"...ใครเลยจะคาดคิดได้ว่า ต.ชะอม อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เป็นชุมชนที่สามารถสร้างเม็ดเงินได้มากกว่า 2,000 ล้านบาทต่อปี ด้วยธุรกิจไม้ขุดล้อม ซึ่งดำเนินมาอย่างต่อเนื่องมา 35 ปีแล้ว และ 8 มีค. 66 นี้ คณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำของวุฒิสภา ซึ่งมีดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ เป็นประธาน จะยกคณะ กมธ. ลงพื้นที่ดังกล่าวเพื่อศึกษาดูงาน..."
คลองหลวงไปบ้านนา จากบ้านนาไปแก่งคอย
ไม้ใหญ่และไม้น้อย มีล้อมโคนมีไม้ค้ำ
ล้อมไม้เป็นไม้ล้อม แล้วขุดล้อมเป็นประจำ
เป็นต้นและเป็นลำ นวัตกรรมแก้ความจน
ขณะนี้ผู้คนสนใจกันมากว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนดำเนินนโยบาย “แก้ปัญหาความยากจนแบบพุ่งเป้า” ได้อย่างเป็นผลเชิงประจักษ์ ในหลายพื้นที่หลายมณฑล
ความจริงประเทศไทยเรามีการแก้ปัญหาความยากจนเฉพาะพื้นที่อย่างเป็นผลแล้วหลายแห่ง
ใครนั่งรถไปเข้าเส้นทางเลียบคลองหลวง ปทุมธานี ไปตามถนนรังสิต-นครนายก แล้วเข้าบ้านนามุ่งหน้าแก่งคอย สองข้างทางจะเห็นต้นไม้เล็กใหญ่เต็มไปหมด มีการล้อมรากและโคนต้นเพื่อสามารถขุดเคลื่อนย้ายได้ มีไม้ค้ำให้ไม้ยืนต้นไม่ล้มลง ต้นไม้ขุดล้อมเรียงรายไปตลอดทาง เพื่อให้ลูกค้าเลือกซื้อได้ตามชนิดและขนาดที่ต้องการ
ใครเลยจะคาดคิดได้ว่า ต.ชะอม อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เป็นชุมชนที่สามารถสร้างเม็ดเงินได้มากกว่า 2,000 ล้านบาทต่อปี ด้วยธุรกิจไม้ขุดล้อม ซึ่งดำเนินมาอย่างต่อเนื่องมา 35 ปีแล้ว และ 8 มีค. 66 นี้ คณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำของวุฒิสภา ซึ่งมี ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ เป็นประธาน จะยกคณะ กมธ. ลงพื้นที่ดังกล่าวเพื่อศึกษาดูงาน
ต.ชะอม มี 11 หมู่บ้าน มีจำนวนมากกว่า 600 หลังคาเรือน มีพื้นที่ 76,505 ไร่ หรือ 121 ตารางกิโลเมตร ในจำนวนนี้มีกว่า 400 หลังคาเรือน ที่เปลี่ยนจากอาชีพอื่นมาปลูกขายไม้ขุดล้อม ซึ่งสร้างรายได้ดีกว่า เป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่า เกษตรกรรมปลูกไม้ขุดล้อม ทั้ง 400 กว่าหลังคา สามารถมีรถเครนขนต้นไม้ราคาคันละล้านกว่าบาทเป็นสมบัติประจำบ้าน ประเมินได้ว่าแต่ละบ้านมีรายได้มากกว่าปีละหนึ่งล้านบาท
ได้ดื่มน้ำ อย่าลืมต้นธาร
เมื่อ 3 มีค. 66 เวลา 11.00 น. ความอยากรู้อยากเห็น ด้วยการประสานงานผ่านคุณบุญเชิด โพธิหมื่นทิพย์ ทำให้มีโอกาสไปพบ ลุงสายบัว พาศักดิ์ (ตาบัว) ที่บ้านชะอม ลุงสายบัวเป็นปราชญ์ ไม้ล้อม ที่นำชาวบ้านชวนกันทำพืชเศรษฐกิจไม้ขุดล้อม จึงขอพูดคุยแลกเปลี่ยน
“จุดเริ่มต้นเป็นอย่างไร กว่าจะมากลายเป็นเศรษฐกิจไม้ขุดล้อมเกือบทั้งตำบลอย่างนี้” ผู้เขียนถาม
ชายรูปร่างสูง ผิวคล้ำแดด อายุ 70 ปี ตอบชัดถ้อยชัดคำว่า
“ปี 2530 คุณมีชัย วีระไวทยะ มาที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน ผมอยู่ที่นั่นด้วย คุณมีชัยมีกล้าไม้ต้นเล็กๆ มาให้ดู แล้วแนะนำชาวบ้านให้เอาไปปลูก บอกว่าจะเป็นพืชเศรษฐกิจแห่งอนาคต แต่ต้องเลี้ยงให้โตก่อนโดยใช้เวลาราว 2 ปี ถึงจะขายได้
ผมก็ท้วงว่า
‘จะขายได้ยังไง มันไม่ใช่ขนุน มะม่วง กะท้อน ต้นไม้แบบนี้ ใครเขาจะซื้อ จะเอามาปลูกทำไม จะกินก็กินไม่ได้’
ท่านมีชัยบอกว่า ‘ตอนนี้บ้านจัดสรรเกิดขึ้นหลายแห่ง สนามกอล์ฟก็สร้างกันหลายสนาม ทุกแห่งต้องการต้นไม้ขุดล้อมไปปลูก เขาต้องการไม้โตเร็ว ไปปลูกเป็นไม้ประดับและสร้างพื้นที่สีเขียว’
ท่านมีชัยยังประกันด้วยว่า มี 2 บริษัท ทำบ้านจัดสรร พร้อมจะซื้อคือบริษัทสวีดิช มอเตอร์ (เครือวอลโว่) และบริษัทไรมอนด์แลนด์ โดยจะทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าไว้เลยเมื่อต้นกล้าโตเพียงพอ มันก็มีไม้เสลา และไม้ตะแบกที่โตเร็ว ปลูก 2 ปี ก็ขายได้
คำนวณตัวเลขเสร็จสรรพเลย นั่นคือ หักต้นทุนแล้ว จะเหลือกำไรต้นละ 30 บาท พื้นที่ 1 ไร่ ปลูกห่างกัน 1 เมตร จะได้ 1,600 ต้น ก็จะได้กำไร 48,000 บาทต่อไร่ ปลูกกี่ไร่ก็เอาจำนวนไร่คูณเข้าไปโดย 2 บริษัท จะรับซื้อทั้งหมด
ท่านมีชัยยังหาทุนเป็นเงินก้อนมาให้ ตั้งเป็นกองทุนเงินกู้ยืม โดยไม่คิดดอกเบี้ย ให้บริหารกันเอง
เมื่อมีหลักประกัน และมีเงื่อนไขดีอย่างนี้ ผมกับชาวบ้านก็กล้าลงทุนชวนกันทำ ช่วงแรกตั้งกลุ่มกัน 60 คน เนื้อที่ปลูก 150 ไร่ วางระบบการกู้เงินและการคืนเงินเข้ากลุ่มอย่างยุติธรรม 2 ปีผ่านไป ไม้ที่ปลูกขุดล้อมไปขายได้ตามสัญญา คนก็มาซื้อกันแยะ ต้นไม้มีไม่พอ เลยเร่งปลูกกันใหญ่
ผมกับเพื่อนๆ ก็ตระเวนหาตลาดเพิ่มเติม ไปพบว่ากรมทหารราบที่ 11 ตรงบางเขน ก็ต้องการระบุขนาดและจำนวนมาเลย ทางกรมได้ต้นไม้จากเราเอาไปขายต่อได้ราคาดี เช่น ราคาต้นละ 300 บาท ขายได้ตามราคาตลาดถึง 900 – 1,200 บาท ขณะเดียวกันทางสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน (พีดีเอ) ของคุณมีชัย วีระไวทยะ ก็ช่วยแพร่กระจายข่าวผ่านเว็บไซด์ ยิ่งทำให้รับรู้กันกว้างขวาง ตลาดโตเร็วจนผลิตไม่ทัน”
ต่อมาแม้ 2 บริษัทจะเลิกซื้อ แต่ตลาดก็โตด้วยตัวของมันเอง ปี 2536 เกษตรกรไม้ขุดล้อมจึงพากันตั้งแผงไม้ล้อมขายเองกันเกลื่อน ขยายไปยังตำบลอื่นๆ ในแก่งคอย ข้ามไปถึง จ.นครนายก โดยเฉพาะที่ อำเภอบ้านนา จึงได้เห็นแผงไม้ล้อมเต็มตลอดสองข้างทาง
ไม้ล้อมจากที่นั่นไม่ได้ขายเฉพาะสนามกอล์ฟ บ้านจัดสรร และบ้านคนมีเงินในประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นสินค้าส่งออกไปทุกประเทศในอาเซียน ส่งไปถึงคูเวต อาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดิอาระเบีย อินเดีย ทำเงินเข้าประเทศมากมาย
ในวันนี้ การเกษตรไม้ขุดล้อมถูกนำไปบรรจุเป็นหลักสูตร วิชาเรียนของโรงเรียนชุมชนวัดบำรุงธรรม (ชะอม) ซึ่งเป็นโรงเรียนในท้องถิ่น ให้เด็ก ม.1 - ม.6 ได้เรียนวิชานี้อย่างเป็นระบบ เรียนพรรณไม้ต่างๆ วิธีการเพาะเมล็ด การบำรุงเลี้ยง วิธีการล้อมราก ล้อมโคนต้น วิธีการขุด รวมไปถึงตลาดและการขาย เด็กที่นั่นจะเรียนรู้จากโรงเรียนประสานกับภาคปฏิบัติที่พ่อแม่ของเด็กเลี้ยงไม้ขุดล้อมในที่ดินของแต่ละครัวเรือนอยู่แล้ว เท่ากับเรียนไปปฏิบัติไปนั่นเอง
ใครใคร่ปลูก ปลูก ใครใคร่ค้า ค้า
“ถ้ามันดีอย่างนี้ ทำไมลุงบัวไม่จดลิขสิทธิ์เป็นของตนเองล่ะ ในฐานะเป็นเกษตรกรคนแรกที่ปลูกและพัฒนาขึ้นมา” ผู้เขียนตั้งคำถาม
ลุงสายบัวให้แง่ข้อคิดที่มีคุณค่ายิ่ง
“ท่านมีชัย วีระไวทยะ สอนผมว่า ‘แม่น้ำตลอดสายจะดื่มกินอย่างไรก็ไม่มีวันหมด’ ผมเข้าใจได้เลยว่า ไม้ขุดล้อมเป็นเป็นตลาดใหญ่มาก คิดดูแค่ชะอม ตำบลเดียวยังขายได้ปีหนึ่งกว่า 2,000 ล้าน ตลาดมันโตของมันไปเรื่อยๆ เกษตรกรที่ปลูกขาย ไม่มีใครกังวลว่าใครจะมาแย่งลูกค้า เพราะปลูกมากเท่าไร ขยายได้มากเท่าไร ยิ่งทำให้ก้อนเค้กโตขึ้น ตลาดขยายตามความต้องการที่ไม่มีขีดจำกัด เลือกพรรณไม้ที่ใช่ เพาะชำบำรุงเลี้ยงให้ดี สื่อสารเป็น ผ่านระบบมือถือ รับรองไม่อับจน”
นี่เป็นผลแห่งการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างเสรี ด้วยพลังที่เป็นจริงของชุมชนโดยภาครัฐเข้ามาเกี่ยวข้องน้อยมาก
ในวันนี้ที่ ต.ชะอม ไม่มีคดีอาชญากรรม ไม่มีการตีชิงวิ่งราว ไม่มีบ่อนการพนัน ไม่มียาเสพติด ดูง่ายๆ ว่าปั๊มน้ำที่วางเรียงรายในคลองชะอม เพื่อสูบน้ำเข้าพื้นที่มีจำนวนมากกว่า 500 ตัว ราคาตัวละหมื่นกว่าบาท ใครจะมางัดมาขนไปก็ได้ แต่ปั๊มน้ำไม่เคยหายไปจากพื้นที่แม้แต่ตัวเดียว แสดงว่า ที่นั่นไม่มีโจรขโมย
บทสรุป
จากความคิดสู่ภาคปฏิบัติ
จากปลูกข้าวโพด ปลูกมันสำปะหลัง ปลูกข้าว มาสู่การปลูกพืชไม้ขุดล้อม
จากผลตอบแทนต่ำ มาสู่ผลตอบแทนที่ดีมาก
จากเป็นหนี้เป็นสินทุกครัวเรือน กลายเป็นทรัพย์สิน ทุกหลังคาทั่วทั้งตำบล
จากเล็กสู่ใหญ่
จากน้อยสู่มาก
จากในประเทศ สู่ต่างประเทศ
ทำให้ชุมชนตำบลชะอมทั้งตำบล เปลี่ยนไปแบบพลิกฝ่ามือ
เห็นได้ชัดเจนอย่างยิ่งว่า เมื่อการผลิตและการขายไม่ถูกผูกขาดไว้กับใครคนใด ไม่มีใครกลุ่มใดมาผูกพันธนาการไว้ ปล่อยพลังการผลิตให้ขับเคลื่อนตัวเองอย่างเป็นอิสระ ย่อมเกิดคุณูปการมหาศาลต่อการประกอบสัมมาชีพ ทั้งด้านชีวิตความเป็นอยู่ การมีอยู่มีกิน การมีสภาพแวดล้อมที่ปลอดสารเคมีและสารพิษ การมีสีเขียวเต็มพื้นที่จากต้นไม้ที่ขายและปลูกใหม่ทดแทนตลอดเวลา ปัญหาสังคมต่างๆก็พลอยลดลงไปด้วย อย่างน่าพึงพอใจ