ปปง.สั่งยึดอายัดทรัพย์คดี‘ภานุวัชร ใจมั่น’กับพวก จำนวน 22 รายการ รวมมูลค่า 81.3 ล้าน ฐานฉ้อโกงฟอกเงิน ชักชวนลงทุนผ่านโบรกเกอร์ WCF สอนเทรด FOREX โปรแกรม Al ให้ผลตอบแทนสูง เหยื่อ 4,000 ราย เสียหาย 1,000 ล้าน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) มีคำสั่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินที่ ย.244/ 2567 ลงวันที่ 16 ธันวาคม 2567 เรื่อง ยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราวรายนายภานุวัชร ใจมั่น กับพวก กรณีมีพฤติการณ์กระทำผิดฐานฉ้อโกงประชาชนและฟอกเงิน ทรัพย์สินที่ยึดและอายัด จำนวน 22 รายการ รวมมูลค่า 81,322,855.02 บาท
เอกสารคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินระบุ ได้รับรายงานจากกรมสอบสวนคดีพิเศษว่า นายภานุวัชร ใจมั่น กับพวก เปิดคอร์สสอนเทรด FOREX และคอร์สอบรมและสัมมนา ที่จัดขึ้นเพื่อโฆษณาและประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ผู้เข้าอบรมสัมมนาร่วมลงทุนในระยะแรก ผู้สนใจลงทุน ต้องสมัครเป็นสมาชิกของ WCF และมีการลงทุนหลายรูปแบบ หลายอัตรา โดยมีการกล่าวอ้างว่า จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในประเภทธุรกิจอื่น แต่ภายหลังพบว่า ผลตอบแทนจากการลงทุน และเงื่อนไขของ WCF ไม่เป็นไปตามที่ได้โฆษณาเชิญชวนให้ร่วมลงทุนและการเข้าร่วมอบรมสัมมนาของผู้ร่วม ลงทุนแต่อย่างใด และเกิดความเสียหายจากการลงทุนตามสัดส่วนของผู้เสียหายแต่ละราย มีผู้เสียหายประมาณ 4,000 ราย มูลค่าความเสียหายประมาณ 1,000 ล้านบาท เข้าข่ายกระทำความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
ทรัพย์สินที่ยึด จำนวน 3 รายการ ประกอบด้วย ที่ดินตามโฉนดที่ดิน 3 แปลงใน จ.นครพนม ปทุมธานี และ นนทบุรี ในชื่อบุคคล รวมราคาประเมิน 78,700,000 บาท
ทรัพย์สินที่อายัด จำนวน 19 รายการ ประกอบด้วย เงินในบัญชีเงินฝากธนาคารในชื่อบุคคล รวม 2,622,855.02 บาท
คำสั่งมีรายละเอียดดังนี้
@ เปิดคำสั่งยึดอายัดทรัพย์- ที่มา ดีเอสไอส่งเรื่อง
คำสั่งคณะกรรมการธุรกรรม ที่ ย. 244/2567 เรื่อง ยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว
ด้วยสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ได้รับรายงานจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ ตามหนังสือ ลับ ด่วนที่สุด ที่ ยธ 0812/ล021 ลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2566 เรื่อง รายงานข้อมูลการกระทำความผิด และขอให้ดำเนินการ ซึ่งเป็นกรณีมีพฤติการณ์แห่งการกระทำ ความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชนตามกฎหมายอาญาและความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กล่าวคือ
@ ชักชวนให้ลงทุนกับโบรกเกอร์ WCF เหยื่อ 4,000 ราย เสียหาย 1,000 ล้าน
สืบเนื่องจากกองบริหารคดีพิเศษ ส่วนพิจารณาสำนวนร้องทุกข์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหายหลายราย ออกเลขเป็นสำนวนสืบสวนที่ 80/2566 เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2566 กรณีผู้เสียหายถูกหลอกลวงชักชวนให้ลงทุนกับโบรกเกอร์ชื่อ Worldclass Financial Intelligence (WCF) โดยมีพฤติการณ์ดังนี้
โบรกเกอร์ชื่อ Worldclass Financial Intelligence (WCF) โดยมีนายภานุวัชร ใจมั่น เป็นเจ้าของ เปิดกิจการเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 จดทะเบียนในประเทศอังกฤษ มีการเปิดคอร์สสอนเทรด FOREX ใช้โปรแกรม Al Dashboard ประกอบกับกลยุทธ์ต่าง ๆ อาทิ CSM PIVIOS REV รวมถึงการสอบวิชา BFI (ความฉลาดทางการเงินตามแนวทางพุทธวิธี) และคอร์สอบรมและสัมมนา ที่จัดขึ้นเพื่อโฆษณาและประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ผู้เข้าอบรมสัมมนาร่วมลงทุนในระยะแรก ผู้สนใจลงทุน ต้องสมัครเป็นสมาชิกของ WCF และมีการลงทุนหลายรูปแบบ หลายอัตรา โดยมีการกล่าวอ้างว่า จะให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในประเภทธุรกิจอื่น แต่ภายหลังพบว่า ผลตอบแทนจากการลงทุน และเงื่อนไขของ WCF ไม่เป็นไปตามที่ได้โฆษณาเชิญชวนให้ร่วมลงทุนและการเข้าร่วมอบรมสัมมนาของผู้ร่วม ลงทุนแต่อย่างใด และเกิดความเสียหายจากการลงทุนตามสัดส่วนของผู้เสียหายแต่ละราย มีผู้เสียหายประมาณ 4,000 ราย มูลค่าความเสียหายประมาณ 1,000 ล้านบาท จากการตรวจสอบกับธนาคารแห่งประเทศไทย ปรากฏว่า โบรกเกอร์ Worldclass Financial Intelligence "WCF” และนายภานุวัชร ใจมั่น ไม่ได้รับอนุญาต ให้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับเงินตราต่างประเทศ ในลักษณะประกอบธุรกิจ เป็นตัวแทนนายหน้า (BROKER) เก็งกำไรจากตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศหรือได้รับผลประโยชน์ จากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงิน (FOREX) ตามกฎหมายควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแต่อย่างใด
@ เข้าข่ายกู้ยืมฉ้อโกง-มูลฐานฟอกเงิน
คณะพนักงานสืบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ พิจารณามีความเห็นว่า พฤติการณ์ของโบรกเกอร์ชื่อ Worldclass Financial Intelligence (WCF) โดยมีนายภานุวัชร ใจมั่น เป็นเจ้าของ เป็นความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามมาตรา 4 มาตรา 12 และรับเป็นคดีพิเศษที่ 84/2566 การกระทำของผู้ต้องหาเป็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชนตามกฎหมายอาญาหรือ ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน อันเข้าลักษณะเป็นความผิดมูลฐาน ตามมาตรา 3 (3) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และกรณี มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่านายภานุวัชร ใจมั่น กับพวก ได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าว
ในการนี้ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ในการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 10/2567 เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2567 ที่ประชุมมีมติมอบหมาย พนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ประกอบกับคำสั่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ลับ ที่ ม. 523/2567 ลงวันที่ 28 สิงหาคม 2567 เรื่อง มอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด รายนายภานุวัชร ใจมั่น กับพวก พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตรวจสอบรายงานการทำธุรกรรมของบุคคลดังกล่าวแล้ว ปรากฎหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่า นายภานุวัชร ใจมั่น กับพวก มีพฤติการณ์แห่งการกระทำอันเข้าลักษณะเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (3) แห่งพระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 หรือเป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดมูลฐานหรือความผิดฐานฟอกเงิน และจากการตรวจสอบข้อมูลการทำธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด รวมทั้งจากการรวบรวมพยานหลักฐาน ปรากฏว่าบุคคลดังกล่าวได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดจำนวน 22 รายการ พร้อมดอกผล
และเนื่องจากทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดในคดีนี้ประกอบด้วยสังหาริมทรัพย์ประเภทเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร อันเป็นทรัพย์สินที่สามารถ โอน ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นได้โดยง่าย และอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง อันเป็นทรัพย์สินที่ปรากฏหลักฐานในทางทะเบียน ในการเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์หรือผู้มีสิทธิครอบครองโดยผู้มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือผู้มีสิทธิครอบครอง อาจดำเนินการทางนิติกรรมโอนเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ หรือผู้มีสิทธิครอบครอง ในทางทะเบียนได้ หากมิได้มีการออกคำสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์สินดังกล่าวไว้ชั่วคราว เมื่อเจ้าของหรือผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้มีสิทธิในทรัพย์สินดำเนินการโอน จำหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้น ทรัพย์สินดังกล่าวไปเสีย และหากต่อมาศาลได้มีคำสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน สำนักงาน ปปง. อาจไม่สามารถติดตามทรัพย์สินดังกล่าวกลับคืนมาได้ จึงเป็นกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่านายภานุวัชร ใจมั่น กับพวก ได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด และอาจมีการโอน จำหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้น ทรัพย์สินดังกล่าว
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 34 (3) และมาตรา 48 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มติคณะกรรมการธุรกรรมในการประชุม ครั้งที่ 15/2567 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2567 และระเบียบคณะกรรมการธุรกรรม ว่าด้วยการรับเรื่อง การตรวจสอบ การพิจารณาดำเนินการ และการควบคุมตรวจสอบการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2556 ข้อ 25 คณะกรรมการธุรกรรมจึงมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว จำนวน 22 รายการ พร้อมดอกผล มีกำหนด ไม่เกิน 90 วัน (เก้าสิบวัน) นับตั้งแต่วันที่คณะกรรมการธุรกรรมมีมติ กล่าวคือ นับตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2568 โดยมีรายการทรัพย์สินที่ยึดและอายัดปรากฏตามบัญชีทรัพย์สินแนบท้าย คำสั่งนี้
ทั้งนี้ ให้รวมถึงเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการจำหน่าย จ่าย โอนด้วยประการใด ๆ ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวหรือสิทธิเรียกร้องหรือผลประโยชน์หรือดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินดังกล่าวด้วย