
"...กรณีของ “อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน” ถือเป็นตัวอย่างสำคัญ แม้จะใช้ระบบ E–Ticket เต็มรูปแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่กลับพบตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปนับแสนคน และรายได้หดกว่า 46 ล้านบาท ซึ่งไม่สอดคล้องกับจำนวนผู้มาเยือนในระบบ ข้อมูลดังกล่าวจึงกลายเป็นจุดตั้งต้นของการตรวจสอบเชิงลึก โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นพ้องว่าอาจมีพฤติการณ์เข้าข่าย “เจ้าหน้าที่รัฐทุจริตในการจัดเก็บรายได้” หรือไม่ และได้ใช้อำนาจตามมาตรา 35 แห่ง พ.ร.บ. ป.ป.ช. เพื่อสืบสวนต่อเนื่อง..."
ปัญหาการจัดเก็บรายได้และการบริหารอุทยานแห่งชาติในกลุ่มอันดามัน ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ความสำคัญและติดตามตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกอยู่ตลอด
ล่าสุด จากการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกการเฝ้าระวังจัดเก็บรายได้ 16 อุทยานฯ ฝั่งอันดามัน พบ 13 แห่งรายได้เพิ่ม หลังเจ้าหน้าที่ร่วมมือและใช้กล้องวงจรปิดช่วยตรวจสอบ ขณะที่อีก 3 อุทยานฯ รายได้ลด และพบพิรุธ “ตั๋วผี” เจ้าหน้าที่รัฐส่อทุจริต
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา สำนักงาน ป.ป.ช. ได้ออกคำสั่งที่ 854/2568 แต่งตั้งคณะทำงานชุดเฉพาะกิจติดตามมาตรการป้องกันการทุจริตในการบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติ ในพื้นที่ภาคใต้ (ฉก.ป.ป.ช.ภาคใต้) ครอบคลุมพื้นที่ภาคใต้ทั้งหมด
การแต่งตั้งดังกล่าวเป็นการขยายผลต่อเนื่องจากก่อนหน้านี้ที่มีการตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเฉพาะในพื้นที่ทะเลฝั่งอันดามัน (ฉก.ป.ป.ช.อันดามัน) ตามคำสั่ง 850/2567 โดยมีที่มาจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2562 ซึ่งเห็นชอบให้มีการบริหารงานของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชให้มีความโปร่งใส ใช้งบประมาณอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ตามข้อเสนอของสำนักงาน ป.ป.ช.
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังพบว่ามาตรการดังกล่าวยังไม่ได้ดำเนินการอย่างครบถ้วน โดยยังมีการจัดเก็บรายได้ในรูปแบบเงินสด ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการรั่วไหลของเงินรายได้และอาจนำไปสู่การทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐ
เพื่อให้การขับเคลื่อนมาตรการป้องกันการทุจริตในการบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพในพื้นที่ภาคใต้ สำนักงาน ป.ป.ช. จึงได้แต่งตั้งคณะทำงานชุดเฉพาะกิจดังกล่าว โดยมี รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 8–9 ทำหน้าที่ที่ปรึกษา, ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดตรัง เป็นประธานคณะทำงาน, ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะทำงาน ส่วน กลุ่มงานป้องกันการทุจริต สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดตรัง ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการ
คณะทำงานชุดนี้มีภารกิจหลักในการตรวจสอบ ติดตาม เฝ้าระวัง และป้องปรามการทุจริต รวมถึงติดตามสถานการณ์การจัดเก็บรายได้และการบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี นอกจากนี้ ยังมีหน้าที่เสนอแนะแนวทางการปฏิบัติราชการที่เหมาะสม เฝ้าระวังความเสี่ยงเชิงระบบ และดำเนินการตรวจสอบเปรียบเทียบข้อมูลจากหลายแหล่ง (Cross-check) เพื่อให้การจัดเก็บรายได้เป็นไปอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง

ขณะที่ นายบัณฑิต คณะสุวรรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดตรัง ในฐานะประธานคณะทำงานชุดเฉพาะกิจ นายยุทธนา วิมลเมือง หัวหน้ากลุ่มงานป้องกันการทุจริต ในฐานะคณะทำงานและเลขานุการชุดเฉพาะกิจ ร่วมกันเปิดเผยและสรุปผลจากที่ คณะทำงานชุดเฉพาะกิจฯ ก่อนหน้านี้ ได้ดำเนินการตรวจสอบ เฝ้าระวัง และติดตามสถานการณ์การจัดเก็บรายได้และการบริหารอุทยานแห่งชาติในกลุ่มอันดามัน ตามการเผยแพร่ข้อมูลของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จำนวน 16 อุทยานแห่งชาติ
พบว่า มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 10 อุทยาน และมีจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 6 อุทยาน ทำให้ภาพรวมนักท่องเที่ยวของอุทยานกลุ่มอันดามัน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 มีจำนวน 4.24 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 7 หมื่นคน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.68 ของปีงบประมาณที่ผ่านมา
ในขณะที่การจัดเก็บรายได้ พบว่า มีอุทยานที่มีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 13 อุทยาน และมีรายได้ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 3 อุทยาน ทำให้รายได้รวมของอุทยานในกลุ่มอันดามัน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 มีรายได้ประมาณ 1,141 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปีประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 45 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 3.79 ของปีงบประมาณที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม คณะทำงานฯ กลับพบข้อสังเกต ที่น่าสนใจ ในการลงพื้นที่ ดังนี้
1.อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จังหวัดตรัง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 มีรายได้ประมาณ 10.7 ล้านบาท แต่ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 มีรายได้ประมาณ 17.7 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจำนวน 7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 65.42 ของปีงบประมาณที่ผ่านมา โดยมีข้อสังเกตที่น่าสนใจ คือ คณะทำงานฯ ได้ดำเนินการติดตั้งกล้องวงจรปิด เพื่อเฝ้าระวัง และสังเกตการณ์ ณ เกาะกระดาน และการให้ความร่วมมือของเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี ทำให้การจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น
2.อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา – หมู่เกาะพีพี ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 มีรายได้ประมาณ 629 ล้านบาท แต่ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 มีรายได้ประมาณ 648 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขี้นจำนวน 19 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.02 ของปีงบประมาณที่ผ่านมา โดยมีข้อสังเกตที่น่าสนใจ คือ คณะทำงานฯ ได้ดำเนินการติดตั้งกล้องวงจรปิด เพื่อเฝ้าระวัง และสังเกตการณ์ ณ อ่าวมาหยา และการให้ความร่วมมือของเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี ทำให้การจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น
3.อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 มีรายได้ประมาณ 149 ล้านบาท แต่ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 มีรายได้ประมาณ 115 ล้านบาท ซึ่งลดลงถึง 34 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 22.82 ของรายได้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยว ณ อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ประมาณ 8.4 หมื่นคน แต่เมื่อจำแนกประเภทนักท่องเที่ยวชาวไทยกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ พบว่า นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ลดลงถึง 9.4 หมื่นคน ในขณะที่นักท่องเที่ยวชาวไทยกลับเพิ่มขึ้นถึง 1 หมื่นคน โดยการลงพื้นที่เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 พบข้อเท็จจริงปรากฏว่า เจ้าหน้าที่มีพฤติกรรมการจดบันทึกจำนวนนักท่องเที่ยวไว้ในสมุด แต่ไม่มีการจัดเก็บรายได้ในทันที โดยให้เหตุผลว่า จะเก็บกับเรือเที่ยวสุดท้ายของผู้ประกอบการแต่ละราย นอกจากนี้ ตั๋วที่นำมาใช้ในดังกล่าว เป็นตั๋วของวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งไม่เป็นปัจจุบัน
4. อุทยานแห่งชาติสิรินาถ จ.ภูเก็ต ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 มีรายได้ประมาณ 7.5 แสนบาท แต่ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 มีรายได้ประมาณ 7.1 แสนบาท ซึ่งลดลงประมาณ 4 แสนบาท ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยว ลดลงประมาณ 2 พันกว่าคน

นายบัณฑิต กล่าวด้วยว่า ในส่วนของอุทยานที่มีรายได้เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นอุทยานที่ให้ความร่วมมือพร้อมจะขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหากับทางคณะทำงานชุดเฉพาะกิจอย่างเต็มที่ ส่วนข้อสังเกตที่การจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นอาจมีผลมาจากการติดตั้งกล้องวงจรปิดและการติดตามเฝ้าระวังจากคณะทำงานชุดนี้
ส่วนที่ผู้สื่อข่าวสอบถามว่า ยอดการจัดเก็บรายได้ที่เพิ่มขึ้น เท่ากับว่า ก่อนหน้านี้หรือที่ผ่านมานั้นมีความไม่โปร่งใส่ในการจัดเก็บ ทำให้เงินรั่วไหลออกไปหรือไม่ นายบัณฑิต ตอบว่า จากที่คณะทำงานลงพื้นที่ตรวจสอบแล้ว เข้าใจว่าอย่างนั้น เพราะเราได้เอากล้องวงจรปิดลงไปช่วยในการตรวจสอบการจัดเก็บรวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยว เพราะเราไม่สามารถลงไปเฝ้าติดตามได้ตลอด จึงได้ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ตัวเลขจึงเพิ่มขึ้นจริง
“ เราจะเฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่อง แต่จะมีความเข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเราจะเปรียบเทียบให้เห็นได้ชัดว่าการเฝ้าระวังมากขึ้น เข้มข้นมากขึ้น ทำงานอย่างถึงลูกถึงคนมากขึ้น ผลเป็นอย่างไร เงินที่เล็ดลอดออกไป หรือไม่โปร่งใส วิธีการทำงานของเราก็จะไปอุดตรงนั้น การลงพื้นที่ไปเพื่อดูช่องว่างในการปฎิบัติหน้าที่ เพื่อให้เงินไม่รั่วไหลออกไปจากรัฐ โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปฎิบัติหน้าที่ในการจัดเก็บและมีส่วนร่วม ต้องเคร่งครัด ตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ สุจริต ต้อมมี”


ด้าน นายยุทธนา วิมลเมือง หัวหน้ากลุ่มงานป้องกันการทุจริต กล่าวถึงประเด็นที่น่าสนใจของ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน เป็นแห่งเดียวในฝั่งอันดามัน ที่มีการจัดเก็บรายได้แบบ E-Ticket เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ พบข้อสังเกต ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 มีรายได้ประมาณ 243 ล้านบาท แต่ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 มีรายได้ประมาณ 197 ล้านบาท ซึ่งลดลงถึง 46 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 18.93 ของปีงบประมาณที่ผ่านมา แต่ตัวเลขสำคัญจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ประมาณ 5.5 หมื่นคน เมื่อจำแนกประเภทนักท่องเที่ยวชาวไทยกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ พบว่า นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่ต้องจ่ายค่าตั๋วอุทยาน 500 บาท ลดลงถึง 1.05 แสนคน ในขณะที่นักท่องเที่ยวชาวไทย ที่ต้องจ่ายค่าตั๋วอุทยาน 100 บาท กลับเพิ่มขึ้นถึง 5 หมื่นคน
นายยุทธนา กล่าวอีกว่า ยังมีข้อสังเกตที่น่าสนใจ ตามที่เคยปรากฏเป็นข่าว ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงเดือน มี.ค.68 ที่ชุด ฉก.ป.ป.ช.อันดามัน ได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน มีการปล่อยปละละเลยของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในการที่ไม่ตรวจสอบ E-Ticket ของบริษัทต่างๆ ที่เข้าไปภายในอุทยาน ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยว มากกว่าจำนวนตั๋วที่จัดจำหน่าย หรือมีการจำหน่ายตั๋วนักท่องเที่ยวในราคาคนไทย แต่เมื่อตรวจนับปรากฏเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งในส่วนของทางคดีเรื่องนี้ซึ่งมีนัยยะสำคัญ ที่จะต้องตรวจสอบเชิงลึก โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติยกเหตุอันควรสงสัยกรณีเจ้าหน้าที่รัฐทุจริตในการจัดเก็บรายได้อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ตามมาตรา 35 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ซึ่งในวันนี้ทางอุทยาน ก็ยังไม่ดำเนินการจัดหามาตรการป้องกัน โดยที่ให้เจ้าหน้าที่รัฐได้ตรวจนับได้อย่างถูกต้องและโปร่งใส อย่าให้มีเงินรั่วไหลหรือมีการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐเกิดขึ้น
ปัจจุบันนี้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ยังไม่ได้ดำเนินการให้เป็นตามมาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติ ตามมติคณะรัฐมนตรี มีเพียงอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา - หมู่เกาะพีพี อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา และอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน เท่านั้น ที่เป็นอุทยานนำร่องในการใช้ระบบ E – Ticket ในพื้นที่กลุ่มอันดามัน แต่มีเพียงแค่ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน เท่านั้น ที่ใช้ระบบ E – Ticket 100 เปอร์เซ็นต์ นายบัณฑิต กล่าวทิ้งท้าย

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลการตรวจสอบของ “ฉก.ป.ป.ช.อันดามัน” ไม่เพียงชี้ให้เห็นภาพความร่วมมือของเจ้าหน้าที่อุทยานที่ช่วยให้รายได้เพิ่มขึ้นอย่างโปร่งใส แต่ยังสะท้อน “ความเปราะบาง” ในระบบจัดเก็บรายได้ของรัฐที่ยังเปิดช่องให้เกิดการรั่วไหล โดยเฉพาะในบางพื้นที่ที่มีข้อสังเกตถึงความผิดปกติของข้อมูลนักท่องเที่ยวและตั๋วเข้าอุทยาน
กรณีของ “อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน” ถือเป็นตัวอย่างสำคัญ แม้จะใช้ระบบ E–Ticket เต็มรูปแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่กลับพบตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปนับแสนคน และรายได้หดกว่า 46 ล้านบาท ซึ่งไม่สอดคล้องกับจำนวนผู้มาเยือนในระบบ ข้อมูลดังกล่าวจึงกลายเป็นจุดตั้งต้นของการตรวจสอบเชิงลึก โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นพ้องว่าอาจมีพฤติการณ์เข้าข่าย “เจ้าหน้าที่รัฐทุจริตในการจัดเก็บรายได้” หรือไม่ และได้ใช้อำนาจตามมาตรา 35 แห่ง พ.ร.บ. ป.ป.ช. เพื่อสืบสวนต่อเนื่อง
ข้อเท็จจริงเหล่านี้จึงตอกย้ำว่า ปัญหาการรั่วไหลของรายได้ในอุทยานไม่ได้อยู่ที่ระบบเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ “กลไกของคน” ในกระบวนการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งหากขาดความซื่อสัตย์และการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ย่อมเปิดทางให้การทุจริตเกิดขึ้นได้แม้ในระบบที่ทันสมัยที่สุด
การขยายพื้นที่ปฏิบัติการตั้ง “ฉก.ป.ป.ช.ภาคใต้” จึงเป็นทั้งมาตรการเชิงรุกและบททดสอบสำคัญของสำนักงาน ป.ป.ช. ว่าจะสามารถผลักดันให้ระบบบริหารจัดเก็บรายได้ของอุทยานทั่วภาคใต้โปร่งใส ตรวจสอบได้ และปลอดจากเงามืดของผลประโยชน์ทับซ้อนที่กัดกินทรัพยากรของชาติได้มากน้อยเพียงใด
