ป.ป.ช.เผยแพร่ความคืบหน้าผลคดีกล่าวหา 'ชัยยา ศรีด้วง' อดีตผอ.ร.ร.เทศบาลฯประชายินดี เมืองบ้านโป่ง ราชบุรี ปกปิดประกาศประมูลร้านค้าสวัสดิการเบียดบังรายได้ค่าเช่าไปเป็นของตนเอง-ผู้อื่น ล่าสุด ศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบภาค 7 พิพากษาลงโทษจำคุก 1 ปี รับสารภาพ เหลือ 6 เดือน รู้สำนึกผิดชดใช้เงินคืนไม่เคยติดคุกมาก่อน รอลงอาญา 2 ปี
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่ความคืบหน้าผลคดีกล่าวหา นายชัยยา ศรีด้วง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนเทศบาล 3 ประชายินดี เทศบาลเมืองบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ปกปิดประกาศการประมูลร้านค้าสวัสดิการของโรงเรียนและเบียดบังรายได้ค่าเช่าร้านค้าสวัสดิการไปเป็นของตนเอง และผู้อื่น ซึ่งถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงมติชี้มูลความผิดทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172) ตั้งแต่เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2565
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 7 มีคำพิพากษาว่า นายชัยยา ศรีด้วง จำเลย มีความผิดตามกฏหมาย
ลงโทษจำคุก 1 ปี และปรับ 30,000 บาท
จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 78
คงจำคุก 6 เดือน และปรับ 15,000 บาท
พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีและรายงานการสืบเสาะและพินิจแล้ว เห็นว่า จำเลยรู้สำนึกในการกระทำความผิดและนำเงิน 87,440 บาท ชำระคืนแก่สำนักงานเทศบาลเมืองบ้านโป่ง ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับผลประโยชน์หรือนำเงินไปใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ส่วนตัว
เมื่อจำเลยไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อน การให้โอกาสจำเลยได้ประกอบสัมมาชีพต่อไปเป็นประโยชน์แก่จำเลยและสังคมกรณี จึงมีเหตุสมควรรอการลงโทษ จำคุกไว้มีกำหนด 2 ปี ตามมาตรา 56 หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามมาตรา 29, 30
เบื้องต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีการประชุมเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2568 มีมติเห็นชอบกับอัยการสูงสุด (อสส.) ที่จะไม่อุทธรณ์คำพิพากษา
สำหรับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

