"....พฤติการณ์ถือว่าข้าราชการดังกล่าวทั้งหมดปฏิบัติหน้าที่ราชการดำเนินงานโครงการ ใช้จ่ายงบประมาณงินอุดหนุนโครงการบรรพชาอุปสมบทพระภิกษุสามเณรและบวชศีลจาริณีภาคฤดูร้อน เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์และแนวทางการดำเนินงานโครงการฯ ตามที่กรมการศาสนากำหนดและผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตรอนุมัติ และไม่เป็นไปตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ....."
.....................
ประเด็นตรวจสอบการใช้จ่ายเงินอุดหนุนโครงการบรรพชาอุปสมบทพระภิกษุ สามเณร และบวชศีลจาริณี ภาคฤดูร้อนเฉลิมพระเกียรติ ประจำปีงบประมาณ 2563 จำนวน 31 วัด รวมวงเงินกว่า 330,000 บาท ของ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพิจิตร นั้น
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำข้อมูลเชิงลึกมานำเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบไปแล้วว่า ในช่วงกลางเดือนพ.ย.2563 ที่ผ่านมา กระทรวงวัฒนธรรม ได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยไม่ร้ายแรง แก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพิจิตร จำนวน 14 ราย ขึ้น ภายหลังปรากฎข้อมูลว่า วัดที่เข้าร่วมโครงการในปีนี้ ซึ่งมีจำนวนกว่า 31 แห่ง หลังจากได้รับเงินไปแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพิจิตร ไปประสานงานเพื่อขอนำเงินทั้งหมดกลับคืนมา ใช้ดำเนินการจัดจ้างสิ่งของทำถุงยังชีพบรรเทาปัญหาการระบาดของเชื้อโควิค-19 และนำถุงยังชีพกลับไปดำเนินการจัดกิจกรรม มอบให้กับประชาชนเองตามพื้นที่ของวัดที่เข้าร่วมโครงการ โดยเชิญ เจ้าอาวาสวัด ผู้นำชุมชน และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานอื่นในพื้นที่มาร่วมมอบถุงยังชีพด้วย
(อ่านประกอบ : เผยคำสั่ง วธ.สอบวินัย 14 ขรก.พิจิตร เรียกคืนเงินโครงการบวช ซื้อถุงยังชีพโควิดแจกแทน)
ต่อไปนี้ คือ รายละเอียดพฤติการณ์ของข้าราชการและเจ้าหน้าที่สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพิจิตร จำนวน 14 ราย ที่ปรากฎอยู่ในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยไม่ร้ายแรงดังกล่าว
- ข้าราชการและเจ้าหน้าที่สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพิจิตร จำนวน 14 ราย มีกรณีอันมีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงในเรื่อง สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพิจิตร ได้รับมอบหมายให้ดำเนินโครงการบรรพชาอุปสมบทพระภิกษุสามเณรและบวชศีลจาริณีภาคฤดูร้อนเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ของกรมการศาสนา
ซึ่งกรมการศาสนได้แจ้งปรับกิจกรรมการดำเนินงานโครการฯ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVD - 19 ) โดยให้สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพิจิตรสามารถเลือกจัดกิจกรรมบรรพชาอุปสมบทพระภิกษุสามเณรและบวชศีลจาริณีภาคฤดูร้อน กิจกรรมปฏิบัติธรรม กิจกรรมที่สอดคล้องกับค่านิยม 12 ประการ หรือกิจกรรมจิตอาสาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ กิจกรรมใด กิจกรรมหนึ่ง ตามความเหมาะสมของบริบทพื้นที่ภายในจังหวัด
ทั้งนี้ ตามแนวทางที่กรมการศาสนากำหนด และผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ได้อนุมัติโครงการบรรพชาอุปสมบทพระภิกษุสามเณรและบวชศีลจาริณีภาคฤดูร้อนเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประจำปืงบประมาณ พ.ศ. 2563 ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ตามที่สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพิจิตรเสนอ และมีคำสั่งจังหวัดพิจิตร ที่ 822/2563 ลงวันที่ 27 เมษายน 2563 แต่งตั้งคณะกรรมการโครงการบรรพชาอุปสมบทพระภิกษุสามเณรและบวชศีลจาริณีภาคฤดูร้อนเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVD - 19 ) เพื่อดำเนินงานโครงการให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ตามแนวทางที่กรมการศาสนากำหนดและผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตรอนุมติ ได้กำหนดให้สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพิจิตรเป็นศูนย์อำนวยการจัดโครงการฯ ประสานงานส่งเสริมสนับสนุนภาคคณะสงฆ์ หน่วยงานภาครัฐ และเอกชนรวมถึงให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงาน จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์เชิญชวนเด็ก เยาวชน และประชาชนเข้าร่วมโครงการฯ ประสานขอความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงประชาชนทั่วไปในพื้นที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนการดำเนินงาน และร่วมกับวัด และหน่วยงานอื่น ๆ ในจังหวัดจัดกิจกรรมดังกล่าว รวมถึงติดตามประเมินผลและรายงานผลการดำเนินงานโครงการฯ ต่อกรมการศาสนา
โดยให้แต่งตั้งคณะกรรมการและมีการประชุมร่วมกับภาคคณะสงฆ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาจัดสรรงบประมาณอุดหนุนให้กับวัดที่เข้าร่วมโครงการซึ่งอาจจะเลือกจัดกิจกรรมบรรพชาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติกิจกรรมปฏิบัติธรรม กิจกรรมที่สอดคล้องกับค่านิยม 12 ประการ หรือกิจกรรมจิตอาสาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ตามความเหมาะสมของแต่ละวัด และให้จัดสรรงบประมาณ (หมวดเงินอุดหนุน) ของกรมการศาสนา จำนวน 331,000 บาท อุดหนุนให้แก่วัดที่เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 33 วัด วัดละ 10,000 บาท เพื่อให้วัดนำเงินงบประมาณดังกล่าวไปใช้จ่ายบริหารจัดการโครงการฯ ในพื้นที่ ให้แล้วเสร็จ ตามวัตถุประสงค์และแนวทางที่กรมการศาสนากำหนด และหากวัดที่ร่วมโครงการฯ ไม่สามารถดำเนินการได้ให้โอนงบประมาณกลับกรมการศาสนา หลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมหรือพ้นระยะเวลาที่กำหนด มิใช่ให้ส่วนราชการนำเงินงบประมาณดังกล่าวกลับมาใช้จ่ายดำเนินการเอง
นางสาว ณ . ได้สั่งการให้มีการประชุมคณะกรรมการโครงการฯ เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2563 โดยมีนางสาว ณ เป็นประธานการประชุม และมีข้าราชการสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพิจิตรที่เป็นคณะกรรมการโครงการฯ ได้แก่ นางสาว น., นางสาว ส., นางสาว อ., นาง น., นาง ธ., นาง ศ., นาง ก., นาง ส., นางสาว ป., นางสาว จ., นางสาว ข., นาย จ., นางสาว ช., และนางสาว ว. เข้าร่วมประชุม และที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาลงมดิเห็นชอบแนวทางการดำเนินโครงการฯ ให้จัดทำถุงยังชีพมอบผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVD - 19 ) และร่วมกันพิจารณาลงมติเห็นชอบการคัดเลือกวัดที่เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 31 วัด โดยคัดเลือกวัดที่เป็นเครือข่ายการดำเนินงานของกรมการศาสนา จำนวน 9 วัด เข้าร่วมโครงการฯ ทดแทนวัดเดิมที่ไม่เข้าร่วมโครงการฯ มอบถุงยังชีพ จำนวน 11 วัด โดยให้ จัดสรรงบประมาณงินอุดหนุนโครงการฯ จำนวน 330,000 บาท ให้วัดที่เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 31 วัด ได้แก่ วัดดงตะขบ จำนวน 20,000 บาท วัดกำแพงดิน จำนวน 13,000 บาท วัดสำนักขุนเณร จำนวน 17,000 บาท ซึ่งเกินกว่าวัดละ 10,000 บาท และวัดอื่น ๆ อีก 28 วัด วัดละ 10,000 บาท
ซึ่งการมีมติดังกล่าวไม่ได้มีการประชุมหารือร่วมกับภาคคณะสงฆ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันพิจารณาจัดสรรงบประมาณอุดหนุนให้กับวัดที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งอาจจะเลือกจัดกิจกรรมบรรพชาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติฯ กิจกรรมปฏิบัติธรรม กิจกรรมที่สอดคล้องกับค่านิยม 12 ประการ หรือกิจกรรมจิตอาสาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ ตามความหมาะสมของแต่ละวัด และหากวัดใดไม่สามารถดำเนินโครงการได้ จักได้ดำเนินการโอนงบประมาณกลับกรมการศาสนาต่อไป
และเมื่อสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพิจิตรได้ดำเนินการโอนเงินงบประมาณให้แก่วัดที่เข้าร่วมโครงการฯ นางสาว ณ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ไปประสานนำเงินดังกล่าวทั้งหมดกลับคืนมาจากวัดทุกแห่ง แล้วให้สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพิจิตรนำเงินมาดำเนินการใช้จ่ายจัดซื้อจัดจ้างสิ่งของจัดทำถุงยังชีพเอง และนำฤงยังชีพไปดำเนินการจัดกิจกรรมมอบให้กับประชาชนเองตามพื้นที่ของวัดที่เข้าร่วมโครงการ โดยเชิญเจ้าอาวาสวัด ผู้นำชุมชน และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานอื่นในพื้นที่มาร่วมมอบถุงยังชีพ
โดยมีนางสาว น. เป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างการทำถุงยังชีพ และมีนาง ธ. ผู้รับผิดชอบโครงการฯ ซึ่งทราบและเข้าใจในแนวทางการดำเนินงานและวัตถุประสงค์โครงการเป็นอย่างดี สนับสนุนช่วยเหลือหรือร่วมดำเนินการดังกล่าว โดยไม่ทักท้วง
พฤติการณ์ถือว่าข้าราชการดังกล่าวทั้งหมดปฏิบัติหน้าที่ราชการดำเนินงานโครงการ ใช้จ่ายงบประมาณงินอุดหนุนโครงการบรรพชาอุปสมบทพระภิกษุสามเณรและบวชศีลจาริณีภาคฤดูร้อน เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ 2 เมษายน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์และแนวทางการดำเนินงานโครงการฯ ตามที่กรมการศาสนากำหนดและผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตรอนุมัติ และไม่เป็นไปตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ
ทั้งนี้ ในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยไม่ร้ายแรงฉบับนี้ ระบุด้วยว่า ถ้าคณะกรรมการสอบสวนเห็นว่า กรณีมีมูลว่าผู้ถูกกล่าวหา กระทำผิดวินัยในเรื่องอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในคำสั่งนี้ หรือกรณีที่การสอบสวนพาดพิงไปถึงผู้อื่นให้ ดำเนินการตามข้อ 49 หรือ ข้อ 50 ของกฎ ก.พ.ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ.2556 ที่ระบุว่า ข้อ 59 ในการสอบสวนถ้าคณะกรรมการสอบสวนเห็นว่ามีพยานหลักฐานที่ควรกล่าวหาว่าผู้ถูกกล่าวหากระทําผิดวินัยในเรื่องอื่นด้วย ให้ประธานกรรมการรายงานต่อผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนโดยเร็วเมื่อได้รับรายงานตามวรรคหนึ่งแล้วให้ผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาดําเนินการดังต่อไปนี้
(1) ถ้าเห็นว่ากรณีไม่มีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทําผิดวินัยในเรื่องอื่นด้วยให้ยุติไม่ต้องดําเนินการทางวินัยสําหรับเรื่องอื่นนั้น
(2) ถ้าเห็นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทําผิดวินัยในเรื่องอื่นด้วยให้ดําเนินการทางวินัยในเรื่องอื่นนั้นด้วยตามกฎก.พ. นี้ในกรณีที่การ กระทําผิดวินัยในเรื่องอื่นนั้นเป็นการกระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรงจะแต่งตั้งให้คณะกรรมการสอบสวนคณะเดิมหรือจะแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนคณะใหม่ดําเนินการสอบสวนและพิจารณาในเรื่องอื่นนั้นก็ได้
ข้อ 50 ในกรณีที่การสอบสวนพาดพิงไปถึงข้าราชการพลเรือนผู้อื่นถ้าคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาเห็นว่าผู้นั้นมีส่วนร่วมกระทําการในเรื่องที่สอบสวนนั้นด้วยให้คณะกรรมการสอบสวนรายงานต่อผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนโดยเร็วเพื่อพิจารณาดําเนินการตามกฎก.พ. นี้ต่อไปในกรณีที่การสอบสวนพาดพิงไปถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐอื่นหรือบุคคลอื่นถ้าคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาเห็นว่าผู้นั้นมีส่วนร่วมกระทําการในเรื่องที่สอบสวนนั้นด้วยให้คณะกรรมการสอบสวนรายงานต่อผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนโดยเร็วเพื่อพิจารณาตามที่เห็นสมควรต่อไป
แล้วแต่กรณีด้วย
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage