
การจัดซื้อจัดจ้างกิจการร่วมค้านั้นมีปัญหาอยู่ตรงที่ว่าถ้าหากว่าเป็นหน่วยงานรัฐไปทำสัญญากับบริษัทโดยตรงเลย เจ้าหน้าที่รัฐจะเป็นผู้ที่ตรวจสอบบริษัทคู่สัญญาว่ามีความถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นกิจการร่วมค้า การตรวจสอบบริษัทในกิจการร่วมค้า จะเป็นหน้าที่ของบริษัทไทยที่อยู่ในกิจการร่วมค้าด้วยกันเอง ซึ่งกรณีนี้อาจทำให้มีปัญหาเพราะว่ามีบริษัทไทยบางแห่งที่มีพฤติกรรมขายชื่อตัวเองเพียงอย่างเดียว เพื่อให้บริษัทนำชื่อไปใช้ในกิจการร่วมค้า
เหตุการณ์ตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มจากแผ่นดินไหววันที่ 28 มี.ค. ทำให้เกิดกระบวนการสอบสวนในหลายประเด็นตามมา
โดยวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ณ เวลานั้น ได้แถลงผลสอบ กรณีตึก สตง.ถล่มว่ามีสาเหตุมาจากการออกแบบ และวิธีการก่อสร้าง มีข้อบกพร่องอย่างชัดเจน โดยเฉพาะผนังรับแรงเฉือนบริเวณช่องลิฟต์ และบันได ซึ่งเป็นจุดวิกฤตที่ทำให้อาคารพังทลาย
หลังจากการแถลงดังกล่าวก็ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับบริษัทซึ่งรับงานก่อสร้างตึก ซึ่งในกระบวนการก่อสร้างมีด้วยกันหลายบริษัทมากขึ้นไปอีก
ถ้าอ้างอิงข้อมูลจากการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอจะพบว่าหนึ่งในบริษัทที่มีปัญหาและถูกดำเนินคดีมากที่สุด ก็คงจะหนีไม่พ้นบริษัท ไชน่าเรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด
โดยข่าวเมื่อวันที่ 5 มิ.ย.อัยการสำนักงานคดีพิเศษ มีความเห็นสั่งฟ้อง 5 ผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับบริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ซึ่งประกอบไปด้วยตัวบริษัท 1 ราย และผู้ถือหุ้นอีก 4 ราย ประกอบด้วยผู้ถือหุ้นชาวจีน 1 ราย และผู้ถือหุ้นชาวไทยอีก 3 ราย
โดยผู้ถือหุ้นชาวจีนถูกตั้งข้อหาว่ากระทำความผิดฐานเป็นคนต่างด้าวฝ่าฝืนประกอบธุรกิจที่คนไทยยังไม่มีความพร้อมที่จะแข่งขันในการประกอบกิจการกับคนต่างด้าวโดยไม่ได้รับอนุญาต
ขณะที่ผู้ถือหุ้นชาวไทยโดนข้อหาว่าให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนคนต่างด้าวเพื่อให้คนต่างด้าวหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต
หรือสรุปก็คือผู้ถือหุ้นบริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 มีความผิดฐานเอื้อประโยชน์ให้คนต่างด้าวมาประกอบกิจการในประเทศไทย หรือที่เรียกกันว่าคดีนอมินีนั่นเอง
แล้วทำไมบริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 จึงเข้ามารับงานให้กับ สตง.ได้?
ย้อนไปเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2568 นายสุทธิพงศ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (รองผู้ว่า สตง.) ได้กล่าวตอนหนึ่งในการให้ปากคำกับคณะกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระฯ สภาผู้แทนราษฎร ว่าในกระบวนการประกวดราคาสัญญาสร้างตึก สตง.ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของกรมบัญชีกลาง มีผู้เข้าประกวดราคา 16 ราย โดยกิจการร่วมค้า ITD-CREC (ประกอบด้วยบริษัทอิตาเลียนไทย และบริษัทไชน่าเรลเวย์ นัมเบอร์ 10(ประเทศไทย) จำกัด) เป็นผู้ชนะการประกวดราคา นั้นไม่พบว่ามีการฮั้วแต่อย่างใด อีกทั้งยังทราบว่า บริษัทมีทุน และเทคโนโลยีจากจีน
นายสุทธิพงศ์กล่าวยืนยันด้วยว่า สตง.ไม่เคยรู้เรื่องบริษัทจีนที่มาร่วมก่อสร้าง เพราะอิตาเลียนไทยออกหน้ามาตลอด สตง. ยังดีใจว่า ได้บริษัทที่มีระดับเบอร์ 1 ของประเทศ มารับสร้างโครงการนี้
หรือตีความให้เข้าใจได้ง่ายๆก็คือรองผู้ว่า สตง.ระบุว่าไชน่าเรลเวย์ นัมเบอร์ 10 เข้ามามีส่วนในการสร้างตึก สตง.ได้ ก็เพราะว่าอิตาเลียนไทย ซึ่งอยู่ในกิจการร่วมค้า ITD-CREC เป็นผู้ออกหน้าให้นั่นเอง
ดังนั้นถ้าหากสรุปข้อมูลจากทั้งการดำเนินคดีของดีเอสไอและจากการให้ถ้อยคำของฝ่าย สตง.ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ก็จะเห็นปัญหาเกี่ยวกับบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ได้อยู่ 2 ประการคือ
1.ผู้บริหารบริษัทชาวจีน อาจมีความผิดคดีนอมินี เพราะว่าจ้างคนไทยให้มาถือหุ้นเกิน 51% เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว แต่คนไทยที่ถูกว่าจ้างให้ถือหุ้นแทนไม่มีส่วนบริหารบริษัทแต่อย่างใด
และ 2. บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 สามารถเข้ามารับงานรัฐได้ ก็ด้วยการจับมือกับบริษัทไทยซึ่งมีความน่าเชื่อถือ รวมตัวกันเป็นกิจการร่วมค้า แล้วให้บริษัทไทยดังกล่าวเป็นผู้ออกหน้าให้ แต่จนถึงปัจจุบันไม่มีข้อมูลว่าบริษัทไทยได้มีส่วนในการก่อสร้างมากน้อยแค่ไหน ซึ่งพฤติการณ์แบบนี้ถูกเรียกสั้นๆว่าเป็นการเอาชื่อบริษัทไทยมาแปะเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม สตง.กลับไม่ใช่หน่วยงานรัฐเพียงแห่งเดียวที่บริษัทไชน่าเรลเวย์ฯ เข้าไปรับงานในรูปแบบของการจับมือเป็นกิจการร่วมค้า ร่วมกับบริษัทไทยรายอื่น
เพราะข้อมูลจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI)ระบุว่าบริษัทแห่งนี้ได้มีการประมูลโครงการของภาครัฐไปแล้ว 29 โครงการ กับกิจการร่วมค้า 12 ราย วงเงินงบประมาณ 27,803,128,433.13 บาท (27,803 ล้านบาท) (ดูภาพประกอบ)

คำถามสำคัญคือระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐมีช่องโหว่ตรงไหน จึงทำให้หน่วยงานรัฐไทยได้ไปว่าจ้างบริษัทที่มีปัญหาอย่างไชน่าเรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ที่เข้ามาในรูปแบบของกิจการร่วมค้า ที่มีบริษัทไทยเป็นผู้ออกหน้าให้
@กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
ย้อนไปเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2563 คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อ จัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ กรมบัญชีกลาง ได้มีการกำหนดนิยามเกี่ยวกับกิจการการค้าที่จะเข้าร่วมการเสนอราคากับหน่วยงานรัฐเอาไว้ มีรายละเอียดดังนี้
1. กรณีงานซื้อหรืองานจ้างทุกวงเงิน หรืองานก่อสร้างที่มีวงเงินงบประมาณน้อยกว่า 1,000,000 บาท หมายความว่า
“กิจการที่มีข้อตกลงระหว่างผู้เข้าร่วมค้าเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะดำเนินการ ร่วมกันเปีนทางการค้าหรือหากำไรระหว่างบริษัทกับบริษัท บริษัทกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล กับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือระหว่างบริษัทและ/หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับบุคคลธรรมดา คณะบุคคล ที่มิ,ใช่นิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญ นิติบุคคลอื่น หรือนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ โดยข้อตกลงนั้นอาจกำหนดให้มีผู้เข้าร่วมค้าหลักก็ได้”
2.กรณีงานก่อสร้างที่มีวงเงินงบประมาณตั้งแต่ 1,000,000 บาท ขึ้นไป หรือกรณี กิจการร่วมค้าที่มีสิทธิเป็นผู้ยื่นข้อเสนอต่อหน่วยงานของรัฐในสาขางานก่อสร้างที่ขึ้นทะเบียน ไว้กับกรมบัญชีกลางตามที่คณะกรรมการราคากลางและขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการกำหนด หมายความว่า “กิจการที่มีข้อตกลงระหว่างผู้เข้าร่วมค้าเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะดำเนินการร่วมกันเป็นทางการค้า หรือหากำไร ระหว่างบริษัทกับบริษัท บริษัทกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับห้างหุ้นส่วน นิติบุคคล หรือระหว่างบริษัทและ/หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับนิติบุคคลอื่น หรือนิติบุคคลที่ตั้งขึ้น ตามกฎหมายของต่างประเทศ โดยข้อตกลงนั้นอาจกำหนดให้มีผู้เข้าร่วมค้าหลักก็ได้” (ดูเอกสารประกอบ)


หากสรุปรายละเอียดใน 2 ข้อเบื้องต้นจะเห็นว่านิยามของกิจการร่วมค้านั้นไม่มีการระบุถึงการตรวจสอบรายละเอียด หรือตรวจสอบคุณสมบัติ, ผลประกอบการของบริษัทผู้ที่จะเข้ามาจดทะเบียนเป็นกิจการร่วมค้าแต่อย่างใด
ขอแค่ว่าเป็นบริษัทที่จัดตั้งตามกฎหมายไม่ว่าจะของประเทศใด ก็สามารถจดทะเบียนเป็นกิจการร่วมค้า และมีสิทธิเข้ามายื่นเสนอราคากับหน่วยงานของรัฐได้แล้ว
@เลขาฯ ACT ยอมรับแก้ปัญหายาก แนะตรวจสอบรายจ่ายทุกงวดงาน
นายมานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นไทยหรือ ACTกล่าวถึงปัญหาของกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง โดยมีผู้ที่รับสัญญาเป็นกิจการร่วมค้าเอาไว้ตอนหนึ่งว่าโดยส่วนตัวเห็นด้วยกับการเปิดให้กิจการร่วมค้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานรัฐ เพราะว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทต่างชาติที่มีศักยภาพเข้ามารับสัญญารัฐ และยังเป็นการเพิ่มเติมศักยภาพของเอกชนไทยเพราะในบางกรณีบริษัทไทยที่มีความสนใจจะเข้ามารับงานรัฐ อาจจะมีปัญหาในเรื่อง 1.เงินทุน 2.ความสามารถในด้านเทคโนโลยี และ 3.ประสบการณ์ในการจัดการด้านนั้นๆ ดังนั้นถ้าบริษัทไม่ว่าจะเป็นของไทยหรือว่าของต่างชาติ หากได้คุณสมบัติตามสามข้อนี้แล้วก็ควรจะให้โอกาสมาร่วมในกิจการร่วมค้าเพื่อรับงานรัฐได้เพื่อเติมช่องว่างบริษัทไทยที่อาจจะศักยภาพไม่ถึง
เลขาธิการ ACT กล่าวว่าอย่างไรก็ตามยอมรับว่าการจัดซื้อจัดจ้างกิจการร่วมค้านั้นมีปัญหาอยู่ตรงที่ว่าถ้าหากว่าเป็นหน่วยงานรัฐไปทำสัญญากับบริษัทโดยตรงเลย เจ้าหน้าที่รัฐจะเป็นผู้ที่ตรวจสอบบริษัทคู่สัญญาว่ามีความถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นกิจการร่วมค้า การตรวจสอบบริษัทในกิจการร่วมค้า จะเป็นหน้าที่ของบริษัทไทยที่อยู่ในกิจการร่วมค้าด้วยกันเอง ซึ่งกรณีนี้อาจทำให้มีปัญหาเพราะว่ามีบริษัทไทยบางแห่งที่มีพฤติกรรมขายชื่อตัวเองเพียงอย่างเดียว เพื่อให้บริษัทนำชื่อไปใช้ในกิจการร่วมค้า
นายมานะกล่าวต่อไปว่าสิ่งนี้ทำให้เกิดปัญหา ทั้งปัญหาว่าบริษัทซึ่งมีลักษณะที่ผิดกฎหมาย บริษัทที่กรรมการบริษัทมีพฤติกรรมเป็นนอมินีคนต่างด้าวเข้ามาเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานรัฐได้ และปัญหาอีกประการก็คือว่าการมาเป็นกิจการร่วมค้าในลักษณะที่บริษัทไทยแค่ยอมขายชื่ออย่างเดียวอาจจะทำให้บริษัทซึ่งไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความสามารถที่เหมาะสมเข้ามารับงานรัฐก็เป็นได้
ยกตัวอย่างเช่นบริษัทไทยที่ยอมขายชื่อให้มาร่วมเป็นกิจการร่วมค้านั้นมีประสบการณ์ทีเหมาะสมในการรับงานรัฐ แต่ปรากฎว่าอีกบริษัทกลับไม่มีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสัญญารัฐนั้นเลยเป็นต้น หรืออย่างกรณีสัญญาในโรงกำจัดน้ำเสียที่คลองด่าน ที่กิจการร่วมค้าซึ่งได้รัฐสัญญานั้นได้มีการเปลี่ยนตัวเอาบริษัทที่มาจากอังกฤษออกไป และเอาบริษัทอื่นเข้ามาแทน แต่ก็ยังมีการทำสัญญาอยู่ ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าผิดทั้งเงื่อนไขสัญญา และผิดกฎหมายจัดซื้อจัดจ้างฉบับปัจจุบันด้วย
เมื่อถามถึงแนวทางการแก้ปัญหาในเรื่องนี้ นายมานะกล่าวว่าเรื่องนี้ยอมรับว่าแก้ปัญหายาก เพราะในอดีตการเป็นกิจการร่วมค้า จะต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลใหม่่ แต่ปัจจุบันก็ได้มีการยกเลิกเรื่องนี้ไป ก็อาจจะเป็นช่องว่างให้เกิดการฉวยโอกาสให้บริษัทที่ไม่ถูกต้องเข้ามาร่วมในกิจการร่วมค้าได้แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะส่วนตัวเห็นว่าการปรับปรุงระบบที่กรมบัญชีกลาง ในการตรวจสอบเรื่องของคุณสมบัติผู้ที่เข้ามายื่นซองประกวดราคา ก็น่าจะเป็นทางแก้ปัญหาทางหนึ่ง ควบคู่ไปกับการกำหนดสัดส่วนความรับผิดของกิจการร่วมค้าในสัญญารัฐก็น่าจะช่วยแก้ปัญหาได้
นายมานะกล่าวต่อถึงอีกวิธีแก้ปัญหาก็คือเรื่องของการตรวจสอบเรื่องบัญชีค่าใช้จ่ายของเอกชนที่รับงานของรัฐในแต่ละงวดงานว่าเอาเงินไปใช้ตรงไหนบ้าง
“ถ้ากิจการร่วมค้าถูกบังคับให้ต้องยื่นบัญชีการใช้จ่ายในโครงการที่รับงาน เรื่องนี้ก็จะฟ้องว่ามีเงินเข้าเงินออกเกี่ยวกับโครงการนั้น ถ้าหากมีบริษัทที่มีลักษณะเป็นนอมินีเข้ามา เรื่องเงินเข้าหรือเงินออกก็จะไม่ปรากฎอย่างเต็มที่” นายมานะกล่าวและกล่าวต่อว่าแต่ยอมรับว่าทำแบบนี้ก็อาจจะเป็นการเพิ่มภาระกับเจ้าหน้าฝ่ายจัดซื้อที่ต้องมาตรวจสอบบันทึกค่าใช้จ่ายซึ่งอาจจะมีจำนวนมหาศาลก็เป็นได้
อย่างไรก็ตามถ้าหากมีการออกข้อบังคับว่าให้กิจการร่วมค้า เอกชนผู้รับงานรัฐทำบันทึกค่าใช้จ่ายในโครงการเก็บไว้ เจ้าหน้าที่ยังไม่ต้องไปตรวจสอบ แต่ว่าพอโครงการนั้นมีปัญหาเจ้าหน้าที่ก็ค่อยไปดึงบันทึกค่าใช้จ่ายในโครงการมาตรวจสอบ อันนี้ก็อาจจะลดภาระของเจ้าหน้าที่หน่วยงานในการตรวจสอบกิจการร่วมค้าซึ่งรับงานรัฐอีกทางหนึ่งได้
“สมัยก่อนมันมีกฎหมายเรื่องตรวจบัญชีรายรับจ่าย ต้องส่งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แต่กฎหมายฉบับเก่านี้ยกเลิกไปแล้วเพราะเป็นภาระของหน่วยงานตรวจสอบ เอกสารมันเยอะมาก ยื่นกันเป็นแสนๆ ใครจะไปตรวจสอบได้ แต่ถ้าหากว่าให้ยื่นบัญชีรายรับจ่ายมาเฉยๆ แล้วพอโครงการนั้นมีปัญหา ก็ค่อยมาตรวจสอบ แบบนี้ก็พอทำได้” นายมานะกล่าวทิ้งท้าย

@กรมบัญชีกลางปฏิเสธชี้แจง ขณะ เลขาฯ ป.ป.ช.ขอดูข้อกฎหมาย
ขณะที่อธิบดีกรมบัญชีกลางปฏิเสธที่จะตอบคำถามผู้สื่อข่าวในเรื่องของปัญหาเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างกิจการร่วมค้า ซึ่งเปิดช่องให้บริษัทที่มีลักษณะเป็นนอมินีหรือไม่ถูกเข้ามาเป็นคู่สัญญารัฐส่วนนายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการ ป.ป.ช.กล่าวถึงในประเด็นเรื่องการแก้ไขกฎหมาย ต้องไปดูรายละเอียดก่อนโดยเฉพาะรูปแบบที่ว่าบริษัทอย่างไชน่า เรลเวย์ นับเบอร์ 10 ลักษณะเป็นอย่างไร ถ้าเข้ามาโดยมีช่องโหว่ของกฎหมาย ที่ไปทำแล้วหาตัวผู้รับผิดชอบไม่ได้ ก็อาจจะเป็นประเด็นที่เราต้องศึกษาและให้ข้อเสนอแนะ มาตรการกับทางรัฐบาลในการกำหนดเงื่อนไขในการจัดซื้อจัดจ้างเพิ่มขึ้น
@ ปชน.ยืนยันหลักการ บริษัทไทยควรเป็นแม่งานหลักในกิจการร่วมค้า
ส่วนนายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ฐานะโฆษกกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ ได้กล่าวประเด็นนี้เช่นกัน ว่ากรณีสัญญาก่อสร้างตึก สตง.ตัวบริษัทไชน่าเรลเวย์เข้ามาในฐานะของกิจการร่วมค้า ซึ่งมีตัวหลักเป็นบริษัทไทยอยู่ ซึ่งตามหลักการ กิจการร่วมค้า ตัวหลักจะต้องดำเนินการก่อสร้างเอง แต่กรณีนี้ไชน่าเรลเวย์ไม่ใช่ตัวหลักแต่ไปสร้างเอง มันทำให้มีปัญหาขึ้นมาได้ ก็ยังไม่มีกฎหมายที่จะจัดการอะไรได้
ส.ส.ปชน.กล่าวต่อไปว่าอย่างไรก็ตามเรื่องนี้อาจจะเป็นการทำผิดสัญญารัฐหรือไม่ ก็เป็นหน้าที่หน่วยงานรัฐอย่างกรมสอบสวนคดีพิเศษจะต้องไปตรวจสอบ เพราะอาจถือว่าเป็นการกระทำที่หลอกลวงรัฐ
“คือผมมองว่าเป็นเรื่องของสัญญามันมีบริษัทที่จะทำงานเป็นตัวหลักอยู่แล้ว แต่ว่าเขาไม่ทำตามสัญญา ซึ่งกรณีนี้อาจจะผิดสัญญาทางแพ่ง และสามารถดำเนินคดีได้” นายธีรัจชัยกล่าวและย้ำหลักการว่าตัวหลักคือต้องเป็นบริษัทไทย แต่ถ้าหากมีการสมคบกันทั้งสองฝ่าย ตรงนี้ก็สามารถดำเนินคดีได้เลย เพราะเป็นข้อเท็จจริงว่าไม่ใช่บริษัทไทยเป็นผู้ที่ดำเนินการเป็นหลักในเรื่องนี้
เมื่อถามถึงความเห็นของนายมานะว่าในการก่อสร้างแต่ละงวดงาน ควรให้ทำบันทึกรายรับรายจ่าย เพื่อดูว่าเงินไปไหน ใครได้ทำงานบ้าง
นายธีรัจชัยกล่าวยอมรับว่ายังไม่ทราบเลยในประเด็นเรื่องของโครงสร้างของกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง โครงสร้างของกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง กับการบริหารสัญญานั้นเป็นอย่างไร ในส่วนของเรามันอย่างมีการรวมเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างและบริหารสัญญาเข้าไว้ด้วยกัน แล้วไปโยนที่กรมบัญชีกลาง ซึ่งไม่มีอำนาจอะไรเท่าไร สามารถทำได้แค่วินิจฉัยเท่านั้น แล้วให้ไปฟ้องกันเอง
สส.ปชน.กล่าวว่าแต่ในต่างประเทศมันมีองค์กรกลางที่มีลักษณะเป็นองค์กรมหาชน มีอำนาจในการบริหารงานจัดซื้อจัดจ้าง และมีความยืดหยุ่น มีความคล่องตัวกว่าเรามาก ทว่าของไทยกลับรวมกันไปหมดทำให้มีปัญหาถึงทุกวันนี้ ซึ่งส่วนตัวก็กำลังศึกษาวิธีแก้ปัญหาในเรื่องเหล่านี้ แต่ขอย้ำในหลักการว่าตัวหลักในกิจการร่วมค้า ซึ่งต้องเป็นบริษัทไทย ควรเป็นคนทำงานในสัญญา ไม่ใช่ตัวรองเข้ามาทำ

@บทสรุป
จากคำให้สัมภาษณ์ของนายมานะและนายธีรัจชัย จะเห็นว่ามีการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหากรณีบริษัทแบบไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 ใช้บริษัทไทยเข้ามาเป็นผู้ออกหน้าในกิจการร่วมค้า หรือปัญหาการนำเอาชื่อบริษัทไทยมาแปะ เพื่อเอื้อให้ตัวเองได้รับงานจากภาครัฐเอาไว้ 4 ประการด้วยกันคือ
1.การปรับปรุงระบบที่กรมบัญชีกลางเพื่อตรวจสอบผู้ที่เข้ามายื่นเสนอราคากับภาครัฐ
2.การตรวจสอบงบการเงินที่ลงไปกับการก่อสร้าง ว่าไปที่ไหนและถูกใช้ไปกับอะไรบ้าง
3.การดำเนินคดีผิดสัญญาทางแพ่งกับบริษัทไทย ที่เข้ามาร่วมเป็นกิจการร่วมค้า แต่ว่าไม่ได้เป็นตัวหลักในกระบวนการก่อสร้างตามสัญญา
และ 4.กาารจัดตั้งองค์กรกลาง ซึ่งมีความคล่องตัวและมีลักษณะในการบริหารงานจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมด แบบที่่การดำเนินการในต่างประเทศ
ส่วนหน่วยงานรัฐไทยจะมีมาตรการอะไรเพื่อแก้ไขปัญหาการจัดจ้างกิจการร่วมค้า หลังจากเหตุตึก สตง.ถล่ม เรื่องนี้ก็คงต้องเฝ้าจับตาดูในอนาคตต่อไป

