
ป.ป.ช.ลงมติชี้มูลความผิด 2 อดีตนายอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี-พวก ออกใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืนแบบ ป.3 รวม 259 ฉบับ โดยมิชอบ ส่งสำนวน อสส.ฟ้องศาลดำเนินคดีอาญาแจ้งผู้บังคับบัญชาลงโทษวินัยแล้ว-ยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เผยแพร่มติที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ ชี้มูลความผิด นายพงษ์พันธ์ ยมมาศ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี กับพวก ออกใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืน (แบบ ป.3) รวมจำนวน 259 ฉบับ โดยมิชอบด้วยกฎหมาย
นายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยรายละเอียดว่า ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ในระหว่างวันที่ 9 พฤศจิกายน 2558 – 3 พฤษภาคม 2561 ขณะที่นายนรเสฏฐ์ ศรีตะพัสโส นายกฤษณพันธ์ เดชครุฑ และนายพงษ์พันธ์ ยมมาศ ดำรงตำแหน่งนายอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี แต่ละช่วงเวลาต่อเนื่องกัน ได้สั่งการเจ้าหน้าที่เสมียนงานทะเบียนอาวุธปืน ว่าในกรณีที่นายดนุพล ยมพงษ์ นำเอกสารของบุคคลใดมาขอออกใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืน (แบบ ป.3) ให้เจ้าหน้าที่เสนอเรื่องต่อนายอำเภอสัตหีบในฐานะนายทะเบียนอาวุธปืนเพื่อลงนามออกใบอนุญาต โดยไม่ต้องดำเนินกระบวนพิจารณาตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด และไม่ต้องผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากปลัดอำเภอ หัวหน้างานทะเบียนอาวุธปืน และปลัดอาวุโส จากนั้นนายนรเสฏฐ์ ศรีตะพัสโส นายกฤษณพันธ์ เดชครุฑ และนายพงษ์พันธ์ ยมมาศ ในฐานะนายทะเบียนอาวุธปืน ได้ลงนามออกใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืน (แบบ ป.3) รวมจำนวน 256 ฉบับ ให้แก่นายดนุพล ยมพงษ์ กับพวกรวม 8 ราย โดยมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นเหตุให้ นายดนุพล ยมพงษ์ กับพวก ได้อาศัยใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืน (แบบ ป.3) ดังกล่าว ไปซื้ออาวุธปืนมาจำหน่ายเพื่อการค้า รวมจำนวนทั้งสิ้น 191 กระบอก
นอกจากนี้ นายพงษ์พันธ์ ยมมาศ ขณะดำรงตำแหน่งนายอำเภอสัตหีบ ได้ออกคำสั่งแต่งตั้งและออกบัตรประจำตัวชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ให้แก่ราษฎรรายหนึ่งโดยที่มิได้ร้องขอ และ นายสมจิตร วอนน้ำเพชร กำนันตำบลแสมสาร ได้ออกเอกสารรับรองความประพฤติของราษฎรรายดังกล่าว อันเป็นเท็จ เพื่อให้นายดนุพล ยมพงษ์ นำเอกสารดังกล่าวไปใช้ขอรับใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืน (แบบ ป.3) จากนายพงษ์พันธ์ ยมมาศ รวมจำนวน 3 ฉบับ โดยมิชอบด้วยกฎหมาย
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้
1. การกระทำของนายพงษ์พันธ์ ยมมาศ และนายนรเสฏฐ์ ศรีตะพัสโส มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 91 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
2. การกระทำของนายสมจิตร วอนน้ำเพชร มีมูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 มาตรา 161 ประกอบมาตรา 91 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 (ปัจจุบันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง
3. การกระทำของนายดนุพล ยมพงษ์ กับพวก มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิด และฐานความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง
สำหรับนายกฤษณพันธ์ เดชครุฑ จากการไต่สวน ข้อเท็จจริงปรากฏว่าได้ถึงแก่ความตายแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1) จึงให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบ
ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัย ไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัย ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 แล้วแต่กรณีต่อไป
อย่างไรก็ดี การชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังไม่ถือเป็นที่สุด ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด
