เอ็นจีโอ-นักวิชาการชำแหละ 194 ปี ความเหลื่อมล้ำที่ดินไทย ‘อรรถจักร์’ ชี้ความเจริญทางเศรษฐกิจเบียดขับชาวไร่ชาวนา แผนยุทธศาสตร์ชาติไม่เห็นความสำคัญเกษตรกร สหพันธ์ฯ เสนอเเก้รธน. ให้มีการกระจายการถือครอง
เมื่อเร็ว ๆ นี้ สถาบันทางวิชาการ องค์กรอิสระ องค์การมหาชน สื่อมวลชน องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรระหว่างประเทศ เครือข่ายนักธุรกิจ ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน ร่วมกันจัดงาน มหกรรมที่ดินคือชีวิต ครั้งที่ 2 หัวข้อ “หยุดวิกฤติความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมที่ดินไทย” ณ ห้องประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
ศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญกำลังพลิกสังคมไทยจากหน้ามือเป็นหลังมือ คือกระบวนการที่เรียกว่าการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งกระบวนการนี้ได้เบียดขับชาวไร่ชาวนาออกจากพื้นที่ ออกมาเป็นนโยบายรัฐคือ แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งไม่มองเห็นคุณค่าของภาคเกษตรที่พวกเรากำลังทำ มองเห็นเพียงว่าจะผลิตแล้วขายเพื่อทำให้จีดีพีโตขึ้นอย่างไร
“ทั้งหมดคือการเบียดขับชาวนาชาวไร่ออกจากที่ดิน เพื่อเปิดช่องให้กลุ่มทุนมาครอบครองเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคล การขยายตัวของแนวคิดนี้จะเข้มข้มมากขึ้น การเปลี่ยนสถานะพื้นที่ชุมชนที่ไม่เคยสามารถครอบครองได้ จะกลายเป็นครอบครองได้ในรัฐบาลนี้ นี่คือกระบวนการเปลี่ยนทรัพย์สินทั้งหมดของเราให้เป็น Private Property ซึ่งจะตกอยู่แค่ในมือกลุ่มทุน” ศ.ดร.อรรถจักร์กล่าว
ศ.ดร.อรรถจักร์ ยังกล่าวว่า เราควรถอดบทเรียนการต่อสู้ของสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย ไม่ใช่เพียงเพื่อเรียนรู้ แต่เพื่อกำหนดแนวทางในการต่อสู้ที่ยังต้องใช้เวลาอีกหลายปี โดยเฉพาะการตระหนักว่าความเป็นธรรมเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้
“จำเป็นอย่างยิ่งที่จำต้องทำให้สังคมเข้าใจ และมองเห็นว่าความเป็นธรรมเท่านั้นที่จะสามารถแก้ความเหลื่อมล้ำ ความเป็นธรรมเท่านั้นที่จะลดทอนปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ ไม่มีทางแก้ไขได้ด้วยการโยนเงินมาจากเฮลิคอปเตอร์ ไม่ว่าจะประชานิยมเข้มข้น หรือประชานิยมหน่อมแน้มแบบปัจจุบัน และความเป็นธรรมของสังคมที่เป็นรูปธรรมที่สุดคือการทำให้ที่ดินหลุดจากเป็นสินค้า เมื่อใดก็ตามที่ความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดินลดลง ความเหลื่อมล้ำจะลดลง” ศ.ดร.อรรถจักร์ ระบุ
ด้าน นายประยงค์ ดอกลำไย ที่ปรึกษาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) กล่าวถึงประวัติศาสตร์ความเหลื่อมล้ำที่ดินไทยตั้งแต่ปี 2398 ที่มีสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง ให้สิทธินอกอาณาเขตชาวต่างชาติเข้ามาเช่าและซื้อที่ดินได้ ต่อมามีโครงการขุดคลองรังสิต ซึ่งให้บริษัทคูแลนาเข้ามาลงทุนขุดคลอง และได้รับกรรมสิทธิ์ที่ดินบริเวณริมสองฝั่งคลองรังสิตฝั่งละ 800 เมตร ทำให้ชาวนาที่ทำกินอยู่บริเวณนั้นมาตั้งแต่บรรพบุรุษต้องสูญเสียสิทธิในที่ดินทำกิน
“พระบรมราชโองการตอนนั้นบอกว่าใครที่มาลงทุนจะได้ที่ดิน ปรากฏว่าบริษัทได้ที่ดินไป 1.3 ล้านไร่ เราพบว่าจริงๆ โครงการนี้เป็นโครงการฟอกที่ดินที่ทำให้สิทธิของชาวนาหายไป แล้วให้สิทธิคนที่ขุดคลอง แล้วบริษัทก็ขายที่ดินให้ซื้อในราคาไร่ละ 4 บาท คนที่ลงทุนซื้อมาไร่ละ 1 บาท แต่มาขาย 4 บาท นี่คือโครงการแรก และมีพัฒนาการเรื่อยมาจนกระทั่งเกิดคลองขึ้นหลายเส้น” ประยงค์กล่าว
ทั้งนี้ ข้อมูลแบบสำรวจการถือครองที่ดินของผู้เข้าร่วมงาน พบว่า 272 คนที่ส่งแบบสำรวจ ถือครองที่ดินรวมกัน 1,840 ไร่ และ 50 เปอร์เซ็นต์ในนั้นถือครองที่ดินไม่ถึง 1 ไร่ ถ้าเทียบกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสภาวันนี้ 10 อันดับแรกของคนที่มีมูลค่าที่ดินมากที่สุด มีมูลค่ารวมกันถึงประมาณ 1,700 ล้านบาท
ที่ปรึกษาพีมูฟ กล่าวย้ำว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังว่าต้องมีการจำกัดการถือครองที่ดินอย่างจริงจัง ถ้ามีการจำกัด คนที่เดือดร้อนคือคนที่มีที่ดิน 6 แสนไร่ แต่คนอีก 50 ล้านคนจะได้รับความเป็นธรรม ขณะนี้มีตระกูลเดียวที่ถือครองที่ดินใหญ่กว่าจังหวัดสมุทรปราการทั้งจังหวัด ถ้าหามาอีก 40 ตระกูลมาเอาคนละจังหวัด เราก็ไม่มีที่อยู่กันแล้ว
ขณะที่ ผศ.ดร.ดวงมณี เลาวกุล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยข้อมูลความเหลื่อมล้ำด้านการถือครองที่ดินและทรัพย์สินในประเทศ พบว่าหากมองเฉพาะที่ดินที่มีโฉนด คนประมาณ 20% บนสุดได้ถือครองที่ดินอยู่ 80% เป็นภาพความเหลื่อมล้ำที่เห็นได้ชัด และถ้าดูที่ความต่างของคนที่มีที่ดินสูงสุดก็ต่างจากล่างสุดอยู่ถึง 326 เท่า
“ที่ดินมีการกระจุกตัวมาก ในขณะที่ทรัพย์สินโดยรวมของประเทศมีการกระจุกตัวเช่นกัน จะเห็นจากคนที่เป็นมหาเศรษฐีสิบอันดับแรก ที่ตัวเลขจะเพิ่มขึ้นตลอด จากปี 2552 มา 2562 ทรัพย์สินของกลุ่มนี้โตขึ้น 6 เท่า เราเอาไปเทียบกับจีดีพีหรือตัวรายได้ทั้งหมดของประเทศ พบว่า 40 ราย คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30% ของจีดีพี” นักวิชาการเศรษฐศาสตร์กล่าว
ด้าน รังสรรค์ แสนสองแคว ผู้ปฏิบัติงานสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ภาคเหนือ จากพื้นที่ปฏิรูปที่ดินบ้านไร่ดง อ.ป่าซาง จ.ลำพูน เสนอแนวทางในนามเกษตรกรว่าต้องการให้มีมาตรการภาษีและการจำกัดการถือครองที่ดินอย่างจริงจัง และต้องไม่ลืมการแก้รัฐธรรมนูญด้วย
มาตรการแรกคือ ต้องมีภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า เพื่อบีบให้คนที่ถือครองที่ดินเยอะๆ คายที่ดินออกมา แต่ปัญหาคือเราจะใช้กลไกอย่างไร เมื่อคนที่ถือครองที่ดินกุมอำนาจไว้อยู่ ซึ่งการน่าจะต้องมีเครื่องมือ ไม่พอแล้วที่จะแก้แค่กฎหมายเกี่ยวกับที่ดิน ต้องแก้รัฐธรรมนูญด้วยให้มีเรื่องการกระจายการถือครองที่ดิน เพราะถ้าผลักดันแค่กฎหมาย เป็นเพียงกฎหมายลูก และยังต้องมีการจำกัดการถือครองที่ดินให้มีความเป็นธรรม แต่ถ้าใช้ภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้าจะสามารถจำกัดการถือครองที่ดินได้อยู่แล้ว” เกษตรกรชาวลำพูนเสนอ
ทั้งนี้ จากข้อมูลในปี 2561 ของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพบว่า ประชากรที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสูงสุด 10% ถือครองที่ดิน 94.86 ล้านไร่ คิดเป็น 61.5% ขณะที่ประชากรที่ยากจนที่สุด 10% ของประเทศ ถือครองที่ดินรวมกันเพียง 68,330 ไร่ คิดเป็นสัดส่วน 0.1% หรือแตกต่างกันกว่า 853.6 เท่า ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากมาตรการทางภาษีที่ไม่มีการเก็บภาษีที่ดินในลักษณะอัตราก้าวหน้า โดยผู้ที่มีที่ดินมากที่สุด 20% ของประเทศ เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดรวมกันมากถึง 80% ของที่ดินโฉนดทั้งหมด แต่ผู้ที่มีที่ดินต่ำสุด 20% เป็นเจ้าของเพียง 0.25% ของโฉนดที่ดินทั้งหมดในประเทศและผู้ที่มีที่ดินมากกว่า 1,000 ไร่ (1001,-500,000 ไร่ ) มีอยู่เพียง 837 ราย
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/