"...จากการสืบสวนข้อเท็จจริงพบว่านอกจากนายวัทธิกร แล้วยังพบว่ามีพาณิชย์จังหวัดอื่นที่มีพฤติการณ์ในลักษณะเดียวกันและเชื่อมโยงกันกับนายวัทธิกรฯ ได้แก่ พาณิชย์จังหวัดอำนาจเจริญ พาณิชย์จังหวัดศรีษะเกษ พาณิชย์จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงกับบุคคลดังกล่าวด้วยโดยเป็นคณะกรรมการสอบสวน ชุดเดียวกันกับที่สอบสวนนายวัทธิกรด้วย..."
นายกิตติทัศน์ วิศาลนพศักดิ์ หรือ นายวัทธิกร หรือมังกร ใสงาม อดีตพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี และพาณิชย์จังหวัดสุรินทร์ ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดคดีร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ คิดเป็นมูลค่ากว่า 81 ล้านบาท
ขณะที่ก่อนหน้านี้ในช่วงปี 2565 นายกิตติทัศน์ วิศาลนพศักดิ์ หรือ นายวัทธิกร หรือมังกร ใสงาม พร้อมพวก ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดทางอาญากรณีทุจริตจัดซื้อจัดจ้างของสำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี ประจำปีงบประมาณ 2554-2557 และเอื้อประโยชน์แก่ผู้รับจ้างจำนวน 26 โครงการ ไปแล้ว
ปัจจุบันทั้ง 2 คดี มีการส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีตามขั้นตอนทางกฏหมาย ขณะที่นายกิตติทัศน์ วิศาลนพศักดิ์ หรือ นายวัทธิกร หรือมังกร ใสงาม ถูกลงโทษ ไล่ออกจากราชการไปแล้ว
- ป.ป.ช.ชี้มูลอดีตพณ.อุบลฯ-สุรินทร์ คดีร่ำรวยผิดปกติ 81 ล.-โดนไล่ออกราชการแล้ว
- เปิดหมด! ทรัพย์สิน 81 ล. อดีตพณ.อุบลฯ โดนชี้มูลคดีร่ำรวยผิดปกติ ขอศาลยึดเป็นของแผ่นดิน
- จากอุบลฯ ถึงสุรินทร์! เปิดพฤติการณ์ทุจริต 'อดีตพณ.จว.' ก่อนโดนชี้มูลคดีร่ำรวย 81 ล.
คือ ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับคดีทุจริตของ นายกิตติทัศน์ วิศาลนพศักดิ์ หรือ นายวัทธิกร หรือมังกร ใสงาม อดีตพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี และพาณิชย์จังหวัดสุรินทร์ ที่สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำมาเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบไปแล้วก่อนหน้านี้
แต่สาธารณชนอาจจะยังไม่ทราบว่า จุดเริ่มต้นการสอบสวนคดีทุจริตของ นายกิตติทัศน์ วิศาลนพศักดิ์ หรือ นายวัทธิกร หรือมังกร ใสงาม อดีตพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี และพาณิชย์จังหวัดสุรินทร์ ดังกล่าว เป็นผลมาจากการนำเสนอข่าวเชิงสืบสวนของสำนักข่าวอิศรา ในช่วงปี 2558
แหล่งข่าวระดับสูงจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยสำนักข่าวอิศรา ว่า ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีนี้ เริ่มต้นจากในช่วงเดือน พ.ย.2558 ปลัดกระทรวงพาณิชย์ขณะนั้น มีหนังสือ ลับ ที่ พณ 0223/473 ลงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2558 ส่งเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ กรณีกล่าวหานายวัทธิกร หรือมังกร ใสงาม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี ว่ามีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง โดยการใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องตามระเบียบ ในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง พาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี ต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติรับเรื่องเข้าสู่กระบวนการไต่สวน
จากนั้นในช่วงเดือน ธ.ค. 2558 ปลัดกระทรวงพาณิชย์ มีหนังสือส่งเรื่องการทุจริตของเจ้าหน้าที่ของรัฐเพิ่มเติม กรณีตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมแล้ว พบว่านายวัทธิกร หรือมังกร ใสงาม มีพฤติกรรมในการจัดซื้อจัดจ้างที่มิชอบต่อเนื่องจากที่เคยกระทำในสำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานีเชื่อมโยงมาถึงสำนักงานพาณิชย์จังหวัดสุรินทร์ด้วย
ในรายงานการสอบสวนกระทรวงพาณิชย์ ระบุชัดเจนว่า การสอบสวนคดีนี้มีความเป็นมาจากมีผู้ร้องเรียน พร้อมส่งข่าวของสำนักข่าวอิศรา กรณีพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานีและเครือข่ายมีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริต โดยใช้วิธีการจัดซื้อจัดจ้างที่ไม่ถูกต้องตามระเบียบ และใช้ห้างหุ้นส่วนซึ่งตนเองเป็นเจ้าของในทางพฤตินัยมาเป็นผู้รับจ้าง เป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่ในการแสวงหาประโยชน์ในทางมิชอบมาตรวจสอบ กระทรวงพาณิชย์ จึงแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว ซึ่งผลการสืบสวนพบว่านายวัทธิกร พาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี มีพฤติกรรมแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งภายหลังการสืบสวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติมแล้วพบว่านายวัทธิกร ได้กระทำความผิดเชื่อมโยงมาถึงขณะดำรงตำแหน่งพาณิชย์จังหวัดสุรินทร์ด้วย
- เอกชนหน้าเดิมเวียนรับอีเวนท์ สนง.พาณิชย์อุบลฯ 106 ล้าน
- พบเอกชน 4 รายเวียนจัดอีเวนท์ จ.อุบลฯอื้อ 17 สัญญา 100 ล้าน
- บ.ป้ายแดง คว้างานแสดงสินค้า อุบลฯ 41 ล. คนสกุล “จ่าประสิทธิ์” ส.ส.ชูรองเท้า หุ้นส่วนใหญ่
ผลการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรง สรุปได้ดังนี้
1. นายวัทธิกร ใสงาม ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริตเกี่ยวกับ การจัดซื้อจัดจ้างตามแผนงาน/โครงการ ในช่วงปี 2554 - 2558 กล่าวคือ
(1) นายวัทธิกร ใสงาม จะเป็นผู้กำหนดผู้มีอาชีพรับจ้างให้กับเจ้าหน้าที่พัสดุว่าในการดำเนินการแต่ละครั้ง ให้เชิญผู้รับจ้างเฉพาะที่ผู้ถูกกล่าวหากำหนด ได้แก่ หจก. เกรท อีเว้นท์ หจก. พี.แพลน-เนอร์ ดีเวลล็อปเม้นท์ หจก. โมเดิร์น ครีเอเตอร์ และหจก. พัฒนกรวรรณ
(2) นายวัทธิกร ใสงาม ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทำงานแทนให้กับ นิติบุคคลที่นายวัทธิกรฯ มีส่วนได้เสียหรือเกี่ยวข้อง โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และวัสดุสำนักงานพาณิชย์จังหวัดจัดทำเอกสารเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างให้กับนิติบุคคลผู้รับจ้างเสมือนกับเป็นที่ทำการของนิติบุคคลดังกล่าวซึ่งคณะกรรมการสอบสวนได้ส่งฮาร์ดดิสก์คอมพิวเตอร์ของสำนักงานพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานีไปตรวจสอบที่กองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปรากฏข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างที่เป็นของผู้รับจ้างจำนวนมาก
(3) นายวัทธิกร มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กับนิติบุคคลที่ได้รับเข้าทำสัญญาทั้ง 4 ราย และนิติบุคคลทั้ง 4 ราย อยู่ภายใต้การกำกับหรือบริหารของนางนัยนา ประดับธนกิจ และนางวรรณกรหรือสุภาเพ็ญ วรรณแก้ว ซึ่งเป็นภรรยาของนายวัทธิกร ใสงาม กล่าวคือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด พีแพลนเนอร์ ดีเวลล็อปเม้นท์ และห้างหุ้นส่วนจำกัด เกรท อีเว้นท์ มีหุ้นส่วนผู้จัดการที่เป็นลูกน้องหรือลูกจ้างของนางนัยนา ส่วนห้างหุ้นส่วนจำกัด โมเดิร์น ครีเอเตอร์ และห้างหุ้นส่วนจำกัด พัฒนกรวรรณ มีหุ้นส่วนผู้จัดการที่เป็นลูกน้องหรือลูกจ้างของนางสุภาเพ็ญ
ทั้งนี้ ในส่วนของนางนัยนา ทางเจ้าหน้าที่ในสำนักงานพาณิชย์จังหวัดให้ถ้อยคำว่าเป็นภรรยาของนายวัทธิกร ประกอบกับมีภาพถ่ายงานราตรีสโมสรถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประจำปีของจังหวัดอุบลราชธานีที่นายวัทธิกร นำนางนัยนา ไปออกงานในฐานะภรรยา ส่วนนางสุภาเพ็ญฯ จากการตรวจสอบข้อมูลทะเบียนราษฎร พบว่ามีบุตรกับนายวัทธิกร 1 คน
(4) นายวัทธิกร ได้เสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งตัวเองเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุ ซึ่งซ้ำซ้อนกับคำสั่งจังหวัดที่ได้แต่งตั้งให้ผู้ช่วยพาณิชย์จังหวัดเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุอยู่แล้ว รวมทั้งแต่งตั้งตัวเองเป็นประธานคณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ ซึ่งไม่ชอบตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
(5) ขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษไม่ชอบตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เนื่องจากการพิจารณาของกรรมการ จัดจ้างในการพิจารณาคัดเลือกผู้รับจ้างมาจากการกำหนดของนายวัทธิกร ใสงาม ทั้งสิ้น การประชุมเป็นเพียงการดำเนินการให้เห็นว่ามีการปฏิบัติที่ถูกต้องตามระเบียบเท่านั้น
(6) นายวัทธิกร ได้มีการเปิดซองเสนอราคาของนิติบุคคลอื่นนอกเหนือจากนิติบุคคล ที่นายวัทธิกรฯ มีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อให้ทราบราคาที่คู่แข่งเสนอ และทำการเปลี่ยนราคาในซองเสนอราคาของ นิติบุคคลที่นายวัทธิกรฯ มีส่วนเกี่ยวข้องให้มีราคาต่ำกว่านิติบุคคลอื่น ไม่ชอบตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
(7) การทำสัญญาและลงนามในสัญญาผู้ลงนามไม่ใช่ผู้มีอำนาจที่แท้จริงของนิติบุคคล เนื่องจากผู้มีอำนาจของนิติบุคคลที่เป็นคู่สัญญาไม่ได้ลงนามในสัญญาที่เกิดขึ้น โดยคณะกรรมการสอบสวน ได้ส่งลายมือชื่อผู้ลงนามของนิติบุคคลที่ลงนามในสัญญาจ้างและตราประทับของนิติบุคคลไปตรวจพิสูจน์ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ปรากฏว่าลายมือชื่อผู้มีอำนาจลงนามผูกพันของนิติบุคคลที่ลงนามในสัญญาไม่ใช่ลายมือชื่อผู้มีอำนาจที่แท้จริง และตราประทับของนิติบุคคลที่นายวัทธิกรฯ ให้เจ้าหน้าที่พัสดุ เก็บไว้เป็นตราประทับอันเดียวกับที่ประทับในสัญญา
(8) นายวัทธิกร ได้อาศัยอำนาจหน้าที่ขณะดำรงตำแหน่งพาณิชย์จังหวัดดำเนินการจัดซื้อ/จัดจ้างโดยมิชอบเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น จากการตรวจสอบความเชื่อมโยงธุรกรรมการเงินพบว่าเมื่อส่วนราชการได้โอนเงินเข้าบัญชีของนิติบุคคลที่เป็นผู้รับจ้างแล้วได้มีการถอนเงินสดหรือโอนเข้าบัญชีของภรรยาและเครือข่ายของนายวัทธิกรฯ
2. นายวัทธิกร มีพฤติกรรมที่เชื่อได้ว่ามีการกระทำที่มุ่งทำลายเอกสารและหลักฐานเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง
กล่าวคือ นายวัทธิกรฯ ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ในสำนักงานพาณิชย์จังหวัดสุรินทร์ เปลี่ยนฮาร์ดดิสก์ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่พัสดุและเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ AEC ใหม่และให้นำฮาร์ดดิสก์ตัวเก่าไปทำลายเพื่อทำลายหลักฐานเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างที่บันทึกไว้ในฮาร์ดดิสก์
นอกจากนี้ นายวัทธิกรยังได้สั่งให้เจ้าหน้าที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดสุรินทร์แก้ไขเอกสารการจัดซื้อจัดจ้างที่ได้ผ่านการตรวจรับและจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่ผู้รับจ้างเสร็จสิ้นแล้ว
โดยคณะกรรมการสอบสวนมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า นายวัทธิกร ใสงาม ได้อาศัยอำนาจหน้าที่ขณะดำรงตำแหน่งพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานีและพาณิชย์จังหวัดสุรินทร์ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างตามแผนงาน/โครงการ โดยมิชอบเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น อันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ตามมาตรา 85 (1) และผู้ถูกกล่าวหาได้ทำลายและปลอมแปลงเอกสารราชการเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างอันเข้าข่ายกระทำการอันได้ชื่อว่าประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 85 (4) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 เห็นควรลงโทษ ไล่ออกจากราชการ และเสนอปลัดกระทรวงพาณิชย์พิจารณา
คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงพิจารณาแล้ว มีความเห็นว่านายวัทธิกร ได้อาศัยอำนาจหน้าที่ขณะดำรงตำแหน่งพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานีและพาณิชย์จังหวัดสุรินทร์ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างตามแผนงาน/โครงการ โดยมิชอบเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น อันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ตามมาตรา 85 (1) และนายวัทธิกรฯ ได้ทำลายและปลอมแปลงเอกสารราชการเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง อันเข้าข่ายกระทำการอันได้ชื่อว่าประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 85 (4) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 เห็นควรลงโทษไล่ออกจากราชการ และได้นำเสนอ อ.ก.พ.กระทรวงพาณิชย์ พิจารณา โดย อ.ก.พ.กระทรวงพาณิชย์ ได้พิจารณาผลการสอบสวนดังกล่าวแล้วมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าการกระทำของนายวัทธิกร ใสงาม (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นนายกิตติทัศน์ หรือวิศาลนพศักดิ์) เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ตามมาตรา 85 (1) และฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 85 (4) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ให้ลงโทษไล่ผู้ถูกกล่าวหาออกจากราชการ โดยได้มีคำสั่งสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ ที่ 498/2559 ลงวันที่ 28 กันยายน 2559 ลงโทษไล่นายวัทธิกรฯ ออกจากราชการ
นอกจากนี้ จากการสืบสวนข้อเท็จจริงพบว่านอกจากนายวัทธิกร แล้วยังพบว่ามีพาณิชย์จังหวัดอื่นที่มีพฤติการณ์ในลักษณะเดียวกันและเชื่อมโยงกันกับนายวัทธิกร ได้แก่ พาณิชย์จังหวัดอำนาจเจริญ พาณิชย์จังหวัดศรีษะเกษ พาณิชย์จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงกับบุคคลดังกล่าว โดยเป็นคณะกรรมการสอบสวน ชุดเดียวกันกับที่สอบสวนนายวัทธิกรด้วย
*******************
ทั้งหมดนี้ คือ ข้อมูลจุดเริ่มต้นการสอบสวนคดีทุจริตของ นายกิตติทัศน์ วิศาลนพศักดิ์ หรือ นายวัทธิกร หรือมังกร ใสงาม อดีตพาณิชย์จังหวัดอุบลราชธานี และพาณิชย์จังหวัดสุรินทร์ เป็นผลมาจากการนำเสนอข่าวเชิงสืบสวนของสำนักข่าวอิศรา ในการทำหน้าที่ หมาเฝ้าบ้าน เพื่อปกป้องรักษาผลประโยชน์สาธารณะ อีกหนึ่งกรณี
อย่างไรก็ดี การชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ยังไม่สิ้นสุด ผู้ถูกกล่าวหายังมีสิทธิ์ต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาลได้อีก
ผลการต่อสู้คดีในชั้นศาลจะออกมาเป็นอย่างไร คอยติดตามดูกันต่อไป