ศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษาลงโทษหนัก อดีตเจ้าอาวาส วัด ป. ทุจริตเบียดบังเงินบริจาค-ซุกซ่อนทรัพย์สินวัดกว่า 299 ล้าน เจ้าตัวโดนสั่งจำคุกหลายร้อยปี พร้อมพวก 3 ราย แต่ติดจริง 50 ไม่รอลงอาญา
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 20 มี.ค.2567 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้เผยข่าวประชาสัมพันธ์คำพิพากษาศาลฯ ตัดสินลงโทษเจ้าอาวาสวัด ป. (ไม่เปิดเผยชื่อ) พร้อมพวกคนละหลายร้อยปี แต่ติดจริง 50 ปี โดยไม่รอลงอาญา ในคดีทุจริตเบียดบังเงินสดที่มีผู้บริจาคให้แก่วัด ป. ผู้เสียหาย ทั้งการนำเงินสดที่มีผู้บริจาคให้แก่วัด ป. ฝากในบัญชีเงินฝากธนาคารชื่อจำเลยรายอื่น รวม 76 ครั้ง นอกจากนี้ยังนำส่งมอบเงินสดเก็บในที่พักจำเลยรายอื่น ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจตรวจยึดได้เป็นเงิน 51,918,170 บาท มีการขนย้ายทรัพย์สินไปซุกซ่อน รวมเป็นเงินสดและทรัพย์ที่ถูกประทุษร้ายเป็ นจำนวน 1,454 รายการ รวมราคาเป็นเงินประมาณทั้งสิ้น 299,505,992.42 บาท
เนื้อข่าวระบุว่า วันนี้ (20 มีนาคม 2567) เวลา 9.30 น.ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษา ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 125/2566 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ อท 53/2567 ระหว่าง พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 โจทก์ นาย ว. ที่ 1 กับพวกรวม 9 คน จำเลย (ไม่เปิดเผยรายชื่อ)
โจทก์ฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าอาวาสวัด ป. เป็นเจ้าพนักงานและเจ้าพนักงานของรัฐตามกฎหมาย จำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 6 ถึงที่ 9 เป็นพระลูกวัด จำเลยที่ 3 และที่ 5 เป็นฆราวาส
ตามวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้องจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต เบียดบังเงินสดที่มีผู้บริจาคให้แก่วัด ป. ผู้เสียหาย โดยนำเงินเก็บรักษาไว้ที่กุฏิจำเลยที่ 1 แล้วยินยอมให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 นำเข้าฝากในบัญชีเงินฝากธนาคารชื่อบัญชีจำเลยที่ 3 และบุคคลอื่นที่มีเงื่อนไขให้จำเลยที่ 3 เบิกถอนได้แต่เพียงผู้เดียว รวม 76 ครั้งนอกจากนี้ยังนำส่งมอบให้จำเลยที่ 3 เก็บไว้เป็นเงินสดในที่พักอาศัยของจำเลยที่ 3 ซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจตรวจยึดได้เป็นเงิน 51,918,170 บาท และระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม 2566 ถึงวันที่ 7 พฤษภาคม 2566 จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต เบียดบังเอาทรัพย์ของวัด ป. ผู้เสียหายไป โดยจำเลยที่ 1 ตกลงกับจำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 6 และที่ 8 แล้วก่อนจำเลยที่ 1 และที่ 2 เดินทางเข้ากรุงเทพมหานครได้สั่งการให้จำเลยที่ 4 ที่ 6 และที่ 8 ขนย้ายทรัพย์สินออกจากกุฏิของจำเลยที่ 1 และที่ 2ไปซุกซ่อนตามสถานที่ต่าง ๆ ภายในวัด ป. จำเลยที่ 4 ที่ 6 และที่ 8 จึงขนย้ายทรัพย์สินไปซุกซ่อนไว้เพื่อรอฟังคำสั่งจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 แจ้งว่าจะให้นำทรัพย์สินดังกล่าวออกจากวัด ป. เมื่อใด
ต่อมาวันที่ 7 พฤษภาคม 2566 จำเลยที่ 2 โทรศัพท์แจ้งให้จำเลยที่ 9 ไปแจ้งแก่จำเลยที่ 4 ถึงที่ 8 ช่วยกันขนย้ายทรัพย์สินบางส่วนใส่รถตู้ออกไปซุกซ่อนไว้ที่อื่นนอกวัด โดยมีบางส่วนยังคงซุกช่อนอยู่ในวัดและอยู่ในกุฏิของ จำเลยที่ 1 ซึ่งขนย้ายไปยังไม่หมด
การกระทำของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 4 ถึงที่ 9 เป็นการร่วมกันกับจำเลย ที่ 1 เบียดบังเอาทรัพย์นั้นไป และเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดรวมเงินสดและทรัพย์ที่ถูกประทุษร้ายเป็นจำนวน 1,454 รายการ รวมราคาเป็นเงินประมาณทั้งสิ้น 299,505,992.42 บาท
ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86, 91, 147, 157 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172
ศาลพิเคราะห์แล้ว พยานหลักฐานที่โจทก์ชี้ช่องมีน้ำหนักมั่นคงให้ฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุ ตามฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าอาวาสวัด ป. เป็นเจ้าพนักงานตามความในประมวลกฎหมายอาญา และเป็นเจ้าพนักงานของรัฐตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561
จำเลยที่ 2 เป็นประธานสงฆ์ สั่งการให้จำเลยที่ 1 เบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารของวัด ป. และบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบัญชีสำหรับฝากเงินที่วัดได้รับบริจาค นำมาเก็บรวบรวมไว้ โดยมิได้จัดทำบัญชีแจกแจงตามหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติไว้ แล้วนำเงินดังกล่าวไปส่งมอบให้จำเลยที่ 3 นำเข้าฝากในบัญชีเงินฝากธนาคารชื่อจำเลยที่ 3 และบัญชีเงินฝากธนาคารบุคคลอื่นที่มีการขอให้เปิดบัญชีให้ไว้โดยให้จำเลยที่ 3 มีอำนาจเบิกถอนเงินเพียงผู้เดียว โดยไม่ปรากฎว่าวัด ป. มีสิทธิเรียกร้องในเงินในบัญชีเงินฝากดังกล่าว รวม 76 ครั้ง และบางส่วนนำเก็บเป็นเงินสดไว้ในที่พักอาศัยจำเลยที่ 3
แม้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ยกข้อต่อสู้ว่าเป็นเงินส่วนตัวของจำเลยที่ 2 แต่ข้ออ้างดังกล่าวปราศจากพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน ทั้งที่อยู่ในหน้าที่รู้เห็นของจำเลยที่ 1 และที่ 2 แต่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 มิอาจแจกแจงแสดงรายการบัญชีของเงินดังกล่าวได้ หากแม้มีเงินที่จำเลยที่ 2 ได้รับบริจาคส่วนตัว เงินดังกล่าวก็ย่อมปะปนระคนกันกับเงินอันเป็นทรัพย์สินของวัดมิอาจแยกแยะได้
การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการจัดการทรัพย์สินของวัดโดยมิชอบ และมีลักษณะเป็นการเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย โดยมีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ส่วนเงินสดและทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานตำรวจพบและยึดไว้เป็นของกลางภายในวัด พยานหลักฐานที่โจทก์ชี้ช่องมีน้ำหนักมั่นคงฟังยุติได้ว่า วันที่ 1 พฤษภาคม 2566 อันเป็นวันก่อนที่จำเลยที่ 1 ลาสิกขา จำเลยที่ 4 และที่ 8 ร่วมกันขนย้ายทรัพย์สินของกลางดังกล่าวที่เก็บอยู่ในวัด ป. ถือว่าอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 เจ้าอาวาส ซึ่งจำเลยที่ 1 มิได้จัดทำรายการบัญชีแจกแจงทรัพย์สินไว้เช่นกัน นำออกไปซุกซ่อนไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ ภายในวัด ตามที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 สั่งการ แล้วจำเลยที่ 4 และที่ 8 ช่วยกันขนย้ายทรัพย์สินดังกล่าวเปลี่ยนที่ซุกซ่อนเร้นครอบครองแทนจำเลยที่ 1 และที่ 2 หลายครั้งเพื่อหลบเลี่ยงให้พ้นไปมิให้คณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของวัดหรือเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นพบ
ต่อมาวันที่ 7 พฤษภาคม 2566 จำเลยที่ 2 สนทนาทางโทรศัพท์ใช้ให้จำเลยที่ 9 แจ้งแก่จำเลยที่ 4 และที่ 8 ขนย้ายทรัพย์ดังกล่าวออกไปนอกวัด จำเลยที่ 4 ถึงที่ 9 จึงร่วมกันขนย้ายทรัพย์ใส่รถตู้ให้จำเลยที่ 5 ขับออกจากวัดไปจอดไว้ที่บ้านพักอาศัยจำเลยที่ 5 อันเป็นการกระทำมีวัตถุประสงค์ต่อเนื่องกับการขนย้ายทรัพย์ตั้งแต่เริ่มต้นเป็นกรรมเดียว
แม้จำเลยที่ 4 ถึงที่ 9 ไม่ทราบถึงพฤติกรรมทางเพศของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่ถูกกล่าวอ้างในรายงานและสำนวนการสอบสวน ประกอบกับด้วยสถานภาพของจำเลยที่ 2 ที่แสดงออกต่อสาธารณะ ซึ่งแม้วิญญูชนทั่วไปหากแต่ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดและอยู่เป็นช่วงระยะเวลาที่เพียงพอให้ได้มีโอกาสรับรู้หรือสังเกตเห็นการกระทำอันเป็นเครื่องชี้เจตนาในใจ ก็ย่อมไม่อาจทราบถึงพฤติการณ์หรือเจตนาในใจที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ปกปิดไม่แสดงออกได้
แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าทรัพย์สินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินภายในวัดได้มาจากการบริจาคของประชาชน ไม่มีการจัดทำรายการบัญชีทรัพย์สินแจกแจงให้ปรากฎชัดแจ้งว่าเป็นทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทั้งไม่ปรากฎข้อเท็จจริงอื่นใดอันจะพอให้เข้าใจได้ว่าทรัพย์สินดังกล่าวล้วนมิใช่เป็นทรัพย์สินของวัด ป. อย่างแน่แท้
จึงไม่พอให้ฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 ถึงที่ 9 ไม่รู้หรือสำคัญผิดในข้อเท็จจริงดังกล่าว
ขณะจำเลยที่ 4 และที่ 8 ร่วมขนย้าย ก็ทราบได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 สั่งการให้เคลื่อนย้ายทรัพย์สินจากที่เก็บเดิมอันมีลักษณะเพื่อปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทรัพย์ ทั้งต่อมาจำเลยที่ 4 ถึงที่ 9 ต่างก็ทราบว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ถูกเจ้าพนักงานตำรวจดำเนินคดี มีการแต่งตั้งรักษาการแทนเจ้าอาวาส มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของวัด
แต่จำเลยที่ 4 ถึงที่ 9 ก็เลือกกระทำการช่วยเหลือจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซุกซ่อนยักย้ายทรัพย์ดังกล่าว
แม้อ้างว่าด้วยเหตุที่เคารพศรัทธาจำเลยที่ 2 ภายหลังบอกที่ซุกซ่อนทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานตำรวจและแจ้งให้จำเลยที่ 5 ขับรถนำทรัพย์สินดังกล่าวกลับคืนโดยไม่ปรากฎทรัพย์ขาดหายไปก็ตาม พยานหลักฐานที่จำเลยยกขึ้นอ้างก็ไม่มีน้ำหนักหักล้างแสดงให้เห็นว่ามีเจตนาเป็นอย่างอื่น การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 8 จึงเป็นการร่วมกันเบียดบังทรัพย์ของวัด ป. โดยทุจริต
คดีฟังยุติได้ว่าจำเลยที่ 1 จัดการทรัพย์สินของวัดโดยมิชอบ เป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย และฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิดและเป็นผู้ร่วมกระทำความผิด
จำเลยที่ 3 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด จำเลยที่ 4 และที่ 8 ร่วมกันกระทำความผิดในลักษณะแบ่งหน้าที่ กันทำ แต่เมื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 8 ไม่ได้เป็นเจ้าพนักงาน ขาดคุณสมบัติเฉพาะตัวตามที่กฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะ จึงมีความผิดเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
ส่วนจำเลยที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 และที่ 9 เข้าร่วมกระทำการดังกล่าวภายหลังจากจำเลยที่ 1 ลาสิกขา เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2566 สิ้นสถานะเจ้าพนักงานแล้ว จึงมีความผิดฐานร่วมกันยักยอกทรัพย์ ซึ่งศาลมีอำนาจวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง
ส่วนการกระทำของจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ใช้นั้นย่อมเกลื่อนกลืนกับการกระทำของตนที่ได้เป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดข้างต้นแล้ว และเมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 8 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ซึ่งเป็นบทเฉพาะของบททั่วไปตามมาตรา 157แล้ว ย่อมไม่จำต้องปรับบทความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 8 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 17- ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 จำเลยที่ 5 จำเลยที่ 6 จำเลยที่ 7 และจำเลยที่ 9 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83
การกระทำของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย และเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสียและเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หอปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย
ลงโทษจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
จำคุกจำเลยที่ 1 กระทงละ 6 ปี รวม 78 กระทง คงจำคุก 468 ปี
จำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 4 ปี รวม 78 กระทง คงจำคุก 312 ปี
จำคุกจำเลยที่ 3 กระทงละ 4 ปี รวม 77 กระทง คงจำคุก 308 ปี
จำคุกจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 8 คนละ 3 ปี 4 เดือน
จำคุกจำเลยที่ 5 จำเลย ที่ 6 จำเลยที่ 7 และจำเลยที่ 9 คนละ 3 ปี
การเสนอแนวทางชี้ช่องพยานหลักฐานและนำสืบของจำเลยที่ 4 ถึงที่ 9 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 8 คนละ 2 ปี 2 เดือน 20 วัน คงจำคุกจำเลยที่ 5 จำเลยที่ 6 จำเลยที่ 7 และจำเลยที่ 9 คนละ 2 ปี
สำหรับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วให้จำคุกคนละ 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3)
ข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ 4 ถึงที่ 9 ให้ยกฟ้อง
อ่านประกอบ: