เปิดสัมภาษณ์ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ในหนังสือ ‘Thaksin Shinnawatra Theory and Thought’ เปิดมุมมองต่อลูกทั้งสาม เน้นหนัก ‘อุ๊งอิ๊ง’ ชี้ซึมซับตัวตน-คำสอนมากสุด ไม่ห่วงลงสนามการเมือง เชื่อลูกแข็งแรง เข้มแข็ง ห่วงการดีลคนการเมือง ก่อนเผย ‘รถถัง’ คงไม่จอดบ่อยแล้ว
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 16 ตุลาคม 2565 ในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 27 จัดที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ มีการเปิดตัวหนังสือ ‘Thaksin Shinnawatra Theory and Thought: ทักษิณ ชินวัตร หลักการและความคิด’ จัดพิมพ์โดย บริษัท เวิร์คส ครีเอทีฟ จำกัด วางขายในบูธพรรคเพื่อไทย (I39) ซึ่งสำนักข่าวอิศรา ได้เปิดเผยบทสัมภาษณ์ของคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภรรยาไปแล้วนั้น
‘พจมาน ดามาพงศ์’ : ไม่ห่วง ‘อุ๊งอิ๊ง’ ลงการเมือง-หวังปลายทางอยู่พร้อมหน้าครอบครัว
ในหนังสือเล่มดังกล่าวยังมีบทสัมภาษณ์พิเศษ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีด้วย ซึ่งในหนังสือเล่มดังกล่าวระบุว่า เป็นการสัมภาษณ์เมื่อเดือนมีนาคม 2565 ความยาวประมาณ 81 หน้า ซึ่งมีบางส่วนพูดถึงการที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนเล็ก ประกาศเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2564 และถูกจับตามองว่าจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคในอนาคต
@เลี้ยงลูกแบบเพื่อน - ปรับตัวเข้าเจนใหม่
นายทักษิณ กล่าวตอนหนึ่งว่า ลูกทั้ง 3 คน (นายพานทองแท้ ชินวัตร, นางสาวพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์, นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) มีผลต่อการตัดสินใจหลายๆเรื่อง เวลาเห็นลูกยังตัวเล็กๆอยู่ และชีวิตตอนนั้นยังไม่รู้จะไปอย่างไร ก็จะคิดว่า เมื่อลูกโตขึ้น จะเลี้ยงดูพวกเขาอย่างไร บางทีสิ่งนี้ก็เป็นกำลังใจว่า เราต้องทำสิ่งใดก็ตามให้สำเร็จ ต้องทำให้ได้ เมื่อลูกโตมาจะได้ไม่ลำบาก
ส่วนการเลี้ยงดูลูกทั้ง 3 คนนั้น ก็ตั้งใจว่า ไม่อยากให้ทั้ง 3 คนลำบากเหมือนตนและภรรยา แต่จะไม่ตามใจ มีอะไรจะพยายามแลกเปลี่ยนกับลูก คุยกับเขา ให้ปัญญา ความคิด และสติ ซึ่งตนจะทำตัวเหมือนเป็นเพื่อนลูก ไม่เป็นผู้ปกครอง เพราะลูกๆก็เกิดมาในสภาพแวดล้อมต่างกัน โดยทั้ง 3 คนเกิดในยุค Generation Y มีนายพานทองแท้เท่านั้นที่เกิดในช่วงปลาย Generation X
ดังนั้น ลูกทั้ง 3 ของตนก็เหมือนคนรุ่น Gen Y ทั่วไปคือเกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยี ก็ต้องคุยเรื่องพวกนี้กับเขาด้วย ถ้ายึดติดความเป็นคนรุ่น Baby Boomer ที่เน้นการบังคับให้ทำงานหนัก ต้องซักผ้าหรือทำอะไรเองทั้งหมด ซึ่งมันไม่ใช่ คนรุ่นลูกเกิดมามีเครื่องซักผ้า อย่าไปคิดว่า สมัยฉัน ฉันยังใช้สบู่ซักผ้าได้ ลูกก็ต้องทำได้ มันไม่ได้ มันต้อง Change For The Better โลกมันเปลี่ยนและพัฒนาไปมากแล้ว เราก็ต้องปรับตัวให้ทันโลก
“ตอนแรกๆเราติดนิสัย Baby boomer จะคอยลงโทษอย่างเดียวคอยกำกับวินัยปกครองกดขี่อย่างเดียว เหมือนตอนนี้ที่นายกฯ (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) เขาเป็นเพราะเขาเป็นเบบี้บูมเมอร์ เขาคิดว่าคนไทยทั้งประเทศเป็นเหมือนพวกเบบี้บูม เลยเที่ยวบอกคนอื่นให้เสียสละต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้ซึ่งมันไม่ใช่ถ้าคุณพูดภาษานี้คุณต้องไปพูดกับคนแก่ที่บ้าน” นายทักษิณระบุ
ภาพจากหนังสือ ตาดูดาว เท้าติดดิน
@อุ๊งอิ๊ง: เขาซึมซับจากผมหมด
สำหรับการเลี้ยงดูลูกทั้ง 3 คน นายพานทองแท้ บุตรชายคนโตจะเป็นคนที่ถูกสปอยล์จากตนมากที่สุด เพราะความเห่อลูกคนแรก ส่วนตัวมองว่านายพานทองแท้ เป็นลูกที่มีความศิลปินสูง มีความครีเอทีฟ แต่บางทีก็อยากให้หาจุดของตัวเองให้เจอ ซึ่งตนก็พยายามแสวงหาสิ่งที่ชอบมาให้ทำ ทั้งนี้ การเลี้ยงดูนายพานทองแท้ก็พยายามใส่ความเข้มงวดลงไปบ้าง เพราะมีลูกผู้ชาย ก็อยากให้ลูกเป็นแบบเรา
ส่วนบุตรสาวทั้ง 2 คน เนื่องจากคุณหญิงพจมานจะเลี้ยงดูแบบเข้มงวดมาก ดังนั้น ตนจึงบาลานซ์ด้วยการเป็นฝ่ายสปอยล์ลูก แต่ผลสุดท้ายสิ่งที่ได้ก็คือลูกทั้งสามคนรักกันมากแล้วก็ไม่เคยอิจฉากันเลย
ขณะที่ประสบการณ์ในการเข้าใจการเมือง นายพานทองแท้จะมีมากที่สุด แต่นางสาวแพทองธารจะมีความลึกอีกแบบ เพราะตนเลี้ยงมาและอยู่กับตนตั้งแต่ยังเด็ก เวลาไปไหนก็เอาไปด้วย น่าจะซึมซับแบบไม่รู้ตัว เพราะตนชอบพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้กับลูกตั้งแต่ยังเล็ก มีอะไรก็พูดๆไป ดีกว่าพูดคนเดียว ซึ่งน่าจะทำให้นางสาวแพทองธารจำที่ตนพูดได้เกือบทั้งหมด
“มีอยู่ครั้งนึง ตอนนั้นเขา (แพทองธาร) อายุ 12 ปี เป็นช่วงที่ผมเพิ่งตั้งพรรคไทยรักไทยใหม่ๆ ตอนนั้นพาไปที่บางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก ไปเจอหมู่บ้านทำกล้วยตาก กล้วยอบแห้ง ซึ่งมักจะมีเปลือกกล้วยกองอยู่เต็มไปหมด ชาวบ้านก็เอาน้ำอีเอ็มไปโรยเพื่อให้เปลือกกล้วยมันเน่าแล้วจะได้เอามาทำปุ๋ย ซึ่งกลิ่นเปลือกกล้วยเน่าเหม็นมาก แต่อุ๊งอิ๊งทำตัวเฉยมาก เลยถามว่าทำไมลูกไม่แสดงปฏิกิริยาว่ามันเหม็น เขาเลยตอบว่าไปทำอย่างนั้นเดี๋ยวเขาก็หาว่าเรารังเกียจเขาสิพ่อ ซึ่งผมไม่เคยสอน แต่เขาคงเห็นว่าเราไปทำงานการเมือง ต้องไปพบประชาชน เราต้องมีความอดทน ต้องมีความเข้าใจเขา ซึ่งน่าจะทำให้เขาซึมซับเอง” นายทักษิณกล่าวตอนหนึ่ง
@ให้ลูกเจอ ‘ของจริง’
ต่อมา นายทักษิณกล่าวถึงการที่นางสาวแพทองธาร ตัดสินใจเข้าสู่สนามการเมืองเต็มตัว โดยปัจจุบันดำรงตำแหน่งหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยว่า ก็มองว่านางสาวแพทองธารมีความเหมาะสม เพียงแต่ว่าตอนนี้ (มี.ค. 2565) ยังไม่ได้เข้าการเมืองเต็มตัว วันที่นางสาวแพทองธารขึ้นปราศรัยในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2564 เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2564 ที่จ.ขอนแก่น ก็น่าประทับใจ และคิดไม่ถึงว่าจะทำได้ดีและเป็นการเล่นบทนำ ซึ่งทำได้ดี ภูมิใจและต้องยอมรับว่า อุ๊งอิ๊งได้ DNA ของตนและแม่ (คุณหญิงพจมาน) คือเข้มแข็งเหมือนแม่ และมีความเป็นผู้นำและมีความกล้า
ส่วนระหว่างทางที่ต้องเดินไปเรื่อยๆ ในฐานะพ่อมีความกังวลหรือไม่ นายทักษิณตอบว่า อุ๊งอิ๊งแข็งแรง เดินได้สบาย จิตใจก็เข้มแข็ง มีปฏิภาณทางการเมืองดี แต่ชั่วโมงบินในการรู้จักคน เพื่อรับมือกับสิ่งต่างๆในทางการเมืองยังต้องเพิ่ม เพราะคนการเมืองกับคนในบริษัท ไม่เหมือนกัน
“การเมืองมันเต็มไปด้วยคนที่มีอีโก้คนละแบบมารวมกัน เหมือนมีมือแซกโซโฟน มือกลอง มือทรัมเป็ตอะไรต่างๆ มารวมกันตัวให้เขาเล่นเพลงเดียวกันให้ได้ เพราะต่างคนต่างเข้าไปในฮออล์ คนนั้นก็เป่า คนนี้ก็ตี จะทำยังไงให้เขาเล่นเพลงเดียวกัน แล้วกำกับให้มันมี Harmony ด้วยกันกลมกลืนกัน อันนี้เป็นเรื่องใหญ่ เป็น Art and Science ในตัวที่ต้อง handle” นายทักษิณกล่าว
แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมพรรคเพื่อไทย ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย
เมื่อถามว่า แต่ในสังคมไทย การเมืองมักจะมี ‘รถถัง’ เข้ามาจอดในหลายๆเวลา จะเตือนลูกไหมว่า ของจริงเป็นอย่างไร นายทักษิณระบุว่า ถึงแม้ประเทศเราจะย้อนยุคเป็นช่วงๆ แต่ส่วนตัวคิดว่าหลังจากนี้จะย้อนยากขึ้น แน่นอ แม้อาจจะมี แต่จะย้อนยากอย่างที่บอก ถ้าคนที่พร้อมไม่เสียสละบ้าง การเมืองก็จะเต็มไปด้วยการเสาะแสวงหา มากกว่าการเสียสละเพื่อทำงานให้ประชาชน
วันนี้ก็เห็นแล้วว่า ประชาชนลำบากเพราะการรัฐประหาร ทุกครั้งก็เปลี่ยนผู้แสวงหาจากคนไม่มียศก็มียศ คนเหล่านี้ไม่ได้มาเสียสละ เสียสละแต่ปาก ซึ่งเป็นสิ่งน่าเศร้าที่ประเทศไทยพัฒนามาถึงจุดหนึ่งแล้วจู่ๆก็ไหลกลับอย่างรวดเร็ว
และยิ่งสังคมปัจจุบันขับเคลื่อนด้วยคนส่วนใหญ่ ซึ่งคนรุ่นหลังๆ เช่นคนรุ่นเจน Z ก็เป็นรุ่นที่ไม่ยอมรับอะไรที่ไม่จริง ให้พูดเรื่องไม่จริงคนรุ่นนี้ไม่พูด ถ้าจะพูดขึ้นมาก็พูดจริง และพูดโผงผาง พูดไม่กลัว ซึ่งสังคมได้เดินทางมาถึงจุดนี้แล้ว และหลังคนรุ่นเจน Z จะเป็นคนรุ่น Alpha ซึ่งจะหนักกว่าอีก เพราะเมื่อโลกเข้าสู่ยุคของคนรุ่น Alpha ประเทศก็จะเข้าสู่การ Digitalization ทุกอย่างมีการบันทึก มีหลักฐาน
ฉะนั้น ความจริงคือสิ่งที่ต้องขับเคลื่อนไปทั้งระดับประเทศและโลก ส่วนคนที่โกหก คนที่หลอกลวง และคนที่มีอำนาจอย่างเดียวจะอยู่ยาก