Change in action (14) 'ก.พ.ค.ตร.' - องครักษ์พิทักษ์ระบบคุณธรรม !
การพิจารณาความดีความชอบ การเลื่อนตำแหน่ง และการให้ประโยชน์อื่นแก่ข้าราชการตำรวจ ต้องเป็นไปอย่างเป็นธรรม โดยพิจารณาจากอาวุโส ผลงาน ศักยภาพ และความประพฤติ โดยจะนำความคิดเห็นทางการเมืองหรือสังกัดพรรคการเมืองมาประกอบการพิจารณามิได้
การประชุมคณะกรรมการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ตำรวจฯ นัดเย็นวานนี้ (1 มิถุนายน 2561) ลงรายละเอียดรายมาตราในประเด็น 'ก.พ.ค.ตร.' (คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมตำรวจ) องค์กรภายในใหม่ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่จะทำหน้าที่วินิจฉัยอุทธรณ์และเรื่องร้องทุกข์ทั้งปวงของข้าราชการตำรวจ ทำหน้าที่เสมือนเป็นศาลปกครองชั้นต้น ซึ่งนอกจากจะเพื่อผดุงความเป็นธรรมให้กับข้าราชการตำรวจแล้ว ยังจะเป็นการถ่วงดุลกับก.ตร. (คณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ) อีกด้วย
การวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์เฉพาะประเด็นที่ว่ากฎก.ตร.ขัดหรือแย้งกับพ.ร.บ.ตำรวจฯหรือไม่ ให้คำวินิจฉัยของก.พ.ค.ตร.เป็นที่สุด
ส่วนประเด็นอื่น ๆ หากไม่พอใจคำวินิจฉัยของก.พ.ค.ตร. ผู้อุทธรณ์หรือร้องทุกข์ยังสามารถฟ้องคดีต่อศาลปกครองสูงสุดได้
ปัจจุบัน หน้าที่และอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์และเรื่องร้องทุกข์เป็นของก.ตร.
นอกจากนั้นเพื่อคุ้มครองระบบคุณธรรม ในกรณีที่ก.พ.ค.ตร.เห็นว่ากฎ ระเบียบ หรือคำสั่งใดที่ออกตามพ.ร.บ.ตำรวจฯและมุ่งหมายให้ใช้บังคับเป็นการทั่วไป ไม่สอดคล้องกับ 'ระบบคุณธรรม' ให้แจ้งให้ผู้มีอำนาจออกกฎ ระเบียบ หรือคำสั่งดังกล่าวทราบ เพื่อดำเนินการแก้ไขหรือยกเลิกตามควรแก่กรณี
โดย 'ระบบคุณธรรม' ที่จะได้บัญญัติขึ้นไว้ใหม่ในร่างพ.ร.บ.ตำรวจฯฉบับใหม่มีดังนี้
1. การรับบุคคลเพื่อบรรจุเข้ารับราชการและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งต้องคำนึงถึงอาวุโส ความรู้ความสามารถของบุคคล ความเสมอภาค ความเป็นธรรม ประโยชน์ของทางราชการ และความพึงพอใจของประชาชน
2. การบริหารทรัพยากรบุคคล ต้องคำนึงถึงผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพขององค์กรและลักษณะของงาน โดยไม่เลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
3. การพิจารณาความดีความชอบ การเลื่อนตำแหน่ง และการให้ประโยชน์อื่นแก่ข้าราชการตำรวจ ต้องเป็นไปอย่างเป็นธรรม โดยพิจารณาจากอาวุโส ผลงาน ศักยภาพ และความประพฤติ โดยจะนำความคิดเห็นทางการเมืองหรือสังกัดพรรคการเมืองมาประกอบการพิจารณามิได้
4. การดำเนินการทางวินัย ต้องเป็นไปด้วยความยุติธรรมและโดยปราศจากอคติ
5. การบริหารทรัพยากรบุคคลต้องมีความเป็นกลางทางการเมือง
ก.พ.ค.ตร.มีองค์ประกอบ 7 คน อายุไม่ต่ำกว่า 45 ปี และไม่เกิน 70 ปี
ทำงานเต็มเวลา
วาระ 6 ปี
ดำรงตำแหน่งได้วาระเดียว
ทั้งนี้ ให้เลขาธิการก.พ.เป็นเลขาธิการก.พ.ค.ตร. และผู้บัญชาการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจเป็นผู้ช่วยเลขาธิการ
นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งกรรมการก.พ.ค.ตร.จากผู้มีคุณสมบัติที่ได้รับการคัดเลือกโดยคณะกรรมการคัดเลือกที่ประกอบด้วย ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นประธาน รองประธานศาลฎีกาที่ได้รับมอบหมายจากประธานศาลฎีกา 1 คน กรรมการก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับเลือกโดยก.ตร. 1 คน และเลขาธิการก.พ.
ประธานก.พ.ค.ตร.มาจากการเลือกกันเองของก.พ.ค.ตร.
คุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับการคัดเลือกให้เป็นกรรมการก.พ.ค.ตร.กล่าวโดยสรุปแล้วจะมาจาก 6 กลุ่ม คือ กลุ่มอดีตข้าราชการพลเรือน กลุ่มอดีตข้าราชการตำรวจ กลุ่มอดีตข้าราชการทหาร กลุ่มอดีตข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง กลุ่มอดีตข้าราชการอัยการ และกลุ่มนักวิชาการในสถาบันอุดมศึกษา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
Change in action (13) ให้กกต.ดำเนินการเลือก ก.ตร. ห้ามนายสั่งการ-ชี้นำ ฝ่าฝืนโทษคุก 6 เดือน
Change in action (11) ปฏิรูปตรงสู่โรงพัก!
Chang in action (10) ดูของจริงนอกห้องประชุมโดยไม่แจ้งล่วงหน้า !
Change in action (9) กม.สอบสวนใหม่แจ้งความสน.ไหนก็ได้ - เอกสารหายแจ้งที่เดียว/ สถานะ ตม.รอผลศึกษา
Change in action (8) ยกเลิกตำรวจรถไฟ /กำหนดระยะเวลาการโอนงานจรจรให้ท้องถิ่น!
Change in action (7) โอนงานจราจรบางส่วนให้กทม.
Change in action (6) ก.พ.ค.ตร. - คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมตำรวจ !
Change in action (5) ก.ตร. และระบบการให้คะแนน !
Change in action (4) อำนาจสั่งคดีในแต่ละสถานี
Change in action (3) แยกงานสอบสวนเป็นสายงานเฉพาะ-อิสระ
Change in action (2) ภารกิจและการถ่ายโอนภารกิจ !
Change in action ! ปฏิรูปตำรวจทั้งระบบ สังคมไทยจะได้เห็นอะไรบ้าง?