“การวางแผนทางการเงินเป็นสิ่งที่จำเป็น สำหรับการใช้ชีวิต การเดินตามความฝันเป็นสิ่งที่ดี แต่ปราศจากการวางแผนที่ดีก็จะไปไม่ถึงเป้าหมายนั้น ดังนั้น หากจะทำอะไรให้สำเร็จ ต้องทำด้วยความมุ่งมั่น มุมานะ และอดทน” ทั้งนี้ หากพวกเราสนใจสามารถเยี่ยมชม “มีกินฟาร์ม”
“เราเริ่มจากติดลบ ไม่มีพาวเวอร์ ไม่มีทุน ไม่มีความรู้ ไม่มีคอนเนกชั่น แถมมีภาระทางการเงินจากธุรกิจก่อนหน้า”1/ คำพูดของคุณจงรัก จารุพันธุ์งาม (คุณปู) ผู้ก่อตั้ง “มีกินฟาร์ม” ร่วมกับน้องสาว คุณปราณีต จารุพันธุ์งาม (คุณยิ้ม) จุดเริ่มต้นของการสนทนาร่วมกับผู้ประกอบการในภาคอีสาน ในงานสัมมนาวิชาการประจำปีของแบงก์ชาติสำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทำให้ผมเริ่มมองเห็นอนาคตต่อความท้าทายไปข้างหน้าผมได้มีโอกาสสัมภาษณ์คุณปูเพิ่มเติมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ได้รับรู้ถึงการต่อสู้ชีวิตอย่างโชกโชน และการค้นหาเป้าหมายของชีวิตที่ยาวนาน
เธอและน้องสาวต้องก้าวข้ามอุปสรรคมากมายกว่าจะสามารถเดินมาถึงจุดนี้ได้ด้วยการเนรมิตพื้นที่ 4 ไร่ บริเวณบ้านโคกกลาง อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น ที่ห่างจากอำเภอเมืองขอนแก่นกว่า 30 กิโลเมตร ซึ่งเมื่อ 6 ปีก่อนยังเป็นพื้นที่แห้งแล้ง จนวันนี้กลายมาเป็น “มีกินฟาร์ม” บ้านสวน ที่ปกคลุมไปด้วยพื้นที่สีเขียว ต้นไม้ใหญ่ ดอกไม้ประดับประดาไปทั่วบริเวณ พร้อมคันนา และที่เลี้ยงสัตว์ ทำให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินมากกว่าคาเฟ่หรือฟาร์มสเตย์ทั่วไป เพราะมีกิจกรรมให้ทำที่แฝงไปด้วยธรรมชาติ และความเป็นอีสาน
คุณปูเล่าว่า พ่อแม่มีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง เธอและน้องสาว 3 คนต้องเดินทางตามพ่อแม่ไปตามสถานที่ก่อสร้างต่าง ๆ กว่าจะได้ตั้งรกรากเป็นหลักแหล่งก็ตอนเรียนมัธยมต้นแล้ว คุณปูสามารถเข้าศึกษาต่อจนเรียนจบคณะรัฐศาสตร์ สาขาการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แทนที่จะสานฝันเหมือนกับชาวสิงห์แดงที่จบมาเป็นข้าราชการสายปกครอง
เธอกลับเลือกทำงานวิจัย แต่เมื่อทำไปสักพักหนึ่งเห็นว่างานวนไปวนมา ไม่ไปข้างหน้า จึงเปิดโอกาสให้กับตัวเองด้วยการไปล่าฝันในต่างแดน ไปเพิ่มทักษะด้านภาษาที่ประเทศอังกฤษ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับได้งานในร้านอาหารไทย ทำงานตั้งแต่เป็นพนักงานเสิร์ฟ แม่ครัว จนกลายเป็นผู้จัดการร้านอาหาร ทำงานแบบไม่รู้จักเหนื่อยเพราะรู้สึกว่าหาเงินได้ง่าย มีมากพอที่จะส่งมาให้พ่อแม่ และส่งเสียดูแลน้อง ๆ ซึ่งเธอคิดว่าเป็นหน้าที่ของเธอในฐานะพี่คนโต
อย่างไรก็ดี คุณปูไม่ได้วางแผนเก็บออมอย่างจริงจัง นำเงินไปซื้อของแบรนด์เนมมากมายโดยหวังว่ามันคงจะสร้างความสุข และเมื่อทำงานไปได้ 6 ปี คุณปูกลับรู้สึกไม่ค้นพบอนาคตของตัวเองที่นี่ และเริ่มตั้งคำถามว่าชีวิตเราจริง ๆ ต้องการอะไรความสุขที่แท้จริงของชีวิตคืออะไร ทำให้ความซึมเศร้าเข้ามาแทรกซึม ถึงขั้นไปนั่งอยู่ในสวนสาธารณะเพียงลำพังเป็นชั่วโมง ๆ จึงตัดสินใจทำเพื่อตัวเองด้วยการกลับเมืองไทยในปี 2556
เธอกลับมาใช้ชีวิตที่ขอนแก่น แต่ยังขับรถไปมากรุงเทพฯ อยู่ราว 2 เดือน เพราะคิดยังไม่ออกว่าจะทำอะไรต่อ ตัดสินใจไม่สมัครรับราชการเหมือนกับเพื่อน ๆ เพราะอายุมากแล้ว
ในที่สุดมีเพื่อนแนะนำให้ทำธุรกิจซื้อขายของเก่า ซึ่งคุณปูมองว่าเป็นการช่วยโลกเรื่องความยั่งยืน ตัดสินใจกู้เงินธนาคาร นำที่ดินส่วนหนึ่งมาเป็นหลักประกันได้เงินมา 3 ล้านบาท สุดท้ายธุรกิจรับซื้อของเก่าก็ต้องจบลงเพราะราคาของเก่าตกลงเรื่อย ๆ และแวดวงนี้เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวในการต่อรองต่าง ๆ ซึ่งไม่สอดคล้องกับอุปนิสัยของคุณปูเท่าไหร่นัก ถือเป็นฝันร้ายที่ 2 ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น
ส่วนน้องสาวของเธอ คุณยิ้ม เรียนจบสาขาภาพยนตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร แต่ค้นพบว่าการเขียนบทภาพยนตร์สำหรับเด็กจบใหม่ไม่ง่ายทำให้เธอกลายเป็นคนอกหักจากวงการ
สองพี่น้องเผชิญกับการแพ้ภัยตัวเอง คิดถึงเป้าหมายของชีวิต และคิดขึ้นได้ถึงสิ่งที่พวกเธอมี คือยังมีคนรออยู่ที่บ้านพร้อมกับที่ดินที่ซื้อไว้ ซึ่งตอนแรกตั้งชื่อว่า “สวนเกษตรมีกิน” เพราะตั้งใจเป็นแค่ตู้กับข้าวของครอบครัว ทำเป็นพื้นที่เพาะชำกิ่งชะอม ที่น้องสาวคนกลาง คุณอรุณธิดา จารุพันธุ์งาม (คุณยุ้ย) ได้บุกเบิกไว้
แต่เมื่อใช้เวลากับพื้นที่แห่งนี้ คุณปูและคุณยิ้มได้ค้นพบความสุขในใจและเกิดภาพในใจว่า อยากมีบ้านสวนให้คนมาเที่ยว แต่ความคิดก็ไม่ตกผลึก จนได้พบกับกลุ่มคนทำ Community Space เป็นร้านคาเฟ่ มีหนังสือขาย มีโซนสำหรับจัดกิจกรรมและแสดงงานศิลป์ ซึ่งทั้งสองได้เข้าไปมีส่วนช่วยกิจการนี้ จนได้เรียนรู้การบริหารจัดการ รวมทั้งการตลาดและการเงิน
ภายหลังที่กิจการนี้ปิดตัวลง ทั้งสองคิดถึงที่ดินตนเอง แปลงการทำศิลปะที่อยู่บนกระดาษ บนผืนผ้า หรือบนกรอบแกะสลัก มาเป็นศิลปะบนพื้นดินรายล้อมไปด้วยต้นไม้และดอกไม้ เป็นแรงบันดาลใจเปลี่ยนแนวคิดจาก “สวนเกษตรมีกิน” มาเป็น “มีกินฟาร์ม” ในปี 2562 เริ่มต้นให้บริการตามแนวคิด Mice City เสนอบริการจัดประชุม ท่องเที่ยว และทำกิจกรรมร่วมกัน พร้อมให้ความเพลิดเพลินกับธรรมชาติ ซึ่งคุณปูบอกว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ต้องลองผิด ลองถูก ลองทุกอย่างเพื่อค้นหาคำตอบ ตั้งแต่การทำสวนผักสไตล์ “Bring your own farm” แบบอังกฤษคือ ให้คนมาปลูกผักและมาเก็บเกี่ยวผักของตัวเอง รวมถึงแบ่งแปลงนาเล็ก ๆ ให้คนมาเยือนเป็นเจ้าของดำนา แต่แนวคิดนี้ไปได้ไม่ดีนักเพราะส่วนใหญ่คนปลูกแล้วไม่กลับมาที่สวนอีก
จุดที่พลิกผันคงเป็นช่วงที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ภาคอีสาน มาขอจัดประชุม ซึ่งรับงานด้วยเวลาเตรียมการเพียง 14 วัน แต่สามารถตอบโจทย์ได้ ด้วยการทำโถงใหญ่มุงด้วยหญ้าคากับผ้าใบ พร้อมมี Heavy Break ที่ให้บริการผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 30 คนตลอดทั้งวัน ไม่ได้มีแค่ขนมนมเนย แต่กาแฟพร้อมเสิร์ฟตลอดเวลา มีข้าวเหนียวหมูทอดเป็นอาหารว่าง มีขนมหมกเตาถ่านที่ร้อนตลอดวัน พิเศษกว่านั้นคือมีสาโทหมักโดยคุณแม่เป็น Goodbye Drink ส่งผลให้ ททท. เลือกสวนเกษตร มีกินฟาร์มให้เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Creative & Gastronomy Tourism) ตั้งแต่นั้นมา2
จากย่างก้าวนั้น คุณปูเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์และในใจตัวเอง ความรู้สึกหัวใจพองโต เมื่อเห็นผู้คนที่เข้ามาเที่ยวชมทำกิจกรรมในสวนได้รับความสุขความประทับใจกลับไป เป็นพลังใจ และให้คำตอบแก่ตัวเองได้แล้วว่า นี่คือชีวิตที่ตามหา
คุณปูกล่าวว่า “รู้สึกว่าตัวเองมาถูกทาง เป็นธุรกิจที่สร้างความสุข ลูกค้ามีความสุข เราก็มีความสุขเช่นกัน คำขอบคุณ เป็นกำลังใจที่ดีมาก ทำให้อยากทำต่อไป ไม่ใช่เพื่อตัวเอง การที่นักท่องเที่ยวเข้ามาซื้อประสบการณ์ความสุขที่อาจไม่ใช่ผลผลิตที่จับต้องได้ แต่ลูกค้าเคารพเราในฐานะผู้มอบความสุข และสิ่งดี ๆ ที่มอบให้ มาถึงวันนี้ รักศิลปะบนพื้นดินนี้มาก แต่ไม่ยึดติด ยิ่งอยู่กับธรรมชาติ ยิ่งปล่อยวาง”
คุณปูและคุณยิ้มมีแนวคิดที่จะทำให้ “มีกินฟาร์ม” เป็น “Home of Healing” ที่นักท่องเที่ยวจะต้องได้สัมผัสแบบ Sixth Sense ทั้ง ตา หู จมูก รูป รส กลิ่น เสียง เดินเข้ามา ต้องได้กลิ่นหอมจากสมุนไพร ภายใต้บรรยากาศสวยงาม รูป รสอาหารอร่อยดีต่อสุขภาพ ไม่ไปตามกระแส
ท้ายสุด คุณปูได้ฝากข้อคิดไว้ว่า “การวางแผนทางการเงินเป็นสิ่งที่จำเป็น สำหรับการใช้ชีวิต การเดินตามความฝันเป็นสิ่งที่ดี แต่ปราศจากการวางแผนที่ดีก็จะไปไม่ถึงเป้าหมายนั้น ดังนั้น หากจะทำอะไรให้สำเร็จ ต้องทำด้วยความมุ่งมั่น มุมานะ และอดทน” ทั้งนี้ หากพวกเราสนใจสามารถเยี่ยมชม “มีกินฟาร์ม” ได้ตาม Link ท้าย weekly mail ฉบับนี้ครับ
รณดล นุ่มนนท์
17 ตุลาคม 2565