"...เรียนรู้ว่าการรักษาบาดแผลทางอารมณ์แบบไหนที่เหมาะกับตนเอง เอาใจใส่ตัวเองและสังเกตวิธีจัดการกับบาดแผลทางอารมณ์ เช่น เมื่ออารมณ์เสีย บางคนอาจทำให้อารมณ์กลับมาดีขึ้นเพียงการยักไหล่หรือจับมือตัวเอง ในขณะที่บางคนอาจต้องข่มใจและหายใจเข้าออกหลายรอบ จึงจัดการอารมณ์นั้นได้ การวิเคราะห์เพื่อช่วยให้เข้าใจว่าการปฐมพยาบาลทางอารมณ์แบบใดที่เหมาะสมที่สุด จะช่วยสร้างนิสัยในการสังเกตสุขภาพจิตของเรา (เช่นเดียวกับที่ระบุได้ว่ายาแก้ปวดชนิดใดในตู้ยาที่ดีกับเราที่สุด)..."
กาย วินซ์ (Guy Winch) นักจิตวิทยา ชาวสหรัฐ ได้เขียนถึงอาการเจ็บป่วยทางอารมณ์ไว้ในหนังสือ “ซ่อมแซมสุขที่สึกหรอ” (Emotional First Aid) ซึ่งแตกต่างจากการเจ็บป่วยทางกาย เพราะเมื่อหกล้มมีแผลสด เราจะรีบทายาและทานยาป้องกันการติดเชื้อทันที เป็นการปฐมพยาบาลแบบสัญชาตญาณโดยไม่มีการตั้งคำถามว่า “ทำไม” ในขณะที่การปฐมพยาบาลทางอารมณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น ทั้งที่ทราบกันดีว่า อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตที่ยากต่อการรักษาได้ ทั้งนี้ วินซ์ได้แนะ 7 แนวทางการปฐมพยาบาลบาดแผลทางอารมณ์ที่ควรจะนำมาเก็บไว้ในตู้ยา ดังนี้ [1]
1. ใส่ใจกับความเจ็บปวดทางอารมณ์ รับรู้เมื่อมีอาการเกิดขึ้นและพยายามรักษาก่อนสายเกินแก้ ร่างกายพัฒนาความรู้สึกเจ็บปวดทางกาย และเตือนเราว่ามีบางอย่างผิดปกติและจำเป็นต้องปฐมพยาบาลเบื้องต้น เช่นเดียวกับความเจ็บปวดทางอารมณ์หากการถูกปฏิเสธ ความล้มเหลว ส่งผลให้เกิดอารมณ์แปรปรวน และอาการไม่ดีขึ้น แสดงว่าเรามีบาดแผลทางจิตใจและจำเป็นต้องรีบรักษา เช่น ความเหงาที่บั่นทอนสุขภาพจิตใจและร่างกายของเรา เมื่อหมั่นสังเกตอาการว่าอารมณ์ไม่ปกติ รู้สึกโดด เดี่ยวเราต้องหาแนวทางรักษาก่อนสายเกินแก้
2. ใช้จิตใต้สำนึกมาตอบโต้ความรู้สึกล้มเหลว ธรรมชาติของบาดแผลทางจิตใจทำให้อาการเริ่มต้นนำไปสู่อาการแทรกซ้อนทางจิตใจอื่น ๆ ได้ง่าย เช่น ความรู้สึกล้มเหลวมักจะผลักดันให้เราจดจ่อกับสิ่งที่เราทำไม่ได้แทนที่จะมุ่งไปที่สิ่งที่เราทำได้ ส่งผลให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก เพราะทำให้เราคิดถึงข้อบกพร่องของตัวเองมากขึ้น ดังนั้น เราต้องหยุดอารมณ์แปรปรวนแบบนี้ให้ได้ ใช้จิตใต้สำนึกตอบโต้ความรู้สึกนั้นด้วยสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้ ด้วยการเตรียมตัวและการวางแผน หาวิธีที่ก้าวข้ามความล้มเหลว และเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในอนาคต
3. จับชีพจรความพึงพอใจในตัวเอง (self esteem) การเห็นคุณค่าในตนเองเปรียบเสมือนระบบภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ที่ปกป้องจากความเจ็บปวดทางอารมณ์ ทำให้มีความมั่นคงในอารมณ์มากขึ้น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องเฝ้าสังเกตและหลีกเลี่ยงความรู้สึกผิดหวังมาทำร้ายจิตใจมากกว่านี้ การทำให้เห็นคุณค่าของตนเองอย่างง่าย ๆ คือฝึกแสดงความเห็นอกเห็นใจกับตนเอง เมื่อคุณรู้สึกว่าชีพจรความพึงพอใจในตัวเองต่ำ ให้ลองเขียนจดหมายไปให้กำลังใจและเห็นอกเห็นใจเพื่อนสนิทที่กำลังมีความรู้สึกแย่ ลองอ่านจดหมายฉบับนั้น และนั่นก็คือข้อความที่จะต้องส่งให้ตนเองเช่นกัน
4. เมื่อความคิดเชิงลบเข้าครอบงำ ให้รีบนำความคิดเชิงบวกเข้าแทรกแซง ในช่วงเวลาที่เราหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่แย่ ๆ โดยไม่ได้พยายามที่จะแก้ไขหรือเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้น จะไม่ได้ช่วยแก้ไขบาดแผลในใจ แต่จะยิ่งทำให้เราวนว่ายในวัฏจักรของความครุ่นคิด ละกลายเป็นนิสัย นำไปสู่ความเจ็บปวดทางจิตใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น วิธีปฐมพยาบาลที่ดีที่สุดในการขัดขวางความคิดเชิงลบ คือการการหันเหความสนใจ ทำในเรื่องที่จะนำไปสู่ความคิดเชิงบวก เอาตัวเองออกจากการย้ำคิดในเรื่องแย่ ๆ เช่น ออกกำลังกาย การเล่นไขปริศนาอักษรไขว้ หรือพยายามระลึกถึงชื่อเพื่อน ๆ สมัยเรียนชั้นประถม เป็นต้น ทั้งนี้ มีผลการศึกษาพบว่าการหันเหความสนใจเพียงสองนาที สามารถช่วยลดความคิดเชิงลบที่กำลังครอบงำเราอยู่ [2]
5. ค้นหาความหมายในการสูญเสีย การสูญเสียถือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่เป็นความป่วยทางจิตใจที่สร้างแผลเป็นทางอารมณ์และทำให้เราไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ ดังนั้น ยาบำบัดที่สำคัญที่สุดคือเร่งค้นหาความหมายของการสูญเสียและเป้าหมายของชีวิต แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ลองนึกถึงสิ่งที่คุณจะต้องเดินต่อไปเมื่อเกิดการสูญเสีย เพื่อช่วยให้ได้ใช้ชีวิตที่สอดคล้องกับเป้าหมายชีวิตเราไปข้างหน้า เช่น การสูญเสียญาติผู้ใหญ่ทำให้เราต้องดูแลคนใกล้ชิดมากขึ้น
6. อย่าปล่อยให้ความรู้สึกผิดครอบงำจิตใจนานเกินไป ความรู้สึกผิดช่วยให้เราต้องรีบเร่งหาแนวทางแก้ไข แต่ความรู้สึกผิดที่นานเกินไปย่อมส่งผลต่อภาวะจิตใจของเรานั้นเป็นพิษ ทำให้เราขาดสมาธิจากงานอื่น ๆ และชีวิตขาดความสุขและความอบอุ่น วิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการแก้ไขความรู้สึกผิดที่ค้างคาอยู่ คือกล่าวคำขอโทษที่จริงใจและตรงจุด เราอาจเคยพยายามขอโทษมาก่อน แต่การขอโทษนั้นซับซ้อนกว่าที่คิด ส่วนประกอบสำคัญคือ คำขอโทษที่แสดงความเห็นอกเห็นใจ กล่าวอีกนัยหนึ่ง คำขอโทษไม่ควรเน้นอธิบายว่าเหตุใดจึงทำในสิ่งที่ทำไป แต่ควรเน้นถึงการกระทำ (หรือการไม่ทำ) ที่จะทำให้อีกฝ่ายมีความรู้สึกดีขึ้น การให้อภัยใครสักคนง่ายกว่ามากเมื่อรู้สึกว่าพวกเขาเข้าใจ
อย่างแท้จริง
7. เรียนรู้ว่าการรักษาบาดแผลทางอารมณ์แบบไหนที่เหมาะกับตนเอง เอาใจใส่ตัวเองและสังเกตวิธีจัดการกับบาดแผลทางอารมณ์ เช่น เมื่ออารมณ์เสีย บางคนอาจทำให้อารมณ์กลับมาดีขึ้นเพียงการยักไหล่หรือจับมือตัวเอง ในขณะที่บางคนอาจต้องข่มใจและหายใจเข้าออกหลายรอบ จึงจัดการอารมณ์นั้นได้ การวิเคราะห์เพื่อช่วยให้เข้าใจว่าการปฐมพยาบาลทางอารมณ์แบบใดที่เหมาะสมที่สุด จะช่วยสร้างนิสัยในการสังเกตสุขภาพจิตของเรา (เช่นเดียวกับที่ระบุได้ว่ายาแก้ปวดชนิดใดในตู้ยาที่ดีกับเราที่สุด)
ทั้งนี้ 7 แนวทางการปฐมพยาบาลบาดแผลทางอารมณ์ข้างต้นถือเป็นเรื่องที่ท้าทายและไม่ง่าย การฝึกสุขอนามัยทางอารมณ์ต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่หากเราค้นพบจะถือว่ามีความสำคัญช่วยให้แผลทางจิตใจไม่กลายเป็นแผลทางใจที่ยากต่อการรักษา
แหล่งที่มา
[1] ideas.ted.com. 2022. 7 ways to practice emotional first aid. [online] Available at: <https://ideas-ted-com.translate.goog/7-ways-to-practice-emotional-first-aid/?_x_tr_sl=auto&_x_tr_tl=th&_x_tr_hl=th&_x_tr_pto=wapp> [Accessed 8 October 2022].
[2] Emotional First Aid ทำไมเราควรปฐมพยาบาลอารมณ์ [online] Available at: <https://fonthipward.com/th/emotional-first-aid/> [Accessed 2 October 2022].