
"...แต่ในส่วนของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 เป็น เครือญาติของจำเลยไม่เกิดความเสียหายในวงกว้างอีกทั้งผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 ไม่ติดใจ เอาความจำเลยอีกต่อไป หลังเกิดเหตุจำเลยได้ชดใช้เงินให้แก่ผู้เสียหายทั้งสามครบถ้วนจนเป็นที่พอใจแล้ว อันเป็นการบรรเทาผลร้ายน่าจะทำให้จำเลยรู้สึกเข็ดหลาบไปบ้างแล้ว ประกอบกับจำเลยถูกไล่ออกไปแล้วจึงไม่มีโอกาสที่จะกลับมากระทำความผิดลักษณะเช่นนี้อีก นอกจากคดีนี้แล้วไม่ปรากฏว่าจำเลยถูกจับกุมดำเนินคดีอาญาใดมาก่อน..."
กรณี นางสาวกอบกุล แสวงผล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งพนักงานการเงินระดับ 7 ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สาขาเมืองเลิง อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร การกระทำการทุจริตเบิกถอนเงินออกจากบัญชีเงินฝากของลูกค้าไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงมติชี้มูลความผิดทางอาญา ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 8 , 11 ประกอบป.อ.มาตรา 91 ตาม ป.อ. มาตรา 264 , 265 , 268 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานไปแล้วว่า เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2568 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 มีคำพิพากษาว่า นางสาวกอบกุล แสวงผล จำเลยมีความผิดตามกฎหมาย ให้ลงโทษ ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 8 จำเลย รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง รวม 87 กระทง เป็นจำคุก 174 ปี 522 เดือน และปรับ 435,000 บาท แต่ลงโทษตามกฏหมายได้จริง 50 ปี
พิเคราะห์รายงานการสอบสวน เห็นควรให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอไว้ 5 ปี คุมความประพฤติ ทำงานบริหารสังคม

ข้อมูลสำคัญที่ยังไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนเป็นทางการ คือ ทำไม นางสาวกอบกุล แสวงผล ถูกพิพากษาลงโทษจำคุกถึง 174 ปี 522 เดือน (แต่ลงโทษตามกฏหมายได้จริง 50 ปี) ถึงได้รับการรอลงอาญาโทษจำคุกดังกล่าว
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา สืบค้นข้อมูลคำพิพากษาคดีนี้ พบว่า เป็นเพราะ
1. จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา
2. ผู้เสียหายบางรายเป็นญาติของตนเอง ไม่เกิดความเสียหายในวงกว้างอีกทั้งไม่ติดใจ เอาความจำเลยอีกต่อไป
3. หลังเกิดเหตุจำเลยได้ชดใช้เงินให้แก่ผู้เสียหายทั้งสามครบถ้วนจนเป็นที่พอใจแล้ว
4. จำเลยถูกไล่ออกไปแล้วจึงไม่มีโอกาสที่จะกลับมากระทำความผิดลักษณะเช่นนี้อีก
5. นอกจากคดีนี้แล้วไม่ปรากฏว่าจำเลยถูกจับกุมดำเนินคดีอาญาใดมาก่อนจำเลยมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งปัจจุบันประกอบอาชีพสุจริตความประพฤติโดยทั่วไป ไม่ปรากฎข้อเสียหายร้ายแรงยังอยู่ในวิสัยฟื้นฟูตนเองได้
ปรากฏรายละเอียดทั้งหมด ดังต่อไปนี้
คำวินิจฉัยศาลฯ คีดนี้ ระบุไว้ว่า นางสาวกอบกุล แสวงผล จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 8 , 11 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตาม ป.อ. มาตรา 91 ความผิดฐานเป็นพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในหน้าที่โดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่องค์การ บริษัท จำกัด ห้างหุ้นส่วน นิติบุคคล หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นเป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ลักทรัพย์ซึ่งเป็นของนายจ้างปลอมเอกสารปลอมเอกสารสิทธิใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากกระทำความผิดตามมาตรา 264, 265 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 8 ซึ่งเป็นโทษหนักที่สุด ตาม ป.อ. มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 5 ปี และปรับ กระทงละ 10,000 บาท
จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ตาม ป.อ. มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 2 ปี 6 เดือน และปรับกระทงละ 5,000 บาท กฎหมายบทที่มีรวม 87 กระทง เป็นจำคุก 174 ปี 522 เตือน และปรับ 435,000 บาท แต่ความผิดดังกล่าวมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสิบปีขึ้น
เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วจึงให้ลงโทษจำคุก 50 ปี และ ปรับ 435,000 บาท ตาม ป.อ. มาตรา 91 (3)
พิเคราะห์รายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยแล้ว แม้จำเลยจะอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่ความรับผิดชอบก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายทั้งสาม
แต่ในส่วนของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 เป็น เครือญาติของจำเลยไม่เกิดความเสียหายในวงกว้างอีกทั้งผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 ไม่ติดใจ เอาความจำเลยอีกต่อไป
หลังเกิดเหตุจำเลยได้ชดใช้เงินให้แก่ผู้เสียหายทั้งสามครบถ้วนจนเป็นที่พอใจแล้ว อันเป็นการบรรเทาผลร้ายน่าจะทำให้จำเลยรู้สึกเข็ดหลาบไปบ้างแล้ว ประกอบกับจำเลยถูกไล่ออกไปแล้วจึงไม่มีโอกาสที่จะกลับมากระทำความผิดลักษณะเช่นนี้อีก
นอกจากคดีนี้แล้วไม่ปรากฏว่าจำเลยถูกจับกุมดำเนินคดีอาญาใดมาก่อนจำเลยมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งปัจจุบันประกอบอาชีพสุจริตความประพฤติโดยทั่วไป ไม่ปรากฎข้อเสียหายร้ายแรงยังอยู่ในวิสัยฟื้นฟูตนเองได้
จึงเห็นควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดีโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 5 ปี ให้คุมความประพฤติจำเลย โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 12 ครั้ง ภายในเวลา 5 ปี และทำงานบริการสังคม หรือสาธารณประโยชน์หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านการทุจริตกับหน่วยงานของรัฐเป็นเวลา 48 ชั่วโมง ภายในระยะเวลา 2 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 56
หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามป.อ. มาตรา 29, 30 กรณีกักขังแทนค่าปรับให้กักขังได้เกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี
******************
อย่างไรก็ดี เกี่ยวกับคดีนี้ สำนักข่าวอิศรา รายงานไปแล้วว่า เบื้องต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีการประชุมเมื่อวันที่ 16 กรกฏาคม 2568 มีมติไม่อาจเห็นพ้องด้วยในการที่ อัยการสูงสุด (อสส.) จะไม่อุทธรณ์คำพิพากษา เห็นควรอุทธรณ์คำพิพากษาในประเด็นรอการลงโทษจำคุกจำเลย
แต่ยังไม่มีรายงานข่าวยืนยันว่า อสส.เห็นพ้องกับ ป.ป.ช.ในการยื่นต่อสู้คดีนี้ในชั้นอุทธรณ์หรือไม่
บทสรุปสุดท้ายผลการต่อสู้คดีในชั้นสูง จะออกเป็นอย่างไร คอยติดตามดูกันต่อไป
