ซื้อเงินสด-ใส่ชื่อเมียนอกสมรส-ปั้นสัญญากู้เท็จ! พฤติกรรมนายกเทศมนตรี ซุกทรัพย์สิน
ละเอียดยิบ!คำพิพากษาศาลฎีกา นายกเทศมนตรี เมืองคลองหลวง จ.ปทุมธานี ซุกอาคารพาณิชย์ 2 คูหา 3 ล. อ้างของเมียนอกสมรส-ลูกสาว ใช้ จนท.เทศบาลจอง -กู้เงินมาผ่อน พยานยันจ่ายเงินสด ศาลชี้พิรุธอื้อ จำคุกจริง 2 เดือน
3 ก.ค. 2561 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษา นายประเสริฐ ค่ายทอง นายกเทศมนตรีเมืองคลองหลวง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบกรณีไม่แสดงรายการที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ เลขที่ 59/369 และเลขที่ 59/370 ต.คลองสอง อ.คลองหลวงจ.ปทุมธานี ที่มีชื่อ นางจันทิพย์ ผ่องแผ้ว ภรรยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส และ น.ส. มาริษา ค่ายทอง บุตรของนายประเสริฐ เป็นผู้ถือกรรมสิทธ์ (อ่านประกอบ : ศาลฎีกาฯจำคุกจริง 2 เดือน นายกเทศมนตรี จ.ปทุมฯซุกทรัพย์สินในชื่อ‘เมียนอกสมรส’)
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org เรียบเรียงคำพิพากษาคดีนี้มารายงานอย่างละเอียด
@พลิกปูม ซุกอาคารพาณิชย์ 2 หลัง 2 ครั้ง
ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองคลองหลวง ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2552 แถลงนโยบายเพื่อเข้ารับหน้าที่ต่อสภาเทศบาลเมืองคลองหลวง เมื่อวันที่ 12 มี.ค.2552 และพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 28 ส.ค.2555 ต่อมาผู้คัดค้านได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองคลองหลวง ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 11 พ.ย.2555 แถลงนโยบายเพื่อเข้ารับหน้าที่ต่อสภาเทศบาลเมืองคลองหลวง เมื่อวันที่ 29 พ.ย.2555 และยังดำรงตำแหน่งจนถึงปัจจุบันตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 1/2557 ลงวันที่ 25 ธ.ค.2557 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านหยุดปฏิบัติหน้าที่นับแต่วันที่ 15 พ.ย.2560 อันเป็นวันที่ศาลมีคำสั่ง ให้รับคำร้องไว้พิจารณา ผู้คัดค้านเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต่อผู้ร้องภายในสามสิบวันนับแต่วันเข้ารับตำแหน่ง วันพ้นจากตำแหน่ง และวันที่พ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปีงทางการเมือง
ผู้คัดค้านยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องกรณีพ้นจากตำแหน่ง และกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปีในการดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองคลองหลวง ครั้งที่ 1 กับกรณีเข้ารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองคลองหลวง ครั้งที่ 2 โดยไม่แสดงรายการที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ เลขที่ 59/369 และเลขที่ 59/370 ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ต่อมา น.ส. สาริศาหรือชินสุดา วงษ์ถาวรกุล มีหนังสือฉบับลงวันที่ 13 มี.ค. 2557
กล่าวหาว่าผู้คัดค้านปกปิดบัญชีทรัพย์สินจำนวนหลายรายการ รวมถึงอาคารพาณิชย์ดังกล่าว และให้ถ้อยคำกับผู้ร้องเพื่อยืนยันข้อเท็จจริง อาคารพาณิชย์ มีชื่อนางจันทิพย์ ผ่องแผ้ว ภรรยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสของผู้คัดค้าน และ น.ส. มาริษา ค่ายทอง บุตรของผู้คัดค้านเป็นผู้ถือกรรมสิทธ์
ผู้ร้องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนและพิจารณาผลการตรวจสอบ ความถูกต้องและความมีอยู่จริงของทรัพย์สินและหนี้สินของผู้คัดค้านแล้ว มีมติให้ยื่นคำร้องคดีนี้
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้คัดค้านจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริง ที่ควรแจ้งให้ทราบ โดยปกปิดไม่แสดงรายการทรัพย์สิน คือ อาคารพาณิชย์ เลขที่ 59/369 และเลขที่ 59/370 ต.คลองสอง รวม 2 หลัง กรณีพ้นจากตำแหน่ง ในการดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองคลองหลวง ครั้งที่ 1 ซึ่งยื่นเมื่อวันที่ 24 ก.ย.2555 และกรณีเข้ารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองคลองหลวง ครั้งที่ 2 ซึ่งยื่นเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2555
@อ้างไม่เกี่ยว-ทรัพย์สินของเมียนอกสมรส-ลูกสาว
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า ผู้คัดค้านจงใจปกปิดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ หรือไม่
ในปัญหานี้ผู้คัดค้าน (นายประเสริฐ) ยื่นคำคัดค้านและนำพยานเข้าไต่สวนอ้างว่า อาคารดังกล่าวไม่ใช่ของผู้คัดค้าน แต่เป็นกรรมสิทธิ์ของนางจันทิพย์ ผ่องแผ้ว ภรรยาที่มิได้จดทะเบียนสมรสของผู้คัดค้าน กับ น.ส.มาริษา ค่ายทอง ซึ่งเป็นบุตรของผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านไม่มีส่วนรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องในการซื้อขายอาคารดังกล่าว
@เมียอ้างจองซื้อจาก จนท.เทศบาลฯได้ส่วนลดพิเศษ
เห็นว่า นายไพศักดิ์ หงส์ศรีสุวรรณ์ เจ้าของโครงการก่อสร้างอาคารดังกล่าวให้ถ้อยคำว่า เมื่อประมาณปี 2551 ผู้คัดค้านพูดคุยทางโทรศัพท์กับพยานว่าผู้คัดค้านสนใจอาคารในโครงการจำนวน 2 คูหา พยานจึงมอบหมาย ให้นายมานะ ศิลปะอาชา พนักงานของโครงการเป็นผู้ดำเนินการให้ แสดงว่าการติดต่อเพื่อให้ได้มา ซึ่งอาคารดังกล่าวเริ่มจากความประสงค์ของผู้คัดค้าน แม้นางจันทิพย์เบิกความว่า วันที่ 22 ต.ค.2551 นางจันทิพย์ซื้ออาคาร 2 คูหาดังกล่าว โดยอาศัยสิทธิการจองต่อจากนายเอกชัย นวลสมบูรณ์ หัวหน้าฝ่ายแบบแผนและก่อสร้าง เทศบาลเมืองคลองหลวง ในราคา 70,000 บาท แต่มิได้เปลี่ยนชื่อผู้จอง และนายเอกชัยให้ถ้อยคำว่า ขณะที่นายไพศักดิ์เจ้าของโครงการมาขออนุญาตก่อสร้างที่เทศบาลเมืองคลองหลวง พยานเห็นว่าโครงการทำเลดี จึงขอจองซื้อ 2 ห้อง และนายไพศักดิ์ตกลงขายให้ในราคาห้องละ 1,500,000 บาท รวม 2 ห้องเป็นเงิน 3,000,000 บาท โดยไม่ได้จัดทำเอกสารการจองและไม่ได้วางเงินจอง ต่อมานางจันทิพย์ภรรยาของผู้คัดค้านทราบว่า พยานจองอาคารดังกล่าวไว้จึงขอซื้อเอกสารการจองต่อในราคา 7,0,000 บาท เนื่องจากพยานกับนางจันทิพย์สนิทสนมกันจึงยอมขายให้ โดยไม่ได้เปลี่ยนชื่อผู้จองเป็นชื่อนางจันทิพย์ เพราะเกรงว่าจะไม่ได้รับส่วนลดจากนายไพศักดิ์
@เจ้าของโครงการยันไม่รู้จัก –เมียมีรายได้ไม่แน่นอน
แต่นายไพศักดิ์ให้ถ้อยคำกับผู้ร้องว่าไม่เคยรู้จักนายเอกชัยมาก่อน จึงฟังไม่ได้ว่านายเอกชัยรู้จักและเป็นผู้จองซื้ออาคารดังกล่าวจากนายไพศักดิ์ ส่วนที่นางจันทิพย์เบิกความว่าอยู่กินฉันสามีภรรยากับผู้คัดค้านมาตั้งแต่ประมาณปี 2532 และพักอาศัยอยู่ด้วยกันกับผู้คัดค้านจนถึงปัจจุบัน แต่ไม่ปรากฏว่า นางจันทิพย์มีรายได้ประจำที่แน่นอน จึงเป็นการยากที่จะซื้ออาคารดังกล่าวในราคา 3,000,000 บาท เพียงลำพัง สำหรับที่นางจันทิพย์ เบิกความอ้างว่ามีรายได้จากการให้กู้ยืมเงินและการเล่นแชร์นั้น ก็ไม่มีพยานเอกสารใดมาสนับสนุนจึงไม่เชื่อว่านางจันทิพย์จะมีรายได้ตามที่เบิกความ และในการชำระราคาอาคารดังกล่าวตามเอกสารการ์ดบันทึกข้อมูล มีการผ่อนชำระราคาจำนวน 10 งวด ๆ ละ 300,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 22 ต.ค. 2551 และชำระครบถ้วนเมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2552 ในการผ่อนชำระราคา นางจันทิพย์จะนำเงินไปมอบให้นายเอกชัยที่ทำงานด้วยตนเองหรือฝากเงินให้ผู้คัดค้านนำไปมอบให้นายเอกชัยเป็นผู้นำไปชำระราคาอาคารดังกล่าว แต่เป็นที่เห็นได้ว่าการผ่อนชำระในแต่ละงวดเป็นเงินจำนวนมากย่อมเป็นภาระกับนางจันทิพย์เองที่จะต้องถือเงินสดไปมอบให้นายเอกชัย และนายเอกชัยต้องนำเงินสดไปชำระให้กับโครงการต่ออีกทอดหนึ่งโดยไม่ปรากฏว่า มีเหตุผลประการใดที่จะต้องดำเนินการให้เกิดความยุ่งยากถึงเพียงนั้น เชื่อว่าการให้นายเอกชัยเป็นผู้จองซื้ออาคารดังกล่าวเป็นการอำพรางผู้ซื้อที่แท้จริง
@อ้างยืมเงินคนอื่นมาซื้อ
นอกจากนี้ในส่วนที่เกี่ยวกับเงินที่นำมาชำระค่าอาคารดังกล่าว นางจันทิพย์เบิกความตอบศาลว่า นางจันทิพย์ พบนายวิชา พร้อมเพรียงชัย ที่บ้านของผู้คัดค้านจึงขอยืมเงินจากนายวิชา 2,500,000 บาท เพื่อจะนำมาชำระค่าอาคารที่ซื้อไว้ ตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับลงวันที่ 15 ต.ค.2551 จำนวน 1,500,000 บาท และฉบับลงวันที่_26 พ.ค.2552 จำนวน 1,000,000 บาท โดยผู้คัดค้านไม่มีส่วนรู้เห็น แต่นายวิชาผู้ให้กู้ให้ถ้อยคำว่า ไม่รู้จักกับนางจันทิพย์เป็นการส่วนตัว และการชำระหนี้เงินกู้ก็ไม่ปรากฏเอกสารหลักฐานแห่งการชำระหนี้ เมื่อชำระเงินครบถ้วนก็ไม่มีการทำหลักฐานไว้เช่นกัน
@ศาลฯชี้ชัดทำสัญญากู้เท็จ
ตามทางไต่สวนฟังไม่ได้ว่า มีการกู้ยืมเงินกันจริง ส่วนที่นางจันทิพย์อ้างว่า นำเงินที่ได้จากการเก็บค่าเช่าหอพักเลขที่ 29/115 หมู่ที่ 6 ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นอาคาร 4 ชั้น รวม 46 ห้อง ที่ผู้คัดค้านมอบให้นางจันทิพย์ดูแล ค่าเช่าห้องละ 1,600 บาทต่อเดือน นางจันทิพย์มีรายได้รวมค่าเช่า ค่าส่วนต่างจากค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าประกันความเสียหาย และค่าเช่าล่วงหน้าของผู้เข้าอยู่ใหม่ ประมาณเดือนละ 100,000 บาท หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว นางจันทิพย์จึงนำไปผ่อนชำระหนี้ให้กับนายวิชาประมาณเดือนละ 50,000 บาท ถึง 100,000 บาท และชำระหนี้เงินกู้ครบในปี 2556 หรือปี 2557 แต่ปรากฏตามบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบที่ผู้คัดค้านยื่นต่อผู้ร้องว่า
หอพักมีรายได้ประมาณปีละ 120,000 บาท จึงขัดแย้งกับคำเบิกความของนางจันทิพย์ และเมื่อศาลสอบถามผู้คัดค้านถึงรายได้จากการให้เช่าหอพัก ผู้คัดค้านอ้างว่ามอบหมายให้นางจันทิพย์เป็นผู้ดูแลไปแล้ว จึงไม่ทราบจำนวนค่าเช่าที่แท้จริง อีกทั้งเมื่อตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้คัดค้าน ก็ยังปรากฏว่าผู้คัดค้านมีหนี้สินกับธนาคารพาณิชย์และนายวิชา รวมประมาณ 3,531,145 บาท อีกด้วย
@คนร้องเรียนปูดนายกเทศมนตรีฯจ่ายเงินสด
และเมื่อพิจารณาประกอบกับหนังสือร้องเรียนของ น.ส. สาริศาซึ่งให้ข้อมูลว่าผู้คัดค้านชำระราคาอาคารดังกล่าวด้วยเงินสดโดยตกลงราคากับนายไพศักดิ์เจ้าของโครงการโดยตรง น.ส. สาริศาเคยดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการกองการศึกษาระดับ 8 เทศบาลเมืองคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ถือได้ว่าเป็นผู้บริหาร ระดับสูงของเทศบาลเมืองคลองหลวงย่อมรู้จักผู้คัดค้าน แม้ผู้คัดค้านอ้างว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกับนางสาวสาริศามาก่อน แต่ข้อร้องเรียนของนางสาวสาริศาเป็นเพียงการแจ้งเบาะแสเบื้องต้น และผู้ร้องได้ไต่สวนหาหลักฐานเพิ่มเติมทั้งพยานเอกสารและพยานบุคคลจนพบว่าอาคารดังกล่าวเพิ่งจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เป็นของนางจันทิพย์ และ น.ส. มาริษา ภายหลังชำระราคาค่าอาคารดังกล่าวครบถ้วนแล้วเป็นเวลานานหลายปี แสดงให้เห็นว่ามูลเหตุที่มีการโอนกรรมสิทธิ์อาคารดังกล่าวเป็นของนางจันทิพย์และน.ส.มาริษาเพราะต้องการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบของผู้ร้อง เมื่อพิเคราะห์การได้มาซึ่งอาคารดังกล่าว การจองซื้อ การกู้ยืมเงิน รายได้ของผู้คัดค้านและนางจันทิพย์ การโอนกรรมสิทธิ์อาคารดังกล่าวล้วนแล้วแต่มีพิรุธไม่น่าเชื่อถือ ที่ผู้คัดค้านต่อสู้ว่าอาคารดังกล่าวไม่ใช่ของผู้คัดค้าน แต่เป็นของนางจันทิพย์กับ น.ส. มาริษาซึ่งเป็นบุตรของผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านไม่มีส่วนรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องในการซื้อขายอาคารดังกล่าว รวมทั้งได้อาคารภายหลังจากผู้คัดค้านมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสาร ประกอบต่อผู้ร้องแล้ว จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง
@ชัดถือกรรมสิทธิ์แทน
พยานหลักฐานจากการไต่สวนฟังได้ว่า อาคารพาณิชย์ เลขที่ 59/369 และ 59/370 ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 135485 และเลขที่ 135486 ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี รวม 2 หลัง เป็นของผู้คัดค้านซึ่งมีชื่อนางจันทิพย์ และ น.ส. มาริษาถือกรรมสิทธิ์แทน จึงเป็นทรัพย์สินที่ผู้คัดค้านมีอยู่จริงในเวลาที่มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเป็นหน้าที่สำคัญ ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องปฏิบัติ อันเป็นมาตรการในการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินเชิงป้องกันและเพื่อให้เกิดการตรวจสอบผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจรัฐ เมื่อผู้คัดค้านปกปิดรายการทรัพย์สินดังกล่าว การกระทำของผู้คัดค้านจึงเป็นความผิดฐานจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน และหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีพ้นจากตำแหน่งและกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ในการดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรี เมืองคลองหลวง ครั้งที่ 1 และกรณีเข้ารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองคลองหลวง ในการดำรงตำแหน่ง นายกเทศมนตรีเมืองคลองหลวง ครั้งที่ 2 โดยมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าผู้คัดค้านมีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สิน หรือหนี้สินนั้น การกระทำของผู้คัดค้านจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 34 แม้ผู้ร้องมีคำขอให้ผู้คัดค้านพ้นจาก ตำแหน่งนับแต่วันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 34 วรรคหนึ่ง และข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้คัดค้านถูกสั่งระงับการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 35/2560 ลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2560 แต่ก็มิใช่คำสั่งของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงเห็นควรวินิจฉัยให้ผู้คัดค้านพ้นจากตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองคลองหลวง ครั้งที่ 2 นับแต่วันที่ 15 พ.ย. 2560 อันเป็นวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองประทับรับฟ้อง
และมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านหยุดปฏิบัติหน้าที่ ผู้คัดค้านจึงต้องพ้นจากตำแหน่งตั้งแต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 17 วรรคสอง แม้มาตรการดังกล่าวจะบัญญัติภายหลังการกระทำความผิดของผู้คัดค้าน แต่ก็มิใช่โทษในทางอาญาจึงใช้บังคับได้ และผู้คัดค้านย่อมต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลาห้าปีนับแต่วันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 34 วรรคหนึ่ง นอกจากนี้ผู้คัดค้านเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4 การกระทำของผู้คัดค้านซึ่งจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ในการดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองคลองหลวง ครั้งที่ 1 จึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 ด้วย
@ให้พ้นตำแหน่ง-เว้นวรรค 5 ปี-จำคุก 2 เดือน
พิพากษาว่า นายประเสริฐ ค่ายทอง ผู้คัดค้านจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อผู้ร้องด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีพ้นจากตำแหน่งและกรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ในการดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองคลองหลวง ครั้งที่ 1 และกรณีเข้ารับตำแหน่งนายกเทศมนตรี เมืองคลองหลวง ครั้งที่ 2 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 32 และมาตรา 33 ให้ผู้คัดค้านพ้นจากตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองคลองหลวง ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย.2560 ซึ่งเป็นวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านหยุดปฏิบัติหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 17 วรรคสอง และห้ามมิให้ผู้คัดค้านดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลาห้าปีนับแต่วันที่ 3 ก.ค. 2561 ซึ่งเป็นวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 34 วรรคหนึ่ง กับมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีพ้นจากตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี ในการดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองคลองหลวง ครั้งที่ 1 จำคุก 2 เดือน ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก.
(คดีหมายเลขแดงที่ อม.116/2561-3 ก.ค.2561)
อ่านประกอบ:
ศาลฎีกาฯปรับ 4,000-12,000 บาท รอลงโทษจำคุก 7 นักการเมืองท้องถิ่นไม่ยื่นบัญชีฯ
ศาลฎีกาฯฟัน ส.อบจ.เชียงใหม่ พังงา-10 นักการเมืองท้องถิ่น 8 จว.ไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน
ศาลจำคุก 2 เดือน นายก อบต.ใน จ.นครปฐม ยื่นบัญชีฯเท็จ ซุกหนี้สินเมีย 1.1 ล.
ศาลฎีกาฯฟัน 2 นักการเมืองท้องถิ่น ยื่นบัญชีฯเท็จ-รองนายก อบจ.สกลฯซุก 5 ครั้ง
ฟันอีก 5 ! ศาลฎีกาฯจำคุกจริง รองนายก อบต. จ.ปัตตานี ไม่ยื่นทรัพย์สิน นับโทษจากคดีเก่า
ชื่อหรา‘เสี่ยชูวิทย์’หุ้นใหญ่ ภัตตาคารซินกี่ โอนให้ลูกน้องปี 47 คดีจำคุก ซุก ป.ป.ช.
คำพิพากษาฉบับเต็ม!คดีจำคุก‘ชูวิทย์’ ที่แท้ซุกหุ้น‘ภัตตาคารซินกี่’ ใช้ลูกน้อง‘นอมินี’
ลอตใหญ่! ศาลฎีกาฯฟัน 17 นักการเมืองท้องถิ่น 14 จังหวัด จงใจไม่ยื่นทรัพย์สิน ป.ป.ช.
ศาลฎีกาฯฟันนักการเมือง จ.นครปฐม เจ้าของธุรกิจใหญ่ ยื่นเท็จ ซุกที่ดิน 36 แปลง
ศาลฎีกาฯฟัน 9 นักการเมืองท้องถิ่น! 8 คนไม่ยื่นบัญชีฯ-ส.อบจ.สุราษฎร์ฯซุกหนี้ ที่ดิน เงินฝาก
ศาลฎีกาฯฟัน ส.อบจ.สมุทรสาคร ซุกหุ้น 2 บ. – 7 นักการเมืองท้องถิ่นไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน
ศาลฎีกาฯฟัน 3 รองนายก อบต.-เทศบาล จ.ลพบุรี สกลนคร อุดรฯ จงใจไม่ยื่นบัญชีฯ
ศาลฎีกาฯฟัน 2 นักการเมืองท้องถิ่น จ.นครปฐม-นนทบุรี ซุกทรัพย์สินนับสิบรายการ
สมาชิกเมืองพัทยาจงใจซุกบ้าน! ศาลฎีกาฯฟัน 5 นักการเมืองท้องถิ่นไม่ยื่นบัญชีฯ
หมายเหตุ : ภาพประกอบ นายประเสริฐ ค่ายทอง จาก https://palungjit.org/threads