"... นายสุธี เชื่อมไธสง ถูกระบุว่าเป็นคนสนิทของนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ ‘เสี่ยเปี๋ยง’ ผู้ก่อตั้งบริษัทสยามอินดิก้า หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาในคดีระบายข้าวจีทูจี ส่วนความเกี่ยวข้องของนายสุธี กับคดีระบายข้าวจีทูจี นั้น เป็นเพราะมีการตรวจสอบพบว่า แหล่งเงินที่นำมาใช้ในการซื้อข้าวแบบจีทูจี ไม่ได้มาจากบริษัทจีนที่เป็นผู้ซื้อข้าวตามสัญญา แต่เป็นเงินซึ่งมีที่มาจากบุคคลอื่นภายในประเทศ โดยมีแคชเชียร์เช็คจำนวน 40 ฉบับ จำนวนเงินประมาณ 1,868,029,241 บาท ถูกตรวจสอบพบว่า มาจากเงินในบัญชีของบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด บริษัท สิราลัย จำกัด และนายสุธี เชื่อมไธสง ..."
ปรากฏเป็นข่าวดัง ในช่วงสายวันที่ 18 ก.พ.2568 ที่ผ่านมา
กรณี นายสุธี เชื่อมไธสง จำเลยคนที่ 16 ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ 20/2562 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2562 ผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก 32 ปี ในคดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ในยุครัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกเจ้าหน้าที่สืบสวนคดีทุจริต สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และเจ้าพนักงานตำรวจ กองกำกับการวิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 4 เข้าจับกุมตัวได้แล้ว
หลังเจ้าหน้าที่สืบสวนคดีทุจริต ป.ป.ช. แกะรอยสอบสวนติดตามตัว นายสุธี เชื่อมไธสง มาตั้งแต่ปี 2558 รวมระยะเวลา 10 ปี จนกระทั่งสืบสวนได้ว่านายสุธี หลบหนีมาอยู่กับภรรยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ในพื้นที่หมู่ที่ 7 บ้านหนองกรุงศรี ตำบลหนองไผ่ล้อม อำเภอหนองสองห้อง จังหวัดขอนแก่น จึงนำกำลังเข้าจับกุมตัว พร้อมส่งตัวรับโทษจำคุก 32 ปี ร่วมชดใช้เงิน 16,912,128,273.66 บาท พร้อมดอกเบี้ย ตามขั้นตอนทางกฎหมาย
สำหรับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับนายสุธี เชื่อมไธสง นั้น ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) เคยรายงานไปแล้ว ดังนี้
หนึ่ง.
บทบาทของ นายสุธี เชื่อมไธสง ถูกระบุว่าเป็นคนสนิทของนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ ‘เสี่ยเปี๋ยง’ ผู้ก่อตั้งบริษัทสยามอินดิก้า หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาในคดีระบายข้าวจีทูจี ส่วนความเกี่ยวข้องของนายสุธี กับคดีระบายข้าวจีทูจี นั้น เป็นเพราะมีการตรวจสอบพบว่า แหล่งเงินที่นำมาใช้ในการซื้อข้าวแบบจีทูจี ไม่ได้มาจากบริษัทจีนที่เป็นผู้ซื้อข้าวตามสัญญา แต่เป็นเงินซึ่งมีที่มาจากบุคคลอื่นภายในประเทศ โดยมีแคชเชียร์เช็คจำนวน 40 ฉบับ จำนวนเงินประมาณ 1,868,029,241 บาท ถูกตรวจสอบพบว่า มาจากเงินในบัญชีของบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด บริษัท สิราลัย จำกัด และนายสุธี เชื่อมไธสง
นอกจากนี้ นายสุธี เชื่อมไธสง ยังปรากฎชื่อเป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาของ ป.ป.ช. ในคดีระบายมันเส้น แบบจีทูจี ด้วย
สอง.
คำพิพากษาศาลฎีกาฯฉบับเต็ม ระบุพฤติการณ์ไว้สรุปได้ว่า นายสุธี เป็นพนักงานของบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด (จำเลยที่ 10) เช่นเดียวกับนายนิมล รักดี หรือโจ (จำเลยที่ 15) และได้ความจากผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาซอยโชคชัย 4 ว่า บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด เปิดบัญชีธนาคาร 2 บัญชี มีการทำธุรกรรมจำนวนมาก ทำให้นายพุทธพรรู้จักผู้บริหารและพนักงานของบริษัท สยามอินดิก้า จำกัดหลายคน โดยมี น.ส.สุทธิดา ผลดี หรือจันทะเอ กรรมการบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด (จำเลยที่ 13) ซึ่งมีชื่อเล่นว่าโอ๋ เป็นผู้ดูแลจัดการบัญชีของบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ในการทำธุรกรรมของบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด และจะมีพนักงานของบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด รวมถึงนายสุธี เป็นผู้รับมอบอำนาจมาทำธุรกรรมแทนเป็นประจำ
โดยบัญชีเงินฝากของนายสุธี มีการมอบอำนาจให้นายสมคิด เอื้อนสุภา (จำเลยที่ 7) ซื้อแคชเชียร์เช็คสั่งจ่ายกรมการค้าต่างประเทศ โดยระบุว่า ซื้อด้วยเงินสด นายพุทธพร ตรวจสอบแล้ว ปรากฏว่า เป็นการถอนเงินจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของนายสุธี
ข้อเท็จจริงได้ความจากการไต่สวนอีกว่า สัญญาซื้อขายข้าวแบบจีทูจีทั้ง 4 สัญญา มีการชำระค่าข้าวโดยแคชเชียร์เช็คของธนาคารภายในประเทศหลายธนาคาร รวม 2,473 ฉบับ เฉพาะแคชเชียร์เช็คที่มาจากการเบิกถอนเงินในบัญชีของนายสุธี คือธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ มีจำนวน มาถึง 62 ฉบับ เป็นเงิน 599,473,582 บาท
นอกจากนี้ได้ความจากนางประพิศ มานะธัญญา กรรมการผู้จัดการบริษัท เจียเม้ง จำกัด (จำเลยที่ 28) อีกว่า นางประพิศ ติดต่อซ้อขายจากนายนิมล หรือโจ (จำเลยที่ 15) โดยตกลงเกี่ยวกับประเภทข้าว ราคา และสถานที่รับมอบข้าว ส่วนนายสุธี เป็นบุคคลที่นายนิมล หรือโจ แจ้งนางประพิศให้โอนเงินค่าข้าวที่ได้ตกลงกันไว้เข้าบัญชีของนายสุธีโดยตรง บริษัทของนางประพิศสั่งจ่ายแคชเชียร์เช็คให้แก่นายสุธี เพื่อบริษัทจะได้เบิกข้าวออกจากคลังสินค้าในปีการผลิต 2555/2556 เมื่อแคชเชียร์เช็คเข้าบัญชีของนายสุธีแล้ว วันรุ่งขึ้นทางบริษัทก็จะให้พนักงานไปติดต่อขอรับใบส่งสินค้า/ใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษีที่องค์การคลังสินค้า (อคส.) แล้วนำไปเบิกรับข้าวทันที
เท่าที่สอบถามจากพนักงานได้ความว่า การไปรับมอบใบส่งสินค้า/ใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษี ก็เพียงสอบถามเจ้าหน้าที่คลังสินค้าที่บริษัทต้องการจะเบิกข้าวได้ทำการออกใบส่งสินค้า/ใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษีหรือยัง หากออกแล้ว ก็สามารถรับใบดังกล่าวไปเบิกข้าวได้ทันที และจากหนังสือธนาคารกสิกรไทย ระบุว่า มีการทำธุรกรรมระหว่างต้นทางนายนิมล บัญชีธนาคารกับปลายทางบัญชีธนาคารของนายสุธี หลายครั้ง ครั้งละหลายล้านบาท
สอดรับกับคำเบิกความของนางประพิศว่า หลังจากนางประพิศไปเจรจาซื้อข้าวกับนายนิมลจนได้ข้อยุติแล้ว นายนิมลบอกให้โอนเงินเข้าบัญชีของนายสุธี ในทางไต่สวนไม่ปรากฏหลักฐานว่านายสุธี ได้ติดต่อให้มีการซื้อขายข้าวกรณีอื่นนอกจากข้าวของรัฐที่มีปัญหาพิพาทตามฟ้องแม้แต่รายเดียว แต่กลับปรากฏว่านายสุธี เปิดบัญชีออมทรัพย์หลายธนาคารซึ่งเป็นธนาคารสาขาเดียวกับบัญชีของบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด เปิดไว้ใช้ในกิจการ และรายการธุรกรรมทางการเงินของนายสุธี มีวงเงินหลายพันล้านบาท และมีความเชื่อมโยงกับบัญชีของบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด เป็นส่วนใหญ่
ทั้งนี้ไม่ปรากฏว่านอกจากเป็นพนักงานของบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด แล้ว นายสุธี มีรายได้จากการประกอบการงานใดอีกที่ต้องทำธุรกรรมทางการเงินเป็นจำนวนมากเช่นนั้น และขัดแย้งกับข้อมูลรายได้ของนายสุธี ในการยื่นแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2546-2556 นายสุธียื่นแสดงรายการเสียภาษีเงินได้เฉพาะปี 2554 มีเงินได้พึงประเมินเพียง 865,831 บาท เท่านั้น
จากการข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ข้างต้นมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า นายสุธี เป็นพนักงานของบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด เปิดบัญชีเงินฝากตามธนาคารต่าง ๆ ดังกล่าวเพื่อสำหรับการรับเงินจากการขายข้าวและเบิกถอนเงินเพื่อซื้อแคชเชียร์เช็คสั่งจ่ายให้แก่กรมการค้าต่างประเทศเพื่อให้ผู้ประกอบการที่ซื้อข้าวนำไปเป็นหลักฐานในการรับข้าวจากโกดังต่าง ๆ ที่อยู่ในความดูแลของ อคส. และองค์การตลาดเพื่อการเกษตร (อ.ต.ก.) โดยเฉพาะ จากการทำธุรกรรมต่าง ๆ ดังวินิจฉัยข้างต้นก็เพื่อประโยชน์ของบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด
เมื่อพิเคราะห์ถึงช่วงระยะเวลาที่นายสุธี เปิดบัญชีธนาคารเป็นเวลาหลังมีการทำสัญญาข้าวจีทูจี 4 สัญญาดังกล่าว หลังจากนั้นมีการใช้บัญชีที่เปิด 3 แห่ง ทำธุรกรรมชำระเงินค่าข้าวด้วยแคชเชียร์เช็คจำนวนมากถึง 62 ฉบับ เป็นเงินหลายพันล้านบาท จนเป็นที่รับรู้ในวงการผู้ประกอบธุรกิจค้าข้าวว่า หากต้องการซื้อข้าวของรัฐต้องติดต่อซื้อจากนายสมคิด เอื้อนสุภา โดยไม่ต้องมีการประมูล และมีนายสุธี เป็นผู้ชำระราคาข้าวให้แก่รัฐ
พฤติการณ์ของนายสุธี แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญและร่วมอยู่ในขบวนการตั้งแต่ต้นในการนำบริษัท กว่างตงฯ และบริษัท ห่ายหนานฯ มาทำสัญญาซื้อข้าวจากกรมการค้าต่างประเทศแบบจีทูจี โดยอ้างว่า ได้รับมอบหมายจากประเทศจีน ซึ่งไม่เป็นความจริง แล้วนำข้าวดังกล่าวออกขายให้แก่ผู้ประกอบการค้าข้าวในประเทศเพื่อทำกำไร อันเป็นการสนับสนุนนายภูมิ สาระผล รมช.พาณิชย์ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ กับพวก กระทำความผิดตามฟ้อง
การกระทำของนายสุธี จึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง มาตรา 10 มาตรา 12 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมแยกตามรายสัญญาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวม 4 กระทง กระทงละ 8 ปี รวมจำคุก 32 ปี
สาม.
ในช่วงปี 2559 สำนักข่าวอิศรา เคยติดตามแกะรอยข้อมูล นายสุธี เชื่อมไธสง หลังหลบหนีคดี พบว่า ในช่วงปลายเดือน ก.ย.2558 นายคำสัน เพ็ญคำเส็ง อายุ 44 ปี อยู่บ้านเลขที่ 2 หมู่ 4 ต.งิ้ว อ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมา ซึ่งถูกระบุว่าเป็นที่อยู่ของ นายสุธี เชื่อมไธสง ได้ยื่นคำร้องต่อสำนักทะเบียน อำเภอห้วยแถลง เพื่อขอให้ย้ายนายสุธี ออกจากทะเบียนบ้านของตน โดยให้เหตุผลว่า ไม่รู้จักกับนายสุธี เชื่อมไธสง และไม่ทราบว่าย้ายเข้ามาอยู่เลขที่บ้านของตนได้อย่างไร
โดยเบื้องต้น สำนักทะเบียน อำเภอห้วยแถลง ได้อนุมัติให้นำชื่อของนายสุธี ออกจากบ้านเลขที่ 2 หมู่ 4 ต.งิ้ว อ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมา แล้ว และนำชื่อไปใส่ไว้ ในทะเบียนบ้านกลาง ของสำนักทะเบียน อ.ห้วยแถลง ซึ่งเป็นบ้านเลขที่กลาง ที่ให้คนที่ไม่มีที่อยู่ชัดเจน เพื่อรักษาสิทธิ์ในการติดต่อกับราชการ
สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับ นายสุธี ตามข้อมูลทะเบียนราษฎร ระบุว่า เกิดเมื่อวันที่ 5 ต.ค.2510 สัญชาติไทย ปัจจุบันอายุประมาณ 58 ปี นับถือศาสนา พุทธ (ดูเอกสารประกอบ)
สี่.
นายสุธี เชื่อมไธสง เป็น 1 ใน 3 ผู้ต้องหาคดีระบายข้าวจีทูจีที่หลบหนี และถูกศาลฯ ออกหมายจับ คือ พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์ , นายสุธี เชื่อมไธสง และ น.ส.ธันยพร จันทร์สกุลพร ลูกสาวนายอภิชาติ
ปัจจุบัน นายสุธี เชื่อมไธสง ถูกจับกุมตัวได้แล้ว
ส่วน พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ น.ส.ธันยพร จันทร์สกุลพร รวมถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกศาลฯ พิพากษาลงโทษจำคุก 5 ปี คดีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวที่อยู่ระหว่างหลบหนีคดีในต่างประเทศ หลังถูกออกหมายจับ
ปัจจุบันหลบหนีไปอยู่ที่ไหน? จะถูกจับเมื่อไหร่? จะเดินทางกลับมารับโทษ- ติดคุกจริง(ๆ) หรือไม่? สังคมไทยจะมีโอกาสได้เห็นวันนั้นไหม?
ติดตามดูกันต่อไป แบบห้ามกะพริบตาโดยเด็ดขาด