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ รัฐธรรมนูญและกฎหมายก็กำหนดให้ใช้เงื่อนไข “เกินกึ่งหนึ่ง” อยู่เป็นปกติ
ในขั้นกระบวนการพิจารณาในรัฐสภาเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เนื้อหาในมาตรา 13 นี้แม้จะมีการอภิปรายกันอยู่บ้าง แต่หาใช่ประเด็นความขัดแย้งแต่ประการใด การลงประชามติตามกฎเกณฑ์ใหม่นี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นเลยสักครั้ง จึงยังไม่มีตัวแบบใด ๆ ให้พิจารณาทั้งสิ้น
วันนี้จะบอกว่ามีปัญหา ต้องแก้ไข โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การให้เหตุผลว่าข้อกฎหมายที่ให้ใช้เงื่อนไข 2 เกินกึ่งหนึ่ง หรือเกินกึ่งหนึ่ง 2 ชั้นจะไม่มีทางทำให้การประชามติไม่ว่าเรื่องใด ๆ ไม่มีทางสำเร็จได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับที่ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดให้ทำประชามติสอบถามประชาชนก่อนเริ่มกระบวนการ
ในเบื้องต้นยังมิอาจเห็นพ้องด้วยได้ !
อันที่จริง รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 166 รวมทั้งพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ 2564 มีพัฒนาการและความก้าวหน้ามาก สำคัญที่สุดคือให้การประชามติมีผลผูกพันรัฐบาลที่จะต้องปฏิบัติตาม ไม่ใช่แค่ให้เป็นเสมือนการให้คำปรึกษาเหมือนที่เคยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ เท่านั้น ต่อมาคือให้ที่มาของการริเริ่มทำประชามติกว้างขวางขึ้น รัฐสภาเสนอได้ ประชาชนเข้าชื่อกันเสนอได้
ร่างกฎหมายประชามติ คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอต่อรัฐสภาในฐานะร่างกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศตามรัฐธรรมนูญมาตรา 270 ซึ่งกำหนดให้พิจารณาในที่ประขุมร่วมกันของรัฐสภา สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้ยกร่างชั้นต้น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้ตรวจร่าง เสนอต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2563 ผ่านวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2563 ด้วยมติ 561 : 2 งดออกเสียง 50
ตั้งกรรมาธิการพิจารณา 49 คน ประกอบด้วยสส.ทุกพรรคและสว.ตามสัดส่วนที่นั่งในรัฐสภา พิจารณาวาระที่ 2 ในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภารวม 4 วันในเดือนมีนาคม เมษายน และมิถุนายน 2564 ผ่านวาระที่ 3 เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2564 ด้วยเสียงท่วมท้น 611 : 4 งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนน 1 ไม่มีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญ มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2564
สุดท้าย ก็ต้องรอดูว่ารัฐบาลจะเสนอร่างกฎหมายแก้ไขกฎหมายประชามติ 2564 มาตรา 13 นี้หรือไม่ ถ้าเสนอ จะแก้ไขอย่างไร
ยกเลิกเงื่อนไข “เกินกึ่งหนึ่ง” ทั้ง 2 ชั้น หรือยกเลิกชั้นใดชั้นหนึ่ง หรือตั้งเกณฑ์ขึ้นใหม่ด้วยในชั้นใดชั้นหนึ่งหรือทั้ง 2 ชั้น โดยให้เหตุผลว่าอย่างไร เป็นอีกประเด็นทางการเมืองที่ต้องติดตาม
คำนูณ สิทธิสมาน
สมาชิกวุฒิสภา