'ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์' เตรียมร้อง ป.ป.ช. ต่อ กรณี 'เศรษฐา ทวีสิน' เลี่ยงภาษี ชี้เป็นบุคคลสาธารณะต้องวิจารณ์ได้
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2566 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องคดีหมายเลขดำที่ อ962/2566 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เป็นโจทก์ ฟ้อง นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความชื่อดัง เป็นจำเลยในข้อหาหมิ่นประมาทจากกรณีที่นายษิทราจัดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนวันที่ 23, 24-27 มีนาคม โดยเนื้อหามีการระบุว่า นายชูวิทย์รับเงินจากเว็บการพนัน และสารวัตรซัว จำนวน 10 ล้านบาท พร้อมเผยแพร่กราฟิกภาพถุงกระดาษบรรจุเงิน 2 ถุง ทำให้เนื้อหาข่าวถูกเผยแพร่ต่อสาธารณชนอย่างกว้างขวาง เป็นเหตุให้เกิดความเสื่อมเสียชื่อเสียงต่อนายชูวิทย์ และลูกชายอีกคน เพราะนายษิทรายังกล่าวหาว่า ลูกชายของนายชูวิทย์รับเงินสกุลดิจิทัล โดยนายชูวิทย์ ให้สัมภาษณ์ ประเด็นนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยฟ้องนายชูวิทย์ฐานหมิ่นประมาทที่กล่าวหานายเศณษฐาเลี่ยงภาษีในการซื้อขายที่ดิน
นายชูวิทย์ กล่าวว่า รู้สึกขนลุกตอนนี้ตนมี 21 คดีแล้ว ที่ผ่านมาการเปิดโปงต่างๆก็ทำเพื่อชาติบ้านเมือง นายเศรษฐาซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะ และกำลังเสนอตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน นายเศรษฐามีความเป็นนายทุนเมื่อเป็นนายทุน ได้ใช้รถไฟความเร็วสูงสายยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อเข้าไปในพรรคเพื่อไทย แต่คุณสมบัติของนายเศรษฐา เป็นสิ่งที่ประชาชนอย่างตนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ เพราะหากอ้างอิงตามรัฐธรรมนูญในมาตรา 160 บุคคลที่เป็นนายก จะต้องมีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ ประเด็นนี้ตนได้ปรึกษาทนายมาเสมอว่า คุณสมบัติ ความซื่อสัตย์ คือความหมายเดียวกันหรือไม่ และคุณสมบัติในที่นี่เป็นการพูดถึงเรื่องในอดีต,ปัจจุบัน หรือ อนาคต
นายชูวิทย์ กล่าวว่า ก่อนที่นายเศรษฐาจะเป็นนายกฯ จะต้องมีความซื่อสัตย์ สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ห้ามมีพฤติการณ์น่าสงสัย พฤติกรรมของเศรษฐามาจากการวางแผนกระทำการร่วมมือสนับสนุนในฐานะผู้ซื้อ และมีผู้ขายที่เป็นคู่สัญญาทำการหลบเลี่ยงภาษี
ส่วนประเด็นนี้ถ้านายเศรษฐาจะฟ้อง ตนได้ปรึกษากับทนายความแล้วว่า จะฟ้องกลับนายเศรษฐาอีกรอบเลยดีหรือไม่ เพราะถือเป็นการกลั่นแกล้งให้ตนปิดปากและอีกอย่างเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเดียว มีประเด็นอื่นที่จะต้อง แถลงต่อไป ดังนั้นสิ่งที่ตนพูด นายเศรษฐาตจะต้องชี้แจง ต้องอธิบายให้ประชาชนรับทราบการที่จะมาฟ้องเพื่อปิดปาก ถือว่าทำไม่ได้เพราะนายเศรษฐากำลังจะถูกเสนอชื่อโหวตนายกฯ ลำดับต่อไปจะไปยื่นหลักฐานต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
นายชูวิทย์ กล่าวว่า ส่วนกรณีที่มีทนายบางคนออกมาตอบโต้ตน ก็ไม่เป็นไรเพราะเราอย่าลืมคำว่าจริยธรรม คนที่เป็นนายกจะต้องดี 100% ไม่ใช่ดีเพียง 50% เพราะคำว่าจริยธรรมเป็นเพียงเส้นบางๆระหว่าง เล่ห์เหลี่ยมของนายทุน กับความซื่อสัตย์ของนายกรัฐมนตรีสิ่งที่ทำนี้ ถ้าคิดว่าถูกกฎหมาย ก็ต้องไปประกาศ ว่าสิ่งที่ทำเป็นกฎของนายเศรษฐา การแบ่งแยกโอน 12 คน 12 วัน เปรียบเหมือน ศรีธนญชัย ซึ่งชัดเจนอยู่แล้วว่าคุณวางแผนอะไรกัน
เมื่อถามว่าเมื่อไปยื่นเรื่องที่สรรพากรได้คำตอบแล้วหรือไม่ นายชูวิทย์กล่าวว่า เป็นคนชอบขุด ชอบทำหลุมพราง คนอยากบอกว่าการนิติกรรมอำพรางลักษณะนี้ เคยมีการดำเนินคดีมาแล้วมีการตัดสินคดีมาแล้ว มีบทเรียนมาแล้ว มีโทษตามกรรม เมื่อผู้ซื้อและผู้ขายร่วมทำนิติกรรมอำพรางด้วยกันก็จะต้องรับโทษตามกฎหมาย
"คนใส่สูทเวลาจะปล้นไม่ได้ใช้ปืนแต่ใช้กฎหมายเว้นวรรค" นายชูวิทย์ กล่าว