"...การทำให้อวัยวะเพศชายฝ่อ หรือการกดฮอร์โมนเพศชาย เป็นหนึ่งในมาตรการทางการแพทย์นี้ การใช้มาตรการทางการแพทย์ต้องเป็นคำสั่งของศาล อัยการเป็นผู้ยื่นคำร้องขอต่อศาล โดยยื่นไปพร้อม ๆ กับคำฟ้องได้เลย หรือจะไปยื่นในช่วงที่ผู้กระทำความผิดอยู่ระหว่างการรับโทษตามคำพิพากษาก็ได้ ศาลจะเป็นผู้พิจารณาว่าจะมีคำสั่งตามคำขอหรือไม่..."
ร่างพ.ร.บ.มาตรการป้องกันการกระทำผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ. … ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการมาแล้ว จะเข้าสู่การพิจารณาวาระ 2-3 ในที่ประชุมวุฒิสภา 11 กรกฎาคม 2565 นี้
ถ้ากฎหมายมีผลบังคับใช้ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่
ผู้กระทำผิดที่ทำผิดซ้ำ ๆ ในความผิดทางเพศ หรือความผิดที่ใช้ความรุนแรง จนติดเป็นนิสัยชนิดเป็นที่ประจักษ์ จะได้รับการปฏิบัติเพิ่มเติมด้วยมาตรการพิเศษนอกเหนือจากโทษจำคุก มาตรการใหม่นี้เรียกว่า…
“มาตรการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำความผิด”
โดยที่ระบุไว้ขัดเจนแล้วแน่นอนในมาตรา 19 วรรคสอง (1) คือ…
'มาตรการทางการแพทย์'
ยังมีมาตรการอื่น ๆ อีก แต่รายละเอียดจะมีอะไรและมีกระบวนการอย่างไรบ้าง ร่างกฎหมายบัญญัติให้ไปอยู่ในกฎกระทรวง และข้อบังคับของประธานศาลฎีกาโดยความเห็นชอบของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา
การทำให้อวัยวะเพศชายฝ่อ หรือการกดฮอร์โมนเพศชาย เป็นหนึ่งในมาตรการทางการแพทย์นี้
การใช้มาตรการทางการแพทย์ต้องเป็นคำสั่งของศาล
อัยการเป็นผู้ยื่นคำร้องขอต่อศาล โดยยื่นไปพร้อม ๆ กับคำฟ้องได้เลย
หรือจะไปยื่นในช่วงที่ผู้กระทำความผิดอยู่ระหว่างการรับโทษตามคำพิพากษาก็ได้
ศาลจะเป็นผู้พิจารณาว่าจะมีคำสั่งตามคำขอหรือไม่
ร่างกฎหมายมาตรา 19 วรรคสามกำหนดให้ศาลไต่สวนโดยคำนึงถึงพฤติการณ์แห่งความรุนแรงของคดี สาเหตุแห่งการกระทำความผิด ประวัติการกระทำความผิด ภาวะแห่งจิต นิสัย และลักษณะส่วนตัวอื่นของผู้กระทำความผิด ความปลอดภัยของผู้เสียหายและสังคม โอกาสในการกระทำความผิดซ้ำ และการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำความผิด
ในการไต่สวน ศาลสามารถเรียกสำนวนการสอบสวนจากอัยการ รับฟังคำคัดค้านของผู้กระทำความผิด รวมทั้งสั่งให้เจ้าพนักงานคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม สืบเสาะตามกฎหมายว่าด้วยการคุมประพฤติ
หากศาลเห็นควรออกคำสั่งใช้มาตรการทางการแพทย์หรือมาตรการแก้ไขฟื้นฟูอื่น ๆ ให้รวมไว้ในคำพิพากษา
รวมทั้งให้ระบุคำสั่งดังกล่าวไว้ในหมายจำคุกด้วย
กรมราชทัณฑ์จะเป็นหน่วยงานผู้ปฏิบัติตามคำสั่งศาล
และรายงานผลต่ออัยการอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
อัยการอาจยื่นคำร้องต่อศาลให้มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงมาตรการ หรือยกเลิกมาตรการได้ ขึ้นอยู่กับผลการใช้มาตรการตีอผู้กระทำความที่กรมราชทัณฑ์รายงานมา
ทั้งนี้ มาตรการทางการแพทย์ทั้งหมดให้ดำเนินการโดยแพทย์อย่างน้อย 2 คนที่ต้องมีความเห็นพ้องกัน
หากมาตรการทางการแพทย์นั้นต้องมีการใช้ยา ไม่ว่ายารับประทาน หรือยาฉีด นักโทษเด็ดขาดต้องให้ความยินยอม
นักโทษเด็ดขาดที่ยินยอมรับมาตรการแก้ไขฟื้นฟู อาจได้รับการพิจารณาปล่อยตัวก่อนกำหนด ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 21 วรรคสอง
“ให้กรมราชทัณฑ์นำผลของการใช้มาตรการทางการแพทย์ตามวรรคหนึ่งมาใช้ในการพิจารณาลดโทษ พักโทษ หรือให้ประโยชน์อื่นใดอันเป็นผลให้ผู้กระทำความผิดได้รับการปล่อยตัวก่อนกำหนดในคำพิพากษาตามกฎหมายว่าด้วยราชทัณฑ์ด้วย”
แต่แม้จะพ้นโทษแล้ว ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังมีมาตรการใช้กับผู้พ้นโทษแล้วนั้นอีก 3 มาตรการ
- 'มาตรการเฝ้าระวัง'
- 'มาตรการคุมขัง'
- 'มาตรการคุมขังฉุกเฉิน'
โดยสามารถใช้มาตราการใดมาตรการหนึ่ง หรือสลับสับเปลี่ยนมาตรการ ต่ออดีตนักโทษเด็ดขาดที่พ้นโทษออกมาแล้วได้ต่อเนื่องกัน แต่รวมแล้วต้องไม่เกิน 10 ปี
สรุป จะมีมาตรการดำเนินการต่อผู้กระทำผิดทั้งที่เป็นนักโทษและที่พ้นโทษออกมาแล้วรวมทั้งสิ้น 4 มาตรการ
เพื่อความปลอดภัยของสังคม
โดยทุกมาตรการตัองเป็นร้องขอจากอัยการ จากข้อมูลของคณะกรรมการ 2 ระดับตามกฎหมายฉบับนี้ และศาลเป็นผู้พิจารณาและมีคำสั่ง
ร่างกฎหมายน่าจะผ่านมติวุฒิสภาออกมาได้ในการประชุม 11 กรกฎาคม 2565 นี้
สำหรับคดีที่เกิดขึ้นก่อนร่างกฎหมายมีผลใช้บังคับ บทเฉพาะกาลมาตรา 43 บัญญัติให้มีผลย้อนหลังสำหรับคดีที่ยังอยู่ในการพิจารณาของศาล และกรณีที่จะมีการปล่อยตัวนักโทษที่กระทำความผิดทางเพศและความผิดที่ใช้ความรุนแรงตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 3 ด้วย
หลักการที่ให้มีผลย้อนหลังนี้ เพราะผู้ร่างไม่ถือว่ามาตรการทางการแพทย์หรือมาตรการแก้ไขฟื้นฟูอื่น ๆ เป็นโทษทางอาญา แต่ถือเป็นมาตรการที่เป็นคุณต่อผู้กระทำความผิดทางเพศหรือความผิดรุนแรงที่ระบุไว้จนติดเป็นนิสัย ควบคุมตัวเองไม่ได้ และถือเป็นวิธีการเพื่อความปลอดภัยของสังคม
เป็น ‘การุณยมาตรการ’ ว่างั้นเถอะ !
ส่วนมาตรการคุมขัง และคุมขังฉุกเฉิน ที่จะใช้กับผู้ที่พ้นโทษออกมาแล้ว คณะกรรมาธิการมีความเห็นร่วมกันว่านอกจากจะไม่ใช่โทษทางอาญาแล้ว ยังไม่อาจถือได้ว่าเป็นการบังคับใช้กฎหมายยัอนหลังเสียทีเดียว เพราะผู้กระทำความผิดต้องมีพฤติกรรมพิเศษชัดเจนที่ส่อว่าเสี่ยงจะกระทำผิดซ้ำเสียก่อน พฤติกรรมที่ว่านี้เกิดขึ้นในขณะที่กฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้แล้ว
ร่างกฎหมายมาตรการป้องกันการกระทำผิดซ้ำฯนี้น่าจะผ่านมติวุฒิสภาออกมาได้ในการประชุม 11 กรกฎาคม 2565
จะมีผลบังคับใช้เร็วแค่ไหนอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่าสภาผู้แทนราษฎรจะเห็นด้วยกับที่วุฒิสภาแก้ไขมั้ย เป็นเงื่อนไขให้ตัองมีการตั้งกรรมาธิการร่วม 2 สภามั้ย
เขียนโดย คำนูณ สิทธิสมาน
สมาชิกวุฒิสภา
เขียนเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2565
อ้างอิง :
รายงานของคณะกรรมาธิการ พร้อมร่างพ.ร.บ.ที่พิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมแล้ว
https://pis.parliament.go.th/PARFileDownloadProxy/download?s=58SFTcnDLFoCWkjcFRe1wGMsAQEda8oNOF7lQ9lwXFNjlYhCemc3A0Xi6vKmSTe8PDwc36rbN906n1tYVYh_EFr3gnYLur5C4Xyug0c5Vmz7ABlSD5oNCMXE8j-taX3Gs0HFCPPuFB73qekxRhPl2qJ-DuE0OPl44NY=&ref=1610573&n=1
แหล่งที่มา :