"...ฝรั่งชาติตะวันตกมีวิธีคิดตายตัว แบ่งข้างแบ่งขั้ว แย่งชิงต่อสู้อย่างรุนแรง นี้คือวิธีคิดสมองส่วนหลัง หรือสมองสัตว์เลื้อยคลานเพื่อการอยู่รอด ต่อสู้แย่งชิง หลอกลวง มนุษย์ก็มาจากสัตว์และเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง สมองส่วนหลังจึงกัมมันตะมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ แม้มีความเจริญด้วยเทคโนโลยีแต่สมองส่วนหลังก็ยังคงบงการวิธีคิด คือคิดเชิงต่อสู้แย่งชิง ทำให้โลกเสียสมดุล ปั่นป่วน วุ่นวาย รุนแรง วิกฤต..."
การเมืองแบบแจกกล้วย รวยกระจุก จนกระจาย หายนะประเทศไทย
การเมืองใหม่ ประเทศไทยพลิกโฉมทันที
ผลิกความคิดเมื่อใด เปลี่ยนใหม่ทันที
ฝรั่งชาติตะวันตกมีวิธีคิดตายตัว แบ่งข้างแบ่งขั้ว แย่งชิงต่อสู้อย่างรุนแรง นี้คือวิธีคิดสมองส่วนหลัง หรือสมองสัตว์เลื้อยคลานเพื่อการอยู่รอด ต่อสู้แย่งชิง หลอกลวง มนุษย์ก็มาจากสัตว์และเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง สมองส่วนหลังจึงกัมมันตะมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ แม้มีความเจริญด้วยเทคโนโลยีแต่สมองส่วนหลังก็ยังคงบงการวิธีคิด คือคิดเชิงต่อสู้แย่งชิง ทำให้โลกเสียสมดุล ปั่นป่วน วุ่นวาย รุนแรง วิกฤต
วิธีคิดเช่นนี้ไม่สอดคล้องกับความจริงตามธรรมชาติ ที่โลกทั้งใบเป็นหนึ่งเดียวกัน (Oneness) เหมือนร่างกายของเราที่มีเซลล์เป็นล้านๆ เซลล์ และอวัยวะต่างๆ มากมายหลากหลายสุดประมาณ แต่บูรณาการเป็นองค์รวมหนึ่งเดียวกัน เซลล์และอวัยวะไม่คิดแบ่งแยกและเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน เซลล์ทุกเซลล์มีสำนึกแห่งองค์รวมเดียวกัน ความเป็นองค์รวม คือ ความเป็นคนมีคุณสมบัติใหม่อันมหัศจรรย์ยิ่ง
ถ้าประเทศไทยมีความเป็นองค์รวม จะมีคุณสมบัติใหม่อันมหัศจรรย์ยิ่ง
คนในประเทศต้องมีสำนึกองค์รวมเดียวกัน ไม่คิดเชิงปฏิปักษ์แบ่งข้างแบ่งขั้ว
ความคิดแบบฝรั่งใช้ไม่ได้แล้ว พระพุทธเจ้าสอนวิธีคิดแบบทางสายกลาง ที่เรียกว่า “อิทัปปัจจยตา” ที่เห็นว่าสรรพสิ่งเป็นกระแสของเหตุปัจจัย หรือความเป็นเหตุเป็นผล ไม่แบ่งข้างแบ่งขั้ว จึงเรียกว่าทางสายกลาง ซึ่งเป็นทางสายปัญญาล้วนๆ เป็นการใช้สมองส่วนหน้าซึ่งเกี่ยวกับปัญญาและความดี
การเมืองทางสายกลาง คือ การเมืองที่ไม่แบ่งข้างแบ่งขั้ว แต่เป็นการเมืองที่ใช้ความเป็นเหตุเป็นผลหรือปัญญา เมื่อใช้ปัญญาก็เห็นความจริงร่วมกัน และร่วมมือกันได้ง่าย
รูปธรรมของการเมืองทางสายกลาง คือ พรรคการเมืองเป็นสถาบันนโยบายสาธารณะ (Public Policy Institute) และ นักการเมืองเป็นผู้เชี่ยวชาญในการขับเคลื่อนนโยบาย ดังต่อไปนี้
1. พรรคการเมืองร่วมกับสังคม ระดมความคิดว่าประเทศไทยมีประเด็นใหญ่อะไรบ้าง (Thailand Big Issues) ที่ถ้าแก้ไขหรือพัฒนาได้สำเร็จ ประเทศจะพ้นวิกฤตและเจริญรุ่งเรืองรวดเร็ว ประเด็นใหญ่เหล่านี้คือ ประเด็นนโยบายสาธารณะ ที่คนไทยร่วมกันกำหนด สมมุติว่ามี 20 -25 ประเด็น
2. นำประเด็นนโยบายสาธารณะ 20 - 25 ประเด็น สื่อสารให้คนไทยรู้ทั่วกันทั้งประเทศ เพื่อให้เกิดความมุ่งมั่นร่วมกัน ความมุ่งมั่นร่วมกันจะเหมือนรวมพลังแสงเลเซอร์
3. ร่วมกันก่อตัวเป็น “กลุ่มพัฒนานโยบาย” 25 กลุ่ม ตามจำนวนประเด็นนโยบาย แต่ละกลุ่มประกอบด้วย นักการเมือง ข้าราชการ นักวิชาการ สื่อมวลชน บุคคลอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการทำให้นโยบายนั้นๆ สำเร็จ
กลุ่มขับเคลื่อนนโยบาย ศึกษาการขับเคลื่อนระบบนโยบายครบวงจร เมื่อขับเคลื่อนระบบนโยบายครบวงจรก็จะเกิดผลสำเร็จทุกเรื่อง ไม่มีทางจะไม่สำเร็จ จึงเรียกวิธีการนี้ว่าสัมฤทธิศาสตร์ (คู่มือขับเคลื่อนระบบนโยบายครบวงจร 12 ขั้นตอน สู่ความสำเร็จ (คู่มือสัมฤทธิศาสตร์พาชาติออกจากวิกฤต))
4. เมื่อโยบายสาธารณะที่สำคัญเกิดความสำเร็จ ประเทศไทยก็จะหลุดพ้นจากหลุมดำแห่งวิกฤตการณ์ที่ประเทศไทยติดอยู่ช้านาน และเกิดความเจริญรุ่งเรืองทุกด้านอย่างรวดเร็ว
5. กระบวนการที่กล่าวมาคือ “การเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติ” (Interactive learning through action) ในสถานการณ์จริง ซึ่งทรงพลังมาก ที่ยิ่งทำ
o ยิ่งรักกันมากขึ้น
o ยิ่งเชื่อถือไว้วางใจกันมากขึ้น
o ยิ่งฉลาดขึ้น และฉลาดร่วมกัน
o เกิดปัญญาร่วม (Collective wisdom) นวัตกรรม และอัจฉริยภาพกลุ่ม (Group genius)
o ทั้งหมดเป็นพลังมหาศาล ทำให้ฝ่าความยากทุกชนิดไปสู่ความสำเร็จ
o คนไทยร่วมกันมีความสุข ประดุจบรรลุนิพพาน
6. ทั้งหมดที่กล่าวนี้คือ P4 (Participatory Public Policy Process) หรือ “กระบวนการนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม” ที่คนไทยทุกภาคส่วน รวมทั้งนักการเมือง มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ และร่วมรับผลจากความสำเร็จของนโยบาย จึงเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ประชาธิปไตยทางปัญญา ประชาธิปไตยอรรถประโยชน์ และประชาธิปไตยสมานฉันท์ เป็นการที่ประชาธิปไตยทางอ้อมหรือประชาธิปไตยแบบตัวแทน กับประชาธิปไตยทางตรงที่คนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม เข้ามาบรรจบกันเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์
ประชาธิปไตยบางส่วนและประชาธิปไตยแบ่งข้างแบ่งขั้วแบบตะวันตก หมดอายุการใช้งานแล้ว ดูตัวอย่างการเมืองในสหรัฐอเมริกา
P4 เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่จะทำให้การเมืองลงตัว
7. ในขณะที่โลกคิดแบบแยกส่วนและทำแบบแยกส่วน อันนำไปสู่การเสียสมดุลหมดทั้งโลกจนเรียกกันว่า “วิกฤติอารยธรรมตะวันตก” (Western Civilization Crisis) การคิดแบบทางสายกลาง นำไปสู่บูรณาการและความสมดุล เกิดประเทศไทยที่เป็นองค์รวม ที่คนไทยทุกคนมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีส่วนร่วม มีความสามัคคี ไม่แตกแยกเป็นซ้ายเป็นขวาอีกต่อไป เพราะความเป็นคนที่สมบูรณ์ย่อมมีทั้งแขนซ้ายและแขนขวา เครื่องบินที่บินได้ย่อมมีทั้งปีกซ้ายและปีกขวา การเห็นบางส่วนเหมือนตาบอดคลำช้าง ทำให้คนไทยแตกแยกและทะเลาะกันสูง แบ่งเป็นซ้ายเป็นขวา แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นคิดแบบทางสายกลาง เกิดบูรณาการเห็นช้างทั้งตัว ก็ไม่มีอะไรจะทะเลาะกันอีกต่อไป
ประเทศไทยที่เป็นองค์รวมจะมีคุณสมบัติใหม่อันมหัศจรรย์ เหมือนเครื่องบินที่เป็นองค์รวมบินได้ ในขณะที่ชิ้นส่วนต่างๆ ไม่มีชิ้นไหนบินได้เลย
8. การเมืองใหม่ คือ การเมืองทางสายกลางนี้เกิดขึ้นได้ง่ายอย่างมีความสุข ไม่ต้องไปหาเงินมาแจกกล้วย ทำโดยการพลิกความคิด ไม่ใช่เอารัฐธรรมนูญนำ เรามีรัฐธรรมนูญมากว่า 20 ฉบับแล้วบนความคิดเก่า ในการเมืองทางสายกลางนี้ แต่ละพรรคจะสามารถขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วมหรือ P4 โดยจะเป็นรัฐบาลหรือไม่ก็ตาม พรรคใดเป็นรัฐบาลก็สนับสนุนให้พรรคอื่นๆ ขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะให้ได้มากที่สุด เพราะทั้งหมดเป็นเสมือนอยู่ในร่างกายเดียวกัน การต่อสู้เผชิญหน้า (Confrontation) จนเปลี่ยนเป็นความร่วมมือ (Collaboration) หรืออาจกล่าวว่าจาก C to C (C2C) ซึ่งควรเป็นระเบียบวาระของโลกเพื่อสันติภาพ พรรคการเมืองจะไม่เหน็ดเหนื่อยยากลำบากในการต่อสู้ ขัดแข้งขัดขา มุ่งโค่นล้มกันอีกต่อไป แต่จะเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติ เกิดความสำเร็จร่วมกัน
การคิดแบบทางสายกลางมีอานิสงส์มากถึงเพียงนี้
ชาวพุทธทั่วประเทศควรถือเป็นหน้าที่ที่จะทำความเข้าใจ และช่วยให้เพื่อนมนุษย์เข้าใจวิธีคิดแบบทางสายกลาง และช่วยกันสนับสนุนการเมืองทางสายกลาง อันเป็นการเมืองที่คนไทยทุกคนมีส่วนร่วมได้ใน “กระบวนการนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม” P4 ประเทศไทยจะพลิกโฉมทันที และเป็นตัวอย่างแก่โลกว่า สัมมาพัฒนานั้นคืออย่างไร มนุษยชาติจะเปลี่ยนมาใช้สมองส่วนหน้า ซึ่งเป็นสมองของความเป็นมนุษย์ที่อาริยะ พ้นจากความครอบงำของสมองส่วนหลัง หรือสมองสัตว์เลื้อยคลาน
การเมืองใหม่ หรือ การเมืองทางสายกลาง เป็นการเมืองสมองส่วนหน้า การเมืองเก่า หรือ การเมืองสมองส่วนหลัง หรือ สมองสัตว์เลื้อยคลาน
นี้คือการปฏิวัติความเป็นมนุษย์ สู่โลกยุคใหม่
เขียนโดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ ประเวศ วะสี